บทที่ 2. สัญญาผูกพัน
“อุ้ย คุณ..” ณดาสะดุดกึกเมื่อกำลังจะเดินไปยังลานจอดรถร่างบางถอยหลังไปหนึ่งก้าวเมื่อเงยหน้ามองคนตัวโตตรงหน้า คนอะไรตัวใหญ่อย่างกับตึก หญิงสาวคิดในใจมองเขาอย่างไม่ไว้วางใจนัก...
“ขอบคุณที่ยังจำกันได้”
“หากจะมาซื้อบริการไม่มีขายหรอกนะ” หญิงสาวกอดอกเชิดหน้าตอบกลับตาเขียวขุ่น
“ไม่ได้มาซื้ออะไรแค่อยากคุยด้วย”
“คุยทำไม ฉันไม่ได้ติดค้างอะไรคุณแล้วนะ” หญิงสาวมองเขาอย่างระแวงทำท่าจะถอยหลังไปอีกจนอิฐต้องรีบพูดขึ้น
“นี่แม่คุณผมไม่ได้เป็นผู้ร้าย ไม่ได้เป็นโจรปล้นสวาทนะครับไม่ต้องทำท่ากลัวขนาดนั้นก็ได้”
“ก็ไม่แน่หรอก หน้าตาดีๆ สวยๆ หล่อๆ ดูดีมีชาติตระกูลบางคนก็มีแค่เปลือก สันดานเลวก็มีเยอะแยะไป” ณดาแย้งทันควันซึ่งท่าทางของเธอทำให้เขายิ้มเหมือนพอใจ อีตาบ้า คนเขาพูดกระทบยังจะมาทำท่าเหมือนพอใจอีก หญิงสาวต่อว่าเขาในใจ
“เออ ชัดเจนดี ว่าแต่นี่เลิกงานแล้วใช่ไหม”
“เลิกจากที่นี่แต่ฉันมีงานต้องไปที่ผับ... ต่อ” หญิงสาวบอกชื่อสถานที่ซึ่งไม่ใช่ที่ผับของภีม อิฐขมวดคิ้วอย่างสงสัยใคร่รู้แต่กลับถามไปอีกเรื่อง
“คุณชื่ออะไรนะ หนูดา?”
“ฉันชื่อณดา หนูดาเป็นชื่อเฉพาะคนรู้ใจย่ะ” ณดาค้อนควับอยากรู้ชื่อเธอแต่ไม่ยอมบอกชื่อตัวเอง
“ผมชื่อิฐ เป็นเพื่อนของไอ้ภีม”
“อ้อ เหรอ แล้วไง”
“จะยืนคุยกันแบบนี้เหรอ”
“ก็แล้วจะให้ทำไงล่ะ” หญิงสาวตวัดเสียงและสายตาใส่เขา
“เอางี้ถ้าคุณพอมีเวลา ผมจะขอเลี้ยงข้าวขอโทษคุณสักมื้อที่ทำให้เข้าใจผิดเรื่องเมื่อคืน ผมจริงใจน่า..” เมื่อเห็นสายตาระแวงของเธออิฐก็รีบพูดขึ้น ณดาทำท่าคิดก่อนจะพยักหน้า
“แต่ฉันขอเลือกสถานที่เองนะ” ชายหนุ่มพยักหน้าณดายิ้มกว้างด้วยความพอใจ
“เย้ๆ ไก่ย่างส้มตำ อยากกินมานานแล้ว” หญิงสาวร้องอย่างดีใจซ้ำยังทำท่าตบมือแปะๆ อีกด้วยอิฐยิ้มบางๆ กับท่าทางที่ไร้จริตของหญิงสาวตรงหน้า ใบหน้าสวยที่เขานึกชมว่ามันสวยในยามที่มีเครื่องสำอางโปะทับบัดนี้แม้ไร้สีสันบนฉูดฉาดใบหน้าแต่ไม่ได้ทำให้ความงามนั้นลดลงไปเลย เธอสวยจริงๆ สวยชนิดที่เขาเห็นแล้วยังอดที่จะหันมองไม่ได้ ดวงตากลมโตดำขลับขนตางอนช้อยจมูกโด่งเชิดนิดๆ เรียวปากอิ่มสีชมพูระเรื่อเคลือบลิปกลอสดูน่ารักอ่อนเยาว์เหมือนเด็กสาวแรกรุ่น