บทที่5.จบตอน
“อ๊ายยย อ้ายเค้น อ้ายเคนมาแล้ว.. อ้ายเคนจ๋า..” เสียงแหลมๆ แผดก้องขึ้นพร้อมกับหญิงสาวร่างระหงในชุดกระโปรงลายดอกสีเหลืองสดใสใบหน้าตบแต่งสวยงามวิ่งมาเกาะแขนเคนอย่างดีอกดีใจ
“สารภีคึดฮอดอ้ายเคนหล้ายยยหลาย ยามนอนกะฝันฮอด อยากตามต้อนไปทุกบ่อน ยามน้องสิกินเข่าใจกะคึดฮอดเจ้าอยากเว้านำ คือสิกินเข่าแซบหล้ายหลายครันว่าได้อิงแอบแนบอ้ายเคน..” สารภีพูดออกมาเป็น กลอนผญ๋า มองเคนตาหวานฉ่ำ ดวงตาที่ประดับด้วยขนตาปลอมเป็นแพหนากระพือช้าๆ เหมือนปีกผีเสื้อ
“อย่ามาเกาะแกะหลายอ้ายรำคาญ” เคนว่าแล้วแกะมือสารภีออกแต่หญิงสาวไม่ยอมง่ายๆ ชบาจึงเข้าไปช่วยจนสำเร็จแล้วเดินหนีไปอย่างรำคาญ
“อีชบา มึงอย่ามาเสือก” สารภีมองตามเคนไปอย่างเสียดายแล้วหันมาทำตาเขียวใส่ชบา
“บ่เสือกบ่ได้ อ้ายเคนมีเจ้าของแล้ว ห้ามไผมายุ่ง”
ชบากอดอกลอยหน้าลอยตา ทำให้สาวๆ ที่ยืนมองเคนตาละห้อยพากันส่งเสียงฮือฮากระซิบกระซาบกัน
“แม่นสาวผู้นั่นบ่”
ผู้หญิงคนหนึ่งชี้ไปที่อรอาภาที่ยืนนิ่งอยู่อย่างไม่รู้จะทำอย่างไรกับสถานที่และผู้คนที่ไม่เคยคุ้น สารภีหันมาเอียงคอมองอรอาภาอย่างไม่ชอบใจดวงตางามวาววับขึ้นมา
“เจ้ารึผู้สาวอ้ายเคน”
“เอ่อ คือ...” อรอาภาพูดไม่ออกมองชบาอย่างขอความช่วยเหลือ
“อีชบามึงอย่างเสือกกูถามอีนางหน้าขาวนี่ ว่ายังไง สูเป็น ผู้สาว อ้ายเคนแม่นบ่..” สารภีหันมาแหวใส่ชบาที่รีบมายืนข้างๆ อรอาภาอย่างออกหน้าปกป้องเต็มที่
“เพิ่นมาจากกรุงเทพฯ ยังฟังเจ้าบ่เข้าใจดอกสารภี”
ผู้หญิงคนหนึ่งในร้านค้าพูดขึ้น แล้วทุกสายตาก็มองมายังอรอาภาอย่างสนใจ หญิงสาวยืนนิ่งเหมือนลอยเคว้งคว้างอยู่กลางถนน และแน่นอนว่าหญิงสาวผิวขาวสะอาดสะอ้าน หน้าตาสะสวยอ่อนหวานราวเทพธิดาสวมชุดเดรสสีหวานยืนอยู่กลางตลาดย่อมเป็นที่สนใจของทุกคน ยิ่งเคนเป็นคนที่ใครๆ ก็รู้จักยิ่งทำให้เธอเป็นจุดเด่น
“อ้อ.. ผู้สาวกรุงเทพฯ แล้วยังไง เป็นสาวกรุงเทพฯ แล้วไม่ใช่คนรึ” สารภีเสียงดังใส่จนอรอาภาสะดุ้งตกใจหน้าซีดเผือดทำอะไรไม่ถูก
“คนกรุงเทพฯ ก็คนเว้ย คนโคกอีแร้งก็คน เพียงแต่เขายังไม่เข้าใจที่เอ็งพูด มันจะอะไรนักหนาวะนังสารภี”
เสียงหญิงชราคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยภาษาสำเนียงภาษาไทยชัดเจน อรอาภาหันไปมองด้วยความรู้สึกดีใจเหมือนเจอคนบ้านเดียวกัน
“ยายสี เจ้าอย่ายุ่งเรื่องของเด็กน้อยน่า..”
หญิงชราที่ยังดูกระฉับกระเฉงสวมเสื้อแขนกระบอกสีครามกับผ้าซิ่นไหมลายโบราณดูเก่าซีดแต่ก็ดูสะอาดสะอ้านงดงาม กำลังปิ้งข้าวเหนียวซึ่งห่อใบตองเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมปลายแหลมๆ ยิ้มให้อรอาภา
“แม่หนูกินข้าวเหนียวปิ้งไหม อร่อยนะ มีไส้กล้วย เผือก แล้วก็ไส้มะพร้าวอ่อน สูตรเด็ดเลยนา มานี่มา..”
