บทที่15 เปิดเทอมใหม่ทำไมช่างวุ่น
อันว่าเวลานั้นมันผันผ่านไปเร็ว ไม่ทันไรโรงเรียนก็ปิดเทอมแล้วไม่นานก็ถึงเวลาเปิดเทอมใหม่ ภีรพิชชาในชุดนักเรียนเรียบร้อยสะพายกระเป๋าเป้ก้าวลงจากรถรับส่งนักเรียนด้วยรอยยิ้ม
ดวงตาของเธอหันไปมองหาเพื่อนๆ ในขณะที่ขายาวๆ นั้นก้าวเดินเข้าไปในโรงเรียน โรงเรียนแห่งนี้ยังเหมือนเดิมแต่ที่ไม่เหมือนเดิมคงจะเป็นที่ตัวนักเรียน หลายคนโตขึ้น สูงขึ้น อ้วนขึ้นหรือผอมลง นักเรียนชายหลายคนเริ่มเป็นหนุ่มวัยรุ่นคึกคะนอง ส่วนนักเรียนหญิงบางคนก็เริ่มโตเป็นสาวพูดคุยเรื่องความสวยความงามและคบหาเล่นหูเล่นตากับเพศตรงข้าม
ในเทอมนี้ภีรพิชชาตัดผมหน้าม้าปัดข้างไล่ระดับปิดบังหน้าผาก โชคดีที่ใบหน้าของเธอไปได้สวยกับผมหน้าม้า ผมส่วนอื่นถูกมัดรวบเป็นหางม้ายาวถึงกลางหลัง เทอมนี้ความสูงของเธอเพิ่มขึ้น5-6 เซนติเมตร ส่วนน้ำหนักอยู่ในระดับพอดี ๆ ใบหน้านั้นหวานและสวยขึ้น นั้นเพราะอรพิชชาสั่งให้เธอดูแลรักษาผิวหน้าผิวกายให้สวยสว่างใสอยู่ตลอด เป็นผู้หญิงอย่างหยุดสวย และเธอต้องสวย และสวยชนิดที่คนเป็นแม่บอกว่าอิสรันกลับมานี่ให้ตาค้างมองไม่วางตาเลย
กวินดนัยและกิตติดนัยเดินเข้ามาหาก่อนที่จะเดินวนรอบเพื่อนสาวอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง
“บร๊ะ สวยผิดหูผิดตา ไม่มีท่าทางทโมนด้วย ไอ้บีมๆ อะไรเข้าสิงภีร์ป่ะเนี่ย” กิตติดนัยถามน้องชายฝาแฝดอย่างตกตะลึงและประหลาดใจ
กวินดนัยพยักหน้าเห็นด้วยแล้วเอ่ยบอก “นั่นดิ ผิดหูผิดตาเลย ไม่เจอกันแค่เดือนเดียว เปลี่ยนไปขนาดนี้เชียว”
“พอๆ ไม่ต้องมาทำหน้าตกใจเลย เราก็ไม่อยากเป็นแบบนี้หรอก” ใบหน้ายิ้มแย้มในตอนแรกเปลี่ยนเป็นเซ็งๆ เธอบอกแล้วก้าวเดิน
กวินดนัยเดินมาขนาบข้างขวาแล้วถาม “ไม่อยากแล้วทำไมสวยขนาดนี้ว่ะ”
“ก็คุณแม่นะดิ บอกว่าผู้หญิงอย่าหยุดสวย เราต้องสวย สวยจนอารันกลับมาแล้วมองตาค้าง โอ๊ย นี่ปิดเทอมนี่คุณแม่ไม่ปล่อยให้เที่ยวเลยสอนทั้งมารยาทในการออกงาน ทั้งเรียนทำอาหาร ทั้งมารยาทการกินนอนนั่ง ไม่รู้จะพาเราไปประกวดมารยาทไทยหรือไงกัน” ภีรพิชชาพูดแล้วนึกถึงช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา มารดาเปลี่ยนทั้งการแต่งตัว ทรงผมและกิริยามารยาทของเธอจนเธอต้องทึ่ง ตัวเอง และตกตะลึงในความสามารถของคุณแม่ที่เปลี่ยนลิงทโมนให้เป็นสาวเรียบร้อยเกือบทุกตารางนิ้วแบบนี้ ไหนจะหน้าขาวๆ ใส่นี่อีก สิวฝ้าไม่มีมากร่ำกราย สอนการแต่งหน้าแต่งตัวสารพัด