ยิ่งเอสวมเสื้อยืดกางเกงยีนกับรองเท้าผ้าใบแบบนี้ยิ่งทำให้เธอดูเด็กกว่าอายุจริงมาก แต่ณดาอายุ24ปีแล้ว เธอเพิ่งเพียนจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ชีวิตของณดาน่าสนใจมากทีเดียวเขายอมรับว่าสนใจเธอ ยิ่งได้รับข้อมูลส่วนตัวของเธอถูกส่งมาให้เขาทางข้อความอันทันสมัยเมื่อครู่ก่อน เขายิ่งสนใจจนคิดแผนอะไรดีๆ ได้
“ก็กินสิ กินให้อิ่มเลย สั่งมาอีกก็ได้” เขาบอกอย่างใจดี
“ใจดีจริงๆ มีอะไรแอบแฝงรึเปล่าเนี่ย” หญิงสาวว่าพลางตักส้มตำปูปลาร้าที่หน้าตาสีสันจัดจ้านพริกแดงเถือกไปทั้งจาน เขาเองเห็นเธอตักกินอย่างเอร็ดอร่อยก็อดไม่ได้ที่จะตักส้มตำเข้าปากบ้าง
“คุณกินได้ด้วยเหรอ”
“ผมชอบมานะส้มตำปูปลาร้าแต่ไม่ค่อยได้กิน แม่ผมค่อนข้างจะแอนตี้อาหารพวกนี้” เขาบอกตามความจริง สมัยเรียนมหาวิทยาลัยช่วงนั้นเขายังไม่ได้มาอยู่ประเทศไทยยังคงเดินทางไปมาระหว่างไทย อังกฤษและอิตาลี เพื่อนๆ นำทีมโดยภีมพาเขาเดินเที่ยวตามตรอกซอกซอยของตลาดที่มีชื่อเสียงในกรุงเทพฯ พากินอาหารข้างทางอย่างไม่คนอื่นๆ ซึ่งพอเขาได้กินได้ลิ้มรสอาหารตามรถเข็นตามร้านทั่วไปก็พบว่าบางอย่างมันอร่อยกว่าอาหารหรูๆ ในโรงแรมด้วยซ้ำ และตั้งแต่นั้นมาเขากับภีมมักมาเดินหาของอร่อยๆ กินตามตลาดข้างทางเหล่านั้นเป็นประจำโดยที่ไม่ได้บอกมารดาและพอมารดาเขารู้เข้าก็สั่งห้ามไม่ให้กินอาหารพวกนี้เพราะนางกลัวว่าจะไม่สะอาดและไม่สมกับฐานะของทายาทมหาเศรษฐี อีกทั้งการที่เขาทำตัวติดดินก็ทำให้นางไม่ชอบใจนัก แต่อิฐก็มักขัดใจแม่เรื่องนี้อยู่เสมอเพราะคิดว่าคนจะรวยจะจนก็คนเหมือนกัน
ความจริงแล้วอิฐก็อดคิดไม่ได้ว่ามีแต่ประเทศไทยกระมังที่มักมองคนที่รูปลักษณ์ภายนอกและให้ความสำคัญกับเฉพาะคนร่ำรวยมีชื่อเสียง ไม่ได้มองถึงความสามารถหรือตัวตนที่แท้จริงของกันและกัน และให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ที่สวยหรูดูดี บางครั้งเขาแต่งตัวธรรมดาเสื้อยืดกางเกงยีนร้องเท้าผ้าใบเก่าๆ เดินท่อมๆ กลางถนน บางคนพูดเข้าหูมาให้ได้ยินว่าเขาเป็นฝรั่งขี้นกและการที่เขามานั่งกินส้มตำไก่ย่างข้างทางกับณดาก็มีสายตาอยากรู้อยากเห็นของใครหลายๆ คนมองมาที่พวกเขาและซุบซิบกันคิกคักก็คงจะคิดว่าเขาเป็นฝรั่งขี้นกหรือไม่ก็ณดาเป็นเมียเช่าฝรั่ง แต่อิฐคิดว่าตนเองอาจจะคิดแง่ลบเกินไป คนเหล่านั้นอาจจะกำลังชื่นชมเขากับณดาอยู่ก็ได้