อรอาภาไม่สนใจคนอื่นรีบเดินมายืนหน้ารถเข็นซึ่งมีเตาปิ้งข้าวเหนียวห่อใบตองหอมกรุ่นทันที ทำให้สารภีหน้าม้านไปเล็กน้อยที่ตนไม่ได้รับความสนใจจากสาวชาวกรุง
“อันเท่าไหร่จ๊ะคุณยาย”
“ห่อละสิบบาทเท่านั้นจ้า อันนี้ยายให้ชิมฟรี” ยายสี ยื่นข้าวเหนียวปิ้งให้อรอาภาหนึ่งห่อหญิงสาวรีบรับมาแกะกินทันที
“อร่อยจริงๆ ด้วยค่ะ อันนี้ไส้เผือกหวานกำลังดี หนูอ่อนซื้อคุณยายสามร้อยบาทค่ะเอารวมกันทุกไส้เลยนะคะจะเอาไปฝากคนที่บ้านด้วย” อรอาภายืนคุยกับยายสีอย่างรู้สึกอุ่นใจ
“นี่นังหน้าขาวฉันพูดกับเธออยู่ จะเดินหนีแบบนี้ไม่ได้”
สารภีเดินมากระชากแขนอรอาภาอย่างแรงด้วยความไม่พอใจ เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีใครทำแบบนี้ทุกคนต้องตั้งใจฟังเธอ และต้องฟังเธอพูดจนจบเสียก่อน ไม่มีใครเดินหนีทั้งที่ยังพูดไม่จบหรือในขณะที่กำลังพูด้วย
“นี่.. นังสารภีมันจะมากไปแล้วนะ”
ชบาเดินมาขวางสารภีไว้ทั้งสองสาวท่าทางเกรี้ยวกราดเหมือนจะฟาดฟันกัน อรอาภาหน้าเสียไม่คิดว่าจะต้องมาเป็นต้นเหตุให้ใครทะเลาะกันจึงรีบเอ่ยขึ้น
“หนูอ่อนเป็นหลานของแม่ใหญ่ไพลินค่ะคุณสารภี และยังไม่ได้เป็นแฟนอ้ายเคนด้วย คุณสารภีคนสวยใจเย็นๆ นะคะ อย่าทำหน้าบึ้งเดี๋ยวไม่สวย ทำหน้าบึ้งเกรี้ยวกราดบ่อยๆ ไม่ดีนะคะเดี๋ยวมีริ้วรอยก่อนวัยและทำให้ความดันขึ้นได้ ใจเย็นๆ นะคะคุณสารภีคนสวย”
อรอาภาพูดกับสารภีด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและคำชมของเธอทำให้สารภีใจเย็นลงอย่างไม่น่าเชื่อ หญิงสาวแอบยิ้มอย่างภูมิใจที่สาวชาวกรุงชมว่าตนสวยทั้งอรอาภายังไม่ได้เป็นแฟนกับอ้ายเคนด้วย
“จังแม่นบ้าย่อง” ชบาทำเสียงอุบอิบในคอหมั่นไส้ท่าทางยิ้มย่องอย่างคนบ้ายอของสารภีเสียนัก
“คุณสารภีกินข้าวเหนียวปิ้งไหมคะ อร่อยนะคะ”
“ไม่อะ กินจนเบื่อแล้ว ยายสีแกขายข้าวเหนียวปิ้งมาตั้งแต่ฉันยังตัวเล็กๆ จนแกแก่เหนียงยานแล้วก็ยังขายอยู่ไม่รู้จักอยู่เฉยๆ ลูกหลานให้อยู่บ้านก็ยังดื้อมาขายของ” สารภีพูดภาษากลางกับอรอาภาแต่น้ำเสียงสำเนียงก็ยังแข็งๆ แบบคนที่เคยชินกับการพูดอีสานมากกว่า
“แล้วลูกหลานแกไปไหนหรือคะ”
“ก็นั่งหัวโด่อยู่นี่ไงคะคุณหนูอ่อน”
ชบาบุ้ยใบ้มาทางสารภีที่ชี้หน้าชบาอย่างไม่ค่อยพอใจเนื่องด้วยเป็นคู่กัดคูปรับกันเสมอตั้งแต่เด็กๆ แต่ก็ไม่เคยมีอะไรรุนแรง แค่มีปากเสียงกันประสาสาวปากไวปากจัดทั้งคู่
“นังสารภีมันเป็นหลานยายเองแหละ แต่มันจู้จี้จุกจิกปากมากน่ารำคาญ”
“ยายนั่นล่ะพูดมาก บ่นอะไรนักก็ไม่รู้ เนี่ยใครๆ ก็คิดว่าลูกหลานไม่ดูแลปล่อยทิ้งปล่อยขว้าง”
“ฉันเบื่อพวกแกไง จะให้ฉันอยู่แต่บ้านแล้วพวกแกก็ออกมาข้างนอกกันหมด ปล่อยให้ฉันอยู่คนเดียว เหงาเป็นเหมือนกันนะเว้ย ให้คนแก่อยู่แต่บ้านนั่งๆ นอนๆ อัลไซเมอร์ก็แดกห่ากูพอดี” ยายสีบ่นแล้วชี้หน้าสารภีอย่างหมั่นไส้ความเจ้ากี้เจ้าการของหลานสาว
“นั่นๆ ยายพูดไม่เพราะกับฉัน จ่ายเงินค่าปรับมาเลย” สารภีแบมือไปตรงหน้ายายสี
“ไม่มีเว้ย” ยายสีทำทีบ่ายเบี่ยง
“อย่ามาทำเฉไฉน่ายายเมื่อกี้คุณหน้าขาวเขาให้เงินยายสามร้อย ยายพูดไปกี่คำนะ นับก่อน..” สารภีทำท่านับนิ้ว ยายสีจึงคว้าตะบวยที่ใช้ตักถ่านใส่เตาฟาดลงไปศีรษะเธอเบาๆ