กิตติดนัยเดินมาขนาบข้างซ้ายแล้วเอ่ยขึ้น “แหม่ เป็นภรรยาผู้การก็ต้องเนี้ยบแบบนี้แหละ ขืนปล่อยแบบเดิมเชื่อหัวไอ้แบงค์เลย น้ารันจะต้องขายหน้าที่สุด”
“พูดถึงน้ารัน นี่ยังไม่ขึ้นฝั่งเลยใช่มั้ย” กวินดนัยถามขึ้นเมื่อนึกถึงน้าหนุ่มที่ออกเรือไปเป็นเวลาถึงสามเดือนแล้วยังไม่กลับฝั่งเลย
ภีรพิชชาไม่ตอบแต่ได้แต่เดินหน้าบึ้งตึงนำไป สามเดือนแล้วที่อิสรันนั้นห่างหายไป ทุกครั้งที่อิสรันออกเรือมันไม่เหมือนครั้งนี้เลย ความห่างไกลครั้งนี้มันทรมานกว่าที่ผ่านๆ มา นอนลงก็เหงาคิดถึงคนที่นอนข้างๆ ทั้งที่นอนข้างกันแค่สองคืนเท่านั้น อาจจะเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างกันที่มันเปลี่ยนไปที่ทำให้เธอผูกพันกับเขา ห่วงใย และคิดถึงแบบนี้
กวินดนัยและกิตติกวินก้าวช้าลงแล้วขยับมาเดินข้างกันมองปฏิกิริยาของภีรพิชชาแล้วยิ้มให้กัน
ด้วยความที่เดินใจลอยทำให้ภีรพิชชาไม่ได้มองเส้นทางว่ามีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินมา ทั้งสองต่างไม่ได้มองทางทั้งคู่และในที่สุดก็ชนกันเข้า ร่างที่บอบบางกว่าล้มลงไปกองก้นจ้ำเบ้าจนความใจลอยมลายไปแล้วความเจ็บปวดก็เข้ามาแทนที่
“ขอโทษนะ” เสียงมีเสน่ห์เอ่ยบอกก่อนที่จะยื่นมือมาตรงหน้าภีรพิชชาที่ล้มอยู่ เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของอีกฝ่ายและสงสัยเด็กหนุ่มคนนี้ไม่คุ้นหน้าเลยสักนิด
“เธอ ได้ยินเรามั้ย?” เสียงมีเสน่ห์ของ “ปวิน” เอ่ยถามออกมาพลางพินิจพิจารณาใบหน้าสวยอย่างสะดุดใจ ไม่ทันที่ภีรพิชชาจะตอบอะไรกวินดนัยและกิตติกวินก็เข้ามาพยุงเพื่อนสาวขึ้น
“เอ่อ เราขอโทษนะ พอดีเราเพิ่งย้ายมาน่ะยังไม่คุ้นชินทาง ไม่รู้ว่าห้องเรียนอยู่ไหนก็เลยมองหาจนไม่ได้มองทาง” ปวินเอ่ยบอกสายตายังจับจ้องที่ใบหน้าขาวใสไม่วางตา
ภีรพิชชาหันมองสองเพื่อนหนุ่มก่อนจะหันมาเอ่ยกับคู่กรณี “ไม่เป็นไร ความจริงเราเองก็ใจลอยไม่ได้มองทางเหมือนกัน ว่าแต่นายเรียนห้องไหน เดี๋ยวพวกเราพาไปจะได้ไม่ต้องหาต่อ”
“6/1น่ะ” ปวินบอกก่อนที่ทั้งสามคนจะเบิกตากว้างหันมองกันอย่างแปลกใจแล้วกวินดนัยก็เอ่ยบอก “พอดีเลย เราก็อยู่ห้อง1 ตามพวกเรามาก็แล้วกัน”