“ทำไม แม่คุณเป็นพวกไฮโซติดหรูเหรอ”
“จะว่างั้นก็ได้ แต่โชคดีเลือดพ่อฉันมันแรงเลยไม่ค่อยจะใส่ใจกับเรื่องไร้สาระพวกนี้เท่าไหร่”
“คุณพูดไทยชัดมากเลย มาอยู่เมืองไทยนานเท่าไหร่แล้ว” เธอถามเขาแล้วสนใจไก่ย่างกับข้าวเหนียวตรงหน้า อิฐมองเธอกินไปอย่างมีความสุขสบายตาเพราะณดาไม่ดัดจริตไม่กระมิดกระเมี้ยนในการกินเหมือนหญิงสาวที่เขาเคยควงแต่ก็ไม่ได้กินมูมมามไร้มารยาทบนโต๊ะอาหาร เพราะเธอได้รับการอบรมมาดีจากมารดาของเธอนั่นเองซึ่งข้อนี้เองอิฐจึงได้รู้สึกชื่นชมเธอในใจ เพชรต่อให้อยู่ในสลัมก็ยังเป็นเพชร...
“ผมเพิ่งมาอยู่ได้สิบกว่าปีหลังจากพ่อเสียได้ไม่นาน แม่ผมเป็นคนไทย ผมพูดไทยกับแม่มาตั้งแต่เด็กๆ”
“คุณกินเผ็ดได้ด้วยสุดยอดเลย เก่งมาก ว่าแต่ไม่อายเหรอมานั่งกินอะไรข้างทางแบบนี้”
“ก็ไม่นี่ ผมก็คนเหมือนกัน ของข้างทางบางอย่างก็อร่อยดี สะอาดใช้ได้ ร้านส้มตำในห้างบางทีร้านสวยหรูดูดีรสชาตินี่ไม่ต้องพูดถึงไม่ได้ครึ่งของที่นี่ด้วยซ้ำ” พูดพลางหยิบข้าวเหนียวจิ้มน้ำส้มตำใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ ตามด้วยไก่ย่าง ในจานของตนหมดก็เอื้อมมาหยิบในจานของเธอไปอีกชิ้น
“เฮ้ย คุณๆ หยุดเลย ของฉัน คุณอยากกินอีกก็สั่งเพิ่มสิ ฉันยังกินไม่อิ่มเลย” ณดาตีมือเขาเบาๆ แล้วแย่งชิ้นไก่ย่างในมือของเขาเข้าปากเสียเลยก่อนจะยักคิ้วใส่เขาด้วยชัยชนะอันใหญ่ยิ่ง
“จำไว้เลยนะ ขี้หวงนัก ป้าครับ เอาไก่ย่างอีกสองไม้ครับ เอาตำป่าแซบๆ อีกครกหนึ่งด้วย ป้าคนสวยตำส้มตำอร่อยแซบมากเลยครับ” อิฐหันไปสั่งแม่ค้าวัยกลางคนร่างอวบที่ยิ้มแก้มปริเมื่อได้รับคำชมจากฝรั่งหน้าหล่อ
“อุ๊ย พ่อคุณทุนหัว พูดไทยได้ด้วย แถมพูดเพราะอีกต่างหาก เดี๋ยวป้าจะตำให้สุดฝีมือเลยจ้า”
“ขอบคุณครับ” อิฐยิ้มรับด้วยความยินดี
“โห รู้จักกินตำป่าด้วย”
“ก็บอกแล้วผมชอบกินส้มตำ” ทั้งสองนั่งกินส้มตำไก่ย่างกันอย่างเอร็ดอร่อยและผ่อนคลายสนิทสนมกัน ซึ่งภาพความสนิทสนมของทั้งสองถูกแอบบันทึกและส่งไปให้ใครอีกคนได้รับรู้
“ตาอิฐนะตาอิฐ บอกหลายครั้งแล้วว่าอย่าทำตัวแบบนี้ ดูสิ ไปนั่งกินอาหารแบบนี้ได้ยังไงกัน เสียภาพพจน์นักธุรกิจไฟแรงหมด ใครเขารู้ว่าเป็นใครฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนลูกชายหัวแก้วหัวแหวนทำตัวเป็นฝรั่งขี้นกไปกินส้มตำไก่ย่างข้างทาง” คุณอรวี มารดาของอิฐโวยวายหน้าเครียดเมื่อเห็นรูปอันไม่น่าปรารถนาของลูกชายหัวแก้วหัวแหวน
“แล้วนี่ใครกันทอม”
“เอ่อ คงจะเป็นคนรักของคุณอิฐครับ ผมเห็นควงกันมาสักพักแล้ว” ทอมรู้งานและจับจุดเจ้านายหนุ่มหล่อได้รีบตอบซึ่งคำตอบของเขาทำให้แววตาคมสวยของคุณอรวีวาวโรจน์
“ไหนว่าควงยายเทเรซ่าอะไรนั่นอยู่”
“คุณอิฐควงประชดแฟนครับ แต่คุณเทเรซ่าถูกสลัดทิ้งไปแล้ว”
“เออให้มันได้แบบนี้สิลูกฉัน แล้วนี่หากหนูแพรวรู้ว่าตาอิฐมีสาวในสต๊อกเยอะขนาดนี้จะเป็นไงล่ะเนี่ย” คุณอรวีเดินไปเดินมาท่าทางหงุดหงิดฉุนเฉียว
“คุณท่านก็แค่บอกไปตามตรง เพราะถึงยังไงข่าวคาวของคุณอิฐก็ปิดไม่มิดหรอกครับ”
“นี่นายเป็นลูกน้องของใครกันแน่นะทอม ไม่ได้สนับสนุนฉันเลยนะ”
“ผมแค่พูดความจริงครับ” ทอมก้มหน้าพูดเบาๆ หลบสายตาขุ่นเขียวของผู้เป็นนาย
“แล้วนี่ตาอิฐจะเข้ามาเมื่อไหร่เขาได้บอกเธอมั้ย”
“ไม่ครับ”
“เอาล่ะไปไปไหนก็ไปเถอะ ฉันอยากอยู่คนเดียว” คุณอรวีโบมือไล่แล้วกระพือพัดอันสวยในมือไปมา ใบหน้าที่คงความงดงามสมวัยบึ้งตึง
คุณอรวีเกิดและเติบโตในครอบครัวที่นับว่ามีฐานะมีหน้ามีตาในวงสังคม ทุกอย่างในชีวิตของนางต้องเป็นระเบียบแบบแผน พิถีพิถันและเต็มไปด้วยกระบวนที่บางครั้งก็ดูยุ่งยากซับซ้อน การที่นางอยู่ในแต่ในวงสังคมคนที่บอกว่าตัวเองเป็นชนชั้นสูง ทำให้นางพลอยมองคนอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่วงสังคมของตนต่ำต้อย แม้แต่ตอนที่แต่งงานอยู่กินกับพ่อของอิฐนางก็ยังคิดว่าสามีของนางเป็นคนอยู่ในชนชั้นที่ต่ำกว่าเพราะแม้ว่าเขาจะร่ำรวยมหาศาลก็ตามเพราะพ่อของอิฐไม่ได้สืบเชื้อสายมาจากผู้ดีเก่าเหมือนเช่นตน แต่ด้วยความรักทำให้นางพอจะเปิดใจยอมรับพ่อของอิฐได้บ้าง แต่ด้วยพื้นเพเป็นคนที่ค่อนข้างถือตัวและยึดระเบียบแบบแผนมากจึงทำให้นางคอยกะเกณฑ์ชีวิตของสามีและลูกอยู่เสมอ แต่พ่อของอิฐเลือกลดความตึงเครียดของครอบครัวด้วยการไปอยู่อิตาลี