“ว่าแต่นายชื่ออะไรอ่ะ” กิตติดนัยเอ่ยถามขึ้นอย่างเป็นมิตรเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเรียนอยู่ห้องเดียวกัน
ปวินยิ้มก่อนที่จะเอ่ยบอก “เราชื่อปวิน เรียนว่าปั๊มก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
“อืม เราภีรพิชชา ชื่อเล่นภีร์ ส่วนคนนี้บีม กวินดนัย คนนั้นแบงค์ กิตติดนัย ยินดีที่ได้รู้จักนะ” ภีรพิชชาพูดแล้วยิ้มอย่างเป็นมิตร รอยยิ้มของเธอคงทำให้สายตาของปวินพร่าไปครู่ใหญ่ถ้าเสียงของพลอยรัมภาไม่ดังขึ้น
“ภีร์ ๆ นี่ๆ พวกนายรู้ยังว่านิค นนทกรกับวรัญญา อ่ะได้ขึ้นมาอยู่ห้องหนึ่งด้วย แล้วก็มีเด็กใหม่เข้ามาสองคน นักเรียนแลกเปลี่ยนอีกหนึ่ง” พลอยรัมภาเอ่ยบอกทำให้ภีรพิชชาและคู่แฝดเงียบไป
“ไอ้นิคนั่นได้ย้ายมาห้องหนึ่งเหรอ บ้าจริง” กวินดนัยพูดอย่างหัวเสีย ไม่ชอบใจที่คู่อริอย่างนนทกรจะได้ขยับจากห้อง2มาอยู่ห้อง1
ภีรพิชชาถอนหายใจออกมาเสียงดังแล้วพูดอย่างไม่ชอบใจ “ยัยวรัญญาก็มาด้วย”
วรัญญากับเธอไม่ค่อยถูกกันตั้งแต่ขึ้นชั้นมัธยมต้น จนมัธยมสี่ได้แยกกันคนละห้องไม่คิดว่าจะได้กลับมาเรียนห้องเดียวกันอีก
มุทิตาและพลอยรัมภามองเด็กหนุ่มแปลกหน้าแล้วเขินจนตัวแทบบิดจนกวินดนัยและกิตติกวินเกิดอาการหมั่นไส้เพื่อนสาวทั้งสองคน
“ใกล้ถึงเวลาทำความสะอาดแล้วเอากระเป๋าไปเก็บกันเถอะ นาย เอ่อ นายปั๊ม ตามมา” ภีรพิชชาเอ่ยบอกแล้วเดินนำไปรู้สึกเขินกับสายตาที่เด็กหนุ่มมองมาไม่น้อย คนอะไรจ้องกันอยู่ได้
เวลาต่อมา
“ค่ะนักเรียน เทอมนี้ครูประภาได้เป็นครูประจำชั้นห้องสอง แล้วห้องหนึ่งเป็นหน้าที่ของครูกับครูนิวแทน นักเรียนเข้าใจนะคะ” สุนิตา หรือ ครูนิเอ่ยบอก ในขณะที่ครูนิว หรือ สุวิภา น้องสาวนั้นยิ้มให้นักเรียน
สุนิตามองและพูดต่อ “และ เทอมนี้เรามีเพื่อนเข้ามาในห้องด้วย5คน นะจ๊ะ ประธานนักเรียนและรองประธานดูแลเพื่อนๆ ด้วยนะ”
ปวินยิ้มก่อนที่จะแนะนำตัว “เอ่อ เราปวิน เรียกว่าปั๊มก็ได้”
แล้วคนอื่น ๆ จึงแนะนำตัวต่อ “ส่วนเราชื่อ ลัลนา หรือ ลัน ยินดีที่ได้รู้จัก”
“เรานิค นนทกร มาจากห้องม.6/2” หนุ่มน้อยขวัญใจสาวเอ่ยบอกและตามด้วยคู่อริของภีรพิชชา “ส่วนเรา ฝ้าย วรัญญา มาจาก6/3”
“เรามีนักเรียนแลกเปลี่ยนมาจากจีนด้วยนะคะ เดี๋ยวให้เพื่อนแนะนำตัวเนอะ” สุวิภาเอ่ยบอกก่อนที่หันไปพูดภาษาจีนกลางกับเด็กสาวผู้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน
เด็กสาวชาวจีนยิ้มก่อนที่จะเอ่ยบอก “หนีห่าว หว่อ เจี้ยว หมิงหมิง”
สุนิตาและสุวิภาพยักหน้าให้กันก่อนที่สุวิภาจะเอ่ยบอก “เอาล่ะเราก็รู้จักกันแล้ว อีกข้อหนึ่งที่ต้องรู้นะ หมิงหมิงพูดไทยได้ และอยากให้เพื่อนๆ พูดไทยกับเธอ และอยากจะเรียนรู้ภาษาไทยให้มากขึ้นทุกคนเข้าใจตรงกันนะ”
“ส่วนที่นั่งของทั้งห้าคน อื้ม ทุกคนลุกขึ้น จัดโต๊ะใหม่ สองแถวหน้าต้องเปลี่ยน” ครูสาวคนพี่พูดแล้วมองโต๊ะนักเรียนในห้องที่จัดฝั่งซ้ายเป็นโต๊ะนักเรียนเรียงกันสามตัว สี่แถว ฝั่งขวาก็เช่นกัน ส่วนตรงกลางด้านหน้าขนาดกับกระดานมีโต๊ะเรียงกันสี่ตัวด้านหลังจัดแถวละสามเหมือนโต๊ะแถวอื่น
ทั้งห้องเงียบก่อนที่สุนิตาจะเอ่ยขึ้น “พลอยรัมภา กิตติดนัย หมิงหมิง มานั่งตรงนี้”
“มุทิตา กวินดนัย วรัญญาตรงนี้” เสียงสั่งยังดังมาจากสุนิตา นักเรียนพากันปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
“ตรงนี้เหลือสี่คน เมื่อก่อนหน้ากระดานมีมุทิตา กวินดนัย กิตติกวิน ภีรพิชชา” สุนิตาพูดกับสุวิภาก่อนที่สุวิภาจะเอ่ยขึ้น “งั้น เปลี่ยน กวินดนัย วรัญญา มุทิตา มานั่งนี้ ลัลนานั่งข้างๆ กวินดนัยนะจ๊ะ”
เสร็จแล้วหันมาบอกคนที่ยังไม่มีที่นั่ง “ส่วน นนทกรไปนั่งแทนมุทิตาเมื่อกี้ ภีรพิชชานั่งแทนที่กวินดนัย แล้วปวินนั่งแทนวรัญญา”
“เราไปนั่งตรงนั้น ส่วนเราไปตรงนู้น” จากนั้นจึงจัดที่นั่งให้นักเรียนคนอื่น ๆ “โอเคเรียบร้อย ที่ครูจัดแบบนี้ก็เพื่อให้ช่วยเหลือให้คำแนะนำกัน ตามนี้นะ”
“เอาล่ะครูสองคนมีเรื่องพูดคุยกันเท่านี้ นักเรียนรอครูตามตารางเรียนได้จ้ะ”หลังวุ่นอยู่สักครู่สุนิตาก็เอ่ยบอก
กวินดนัยในฐานะหัวหน้าห้องและประธานนักเรียนลุกขึ้นก่อนที่จะเอ่ยบอก “นักเรียนเคารพ”
“ขอบคุณค่ะคุณครู”ทุกคนลุกขึ้นแล้วทำความเคารพครูทั้งสอง แล้วหยิบหนังสือเรียนตามตารางขึ้นมา
ภีรพิชชาหยิบสมุดวิชาภาษาไทยและหนังสือขึ้นมาก่อนที่จะต้องค้นหากล่องปากกา “ปากกาไปไหนเนี่ย คงไม่ใช่ว่าลืมหรอกนะ”
ในขณะที่เด็กสาวบ่นปากกาสองด้ามก็ถูกยื่นมาจากทางซ้ายและทางขวาแทบจะพร้อมเพรียงกัน ภีรพิชชามองปากกาทั้งสองเล่มด้วยความลำบากใจ ถ้ารับจากคนหนึ่งอีกคนก็เสียน้ำใจ เธอจะรับจากนายขี้อวดหรือนายชอบจ้องดีนะ