เมื่ออิฐโตพอจะไปเรียนเมืองนอกอิฐก็เลือกที่จะตามพ่อของตนไปอิตาลีเพื่อหลบหนีความวุ่นวายของมารดาแต่ทั้งสองหนุ่มก็ยังคงรักและห่วงใยคุณอรวีอยู่เสมอ แม้อยู่ห่างกันพ่อของอิฐก็ไม่เคยนอกใจภรรยาและยังคงบอกภรรยาให้เปิดใจมองคนอื่นด้วยความสามารถและจิตใจของเขามากกว่าฐานะรูปกายภายนอกอย่างที่นางถูกฝังหัวมา แต่คุณอรวีก็มีนิสัยดื้อรั้นชอบเอาชนะคงไม่ค่อยจะลงรอยกับสามีเรื่องนี้นัก
เมื่ออิฐเริ่มเข้าเรียนมหาวิทยาลัยพ่อของอิฐก็เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางเครื่องบินตอนนั้นนางเสียใจมากจนเกือบจะตรอมใจแต่เพราะมีอิฐทำให้นางยังคงมีชีวิตอยู่เพื่ออยู่ดูความสำเร็จของเขา อิฐเป็นเด็กหนุ่มที่ฉลาดเฉลียวเจ้าเสน่ห์และแน่นอนว่าหญิงสาวมากมายแวะเวียนเข้ามาในชีวิตของเขา แม้นางจะไม่ชอบที่ลูกชายมีหญิงสาวมากหน้าหลายตาแต่อิฐก็ทำให้นางภาคภูมิใจด้วยเกรดเฉลี่ยการเรียนที่ดีเยี่ยมกิจกรรมต่างๆ ก็เด่นเรียกได้ว่าการเรียนไม่เสียการงานก็ไม่พัง อิฐเป็นนักบริหารตั้งแต่อายุยังน้อยเขาสามารถจัดการบริหารเวลาในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่สามารถมีเวลาไปเที่ยวสนุกกับสาวๆ ได้โดยไม่ต้องห่วงงาน อีกทั้งธุรกิจการเดินเรือของสามีก็เป็นไปด้วยดี กิจการร้านเพชรตลอดจนธุรกิจด้านสินค้าอุปโภคบริโภคที่ส่งออกทั้งในและต่างประเทศของทางครอบครัวนางที่ทำกันมารุ่นต่อรุ่นก็ไปได้สวยขายเครือข่ายบริษัทจนครอบคลุมทั้งประเทศ เรียกได้ว่าสัดส่วนของสินค้าอุปโภคบริโภคในตลาดกว่าครึ่งหนึ่งเป็นของบริษัทนาง และคนที่บริหารงานก็คืออิฐนั่นเอง...
“ลูกนะลูกขอให้ได้ดังใจแม่ทุกเรื่องก็ไม่ได้ ไม่รู้ล่ะ สะใภ้ของฉันจะต้องดีเลิศสมหน้าสมตาที่จะช่วยตาอิฐบริหารงานต่อไปจนรุ่นลูกรุ่นหลาน และหนูแพรวก็เหมาะสมที่สุด” คุณอรวียิ้มกับตัวเองแล้วโทรศัพท์หา พจน์ เพื่อนรักของตนที่เติบโตมาด้วยกันและหนูแพรว ก็เป็นลูกสาวของเขา พจน์เป็นคนดีขยันและร่ำรวยมีหน้าตาทางสังคมพอๆ กับนาง
แพรวพรรณลูกสาวของพจน์ก็สวยน่ารักเรียบร้อยงานบ้านงานเรือนก็ดีเยี่ยม ซ้ำยังเรียนจบมาจากเมืองนอกเมืองนา หากอิฐได้เห็นหนูแพรวของนางสักครั้งรับรองได้ว่าจะต้องชอบหนูแพรวเหมือนที่นางชอบ... แม่ผู้หวังดีกับลูกชายคิดไปยิ้มไปด้วยความหวังว่าความฝันของตนจะเป็นจริง...