กวินดนัยที่หันไปเห็นหยิบปากกาน้ำเงินและปากกาแดงลุกขึ้นเดินไปที่หน้าโต๊ะของสองหนุ่มหนึ่งสาวแล้ววางลงตรงหน้าภีรพิชชา มือหนาฉวยปากกาจากนิ้วของนนทกรแล้วหยิบปากกาแดงของปวินแล้วยักคิ้วใส่สองหนุ่มก่อนจะเดินกลับไปที่โต๊ะ
ภีรพิชชามองยิ้มๆ แล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรอีกจนกระทั่งคาบเรียนผ่านไปหนึ่งวิชา สองวิชาจนถึงคาบว่างก่อนพักเที่ยง
“กับทหารเรืออ่ะ เลิกกันแล้วเหรอ เมื่อเช้าไม่เห็นมาส่งเลย” นนทกรถามขึ้นในช่วงคาบว่างที่ครูไม่อยู่
“จะอยากรู้ทำไม หรือพี่สาวอยากเสียบ”ภีรพิชชาถาม พี่สาวของนนทกรอยู่แถวสัตหีบและก็ชื่นชอบในตัวอิสรันมาก คงไม่ใช่ว่านายนี่มาหลอกถามไปบอกพี่สาวหรอกนะ ปกติเห็นเก๊กๆ ไม่พูดคุยกับเด็กต่างห้อง
คนถามดูหงุดหงิดแล้วเอ่ยบอก “นี่ เราถามดี ๆ อย่าเอาพี่เรามาเกี่ยวดิ”
“เลิกไม่เลิกก็ไม่เห็นเกี่ยวไรกับเธอหรือใครนิ” ภีรพิชชาพูดแล้วลุกขึ้นยืนแต่แล้วก็ต้องชะงักกับคำพูดของนนทกร “ก็ถ้าเลิกแล้วจะจีบ ชอบเข้าใจป่ะ”
ทุกสายตาหันมาจับจ้องกับน้ำเสียงทุ้มดังของนนทกรแม้แต่ปวินที่เพิ่งกลับจากห้องน้ำก็ยังได้ยิน
“นายพูดอะไรของนายว่ะ” กวินดนัยและกิตติดนัยโวยวายเสียงดังขึ้นพร้อมกัน
นนทกรหันไปยิ้มให้อย่างยียวนแล้วพูดขึ้น “ก็อย่างที่พูดถ้าเลิกกันแล้วจะจีบ ชอบ อยากได้ มีปัญหาป่ะไอ้พวกลูกสมุน”
“อ้าว พูดอย่างนี้อยากมีเรื่องเหรอว่ะ” กวินดนัยพูดแล้วทำท่าจะพุ่งเข้าใส่แต่ถูกเพื่อนคนอื่นจับไว้เช่นเดียวกับกิตติดนัยที่มีคนจับไว้
นนทกรยิ้มมุมปากแล้วทำหน้ายียวน “ทำไม ถ้าอยากมีเรื่องแล้วทำไม โธ่ ลูกสมุน ทำตัวเป็นองครักษ์พิทักภีร์ หึ ความจริงอ่ะเก่งแต่หลบหลังภีร์มากกว่า”
“ไอ้นิค” กวินดนัยเอ่ยแล้วสลัดแขนออกจากคนที่จับไว้ก่อนที่จะพุ่งไปต่อยซีกหน้าซ้ายของนนทกรทันที นนทกรต่อยคืนอย่างไม่กลัว
“นี่ทำอะไรอยู่ ห้ามดิว่ะ” ภีรพิชชาพูดแล้วจะพุ่งเข้าไปห้ามแต่ปวินจับแขนไว้
“อย่าเข้าไป มันอันตราย” ปวินบอกจับเด็กสาวไว้ให้เพื่อนคนอื่นเข้าไปห้าม กิตติดนัยไม่ได้เข้าไปช่วยเพราะตนไม่ชอบเป็นหมาหมู่ถ้ากวินดนัยจัดการเขาจะไม่ยุ่ง
“นี่หยุดนะ นี่มันอะไรกันน่ะ” ครูประภาเอ่ยขึ้นเดินเข้ามาในห้องมองนักเรียนอย่างไม่ชอบใจ “เรียนห้องเดียวกันต่อยกันทำไม”
“อย่าให้ครูเห็นทะเลาะต่อยตีกันอีก แล้วเย็นนี้ทุกคนไปเจอครูที่ห้องปกครองด้วย” ครูประภาพูดแล้วเดินออกจากห้องไป สองคนถูกแยกให้ไปนั่งกันคนละมุมห้อง
“เพราะเธอเลยภีร์ เทอมนี้มาสวยเรียบร้อยผิดหูผิดตา เหตุการณ์ในห้องมันถึงเปลี่ยนไป” เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มนั่งล้อมกวินดนัยเอ่ยขึ้นเปลี่ยนบรรยากาศ
ก่อนที่มุทิตาจะเอ่ยขึ้น “เปลี่ยนไปยังไง”
“อ้าวก็ปกติ เพื่อนเธออ่ะประเดิมห้องปกครองก่อนใครเลยนิ แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไป โดนเรียกทั้งห้องเลย” เด็กหนุ่มคนเดิมเอ่ยบอกก่อนที่เกือบทุกคนจะพยักหน้าเห็นด้วยยกเว้นนนทกรและกวินดนัยและนักเรียนใหม่ที่ไม่เข้าใจ
เสียงกระดิ่งพักเที่ยงดังขึ้นก่อนที่ทุกคนจะออกไปรับประทานอาหารเที่ยง นนทกรและกวินดนัยกิตติดนัยถูกแยกไม่ให้เจอกัน
ภีรพิชชา มุทิตา พลอยรัมภา และสองหนุ่มแฝดนั่งรวมกลุ่มกินข้าวอยู่ในมุมหนึ่ง ก่อนที่จะเห็นร่างของสองนักเรียนใหม่เดินเข้ามา
“เอ่อ เราสองคนนั่งด้วยได้มั้ย” ลัลนาเอ่ยบอกก่อนที่มุทิตาจะพยักหน้าให้
กวินดนัยมองสองคนมาใหม่แล้วเหลือบไปมองภีรพิชชาที่กับข้าวในจานแทบจะไม่ลดลง “ทำไมกินน้อยจังภีร์ คิดถึงไอ้นิคนั่นไง”
“พูดดี ๆ นะเว้ย เราจะไปคิดถึงนายนั่นทำไม” ภีรพิชชาพูดก่อนที่จะหันหน้าหนี เธอกำลังขบคิดว่าถ้าอิสรันรู้มีหวังไม่เธอก็สองแฝดนี่แหละจะโดนทำโทษ
“เอ่อ นี่ภีรพิชชา เราถามอะไรหน่อยสิ” ลัลนาเอ่ยขึ้นหลังจากนั่งมองกวินดนัยกับภีรพิชชามาสักระยะ “เธอสองคนคบกันเหรอ พอนนทกรบอกว่าจะจีบเธอ นายถึงได้โกรธจนไปต่อย”
“จะบ้าเหรอลัลนา” สองคนพูดขึ้นพร้อมกันก่อนที่กวินดนัยจะหันมามองหน้ากันกับกิตติกวินอย่างขนลุก ภีรพิชชาเป็นคนที่แตะต้องไม่ได้ เธอมีความน่ากลัว แต่เหนือสิ่งอื่นใดตอนนี้เขาสองคนหวาดกลัวน้าหนุ่มแบบสุดๆ
ภีรพิชชาหันไปมองหน้าหวาดๆ ของสองหนุ่มแล้วส่ายหน้า “เน้ ทำไมต้องทำหน้าหวาดกลัวขนาดนั้นด้วยเหอะ เราน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ไม่อ่ะ เธอไม่ค่อยน่ากลัวหรอก แต่พวกเรากลัวน้ารันต่างหาก” กวินดนัยพูดก่อนที่จะพูดอย่างเครียดเเค้น “น้ารันน่ากลัว ลองได้โมโหไม่อยากคิดสภาพ คอยดูนะถ้าไอ้นิคมันยังไม่เลิกบ้าหน้าด้าน มันน่ะโดนดีแน่”
“ใช่ เจ็บแน่นอน” กิตติดนัยพูดเสริมก่อนที่ทั้งสองจะหันไปยิ้มเมื่อนึกสภาพของนนทกรถ้ายังคิดจะจีบภีรพิชชาต่อไป ภีรพิชชาส่ายหน้าแล้วกินข้าวต่อ ไม่พูดอะไรต่อและไม่ได้ตอบคำถามของลัลนาให้เคลียร์
เย็นวันนั้นหลังเลิกเรียนนักเรียนทุกคนในห้อง6/1 ก็เข้ามายืนก้มหน้านิ่งในห้องปกครอง ไม่นานนักครูประภาก็เดินเข้ามาพร้อมกับใครอีกคนที่ภีรพิชชาคาดไม่ถึง กวินดนัยและกิตติดนัยอ้าปากค้างดวงตาเบิกกว้าง และคนที่ก้าวต่อจากใครคนนั้นก็เป็นคนที่ทำให้นนทกรหน้าซีดลงเพราะคนที่เดินตามสองคนแรกมานั้นคือบิดาของตน
“เอาล่ะ มีใครจะอธิบายได้มั้ยว่าเมื่อช่วงสายเกิดอะไรขึ้น ใครเริ่มก่อน” ครูประภาเอ่ยถามขึ้นในขณะที่พ่อของนนทกรนั้นเดินไปนั่งที่โซฟา ภีรพิชชาหันมองสองแฝดแล้วหันไปมองคนที่ทำให้เธอและสองแฝดหน้าซีด เขาก็คืออิสรัน คนที่เธอไม่ได้เจอนานนับสามเดือนทีเดียว
อิสรันมองนักเรียนที่ยืนในแถวหน้าทีละคน เริ่มจากเด็กหนุ่มที่เขาไม่รู้จัก ถัดมาเป็นเด็กหนุ่มที่คาดว่าคือคู่กรณีของกวินดนัย คนที่ยืนถัดจากเด็กหนุ่มสองคนคือภีรพิชชาที่ดูสวยเปล่งปลั่งจนเขาแทบจะไม่อยากละสายตา
“กวินดนัยเริ่มก่อนครับ” นนทกรพูด เสียงของเขาทำให้อิสรันหลุดจากอาการที่เรียกได้ว่าต้องมนต์ หนุ่มเกือบใหญ่เบนสายตาไปมองคนพูดอย่างไม่ชอบใจ
ครูประภามองสองหนุ่มน้อยก่อนที่จะเดินไปหยุดหน้าปวิน “ครูจะฟังจากพวกเธอสองคนทีหลัง เด็กใหม่ครูเชื่อว่าจะได้ความจริงจากเธอมากกว่าคนอื่น ไหนบอกครูสิ เกิดอะไรขึ้น”
“คือ ผมได้นนทกรพูดกับภีรพิชชาน่ะครับ แล้วกวินดนัยกับกิตติดนัยก็โมโห นนทกรเลยยั่วโมโหว่าสองคนนี้เป็นลูกสมุนเก่งแต่หลบหลังผู้หญิงจนกวินดนัยทนไม่ไหว สลัดคนที่จับไว้แล้วเข้าไปต้องจนทั้งสองชกต่อยกันครับ” ปวินเอ่ยบอก อิสรันที่ฟังอย่างใจเบนสายตาไปมองคนที่น่าจะชื่อนนทกร
แล้วหนุ่มเกือบใหญ่ก็เอ่ยขึ้น “คนที่ชื่อนนทกรพูดกับภีรพิชชาว่าอะไร ทำไมสองคนนี้ถึงโมโห”
นักเรียนคนอื่นกลืนน้ำลายลงคออย่างหวาดๆ กิตติดนัยส่งสายตาไม่ให้ปวินพูดแต่เด็กหนุ่มผู้ไม่รู้ความเป็นมาของเรื่องราวเอ่ยบอก “ตอนแรกนนทกรถามภีรพิชชาว่า เอ่อ กับทหารเรือน่ะเลิกกันแล้วเหรอ ไม่เห็นมาส่งเลย ส่วนคำถามที่ทำให้สองคนนี้โมโหก็คือ ถ้าเลิกแล้วจะจีบ ชอบเข้าใจป่ะ”
ทุกเสียงในห้องเงียบสนิท อิสรันหันไปจ้องนนทกรแล้วเดินไปหยุดตรงหน้าเขายังเงียบไม่พูดอะไรออกมา
