บทที่1.
“บักเคนมันว่ายังไงบ้างล่ะแม่ใหญ่” พ่อใหญ่ปีเตอร์ ถามเมียรักที่เดินขึ้นเรือนหลังงามมา
“ก็ตีโพยตีพายงุ่นง่านอยู่นั่นล่ะพ่อใหญ่ อย่าไปสนใจเลย มันต้องหักดิบกันบ้าง ตามใจกันมานานแล้ว”
แม่ใหญ่ไพลินบอกสามีเป็นภาษาพื้นบ้านของตน แม้ว่าพ่อใหญ่ปีเตอร์จะเป็นคนออสเตรเลียตั้งแต่กำเนิด แต่เพราะอยู่เมืองไทยมากว่าสามสิบปีแล้วพ่อใหญ่ปีเตอร์จึงพูดภาษาไทยชัดเจนทุกคำและเขาก็รักวัฒนธรรมไทยรักประเทศไทยมาก จะเรียกเขาว่าเป็นคนไทยคนหนึ่งได้เลยทีเดียว
“หึหึ.. ท่าทางจะขัดใจหนักล่ะสิ”
“แทบจะพ่นไฟเลยล่ะ” แม่ใหญ่ไพลินพูดยิ้มๆ
“แล้วนี่เราจะไปกรุงเทพฯ กันวันไหนล่ะ”
“อาทิตย์หน้าดีไหม ให้เขาได้เตรียมตัวเตรียมใจบ้าง”
“อืมมม.. แบบนั้นก็ได้ มาเถอะกินข้าวกันไม่ต้องรอบักเคนแล้วป่านนี้คงสุมหัวอยู่กับลูกน้องหาทางบ่ายเบี่ยงงานแต่งแล้วล่ะ”
“น้องก็คิดแบบนั้น แต่คนอย่างน้องไม่มีทางเสียเหลี่ยมให้ลูกชายตัวแสบของพ่อใหญ่ดอก”
“จ้า... เมียอ้ายเก่ง สวย เริดกว่าผู้ใด๋”
“แม่นแล้วจ้า..” แม่ใหญ่ไพลินยิ้มกว้างพอใจที่สามีชมไม่ขาดปาก แล้วสองผัวเมียก็นั่งกินข้าวกันอย่างมีความสุข วาดหวังถึงวันที่ลูกชายคนเดียวเป็นฝั่งเป็นฝาและได้อุ้มหลานกับเขาบ้าง...
ทางด้านเคนกับลูกน้องทั้งสองนอนแผ่อยู่บนแคร่ไม้ไผ่หน้ากระท่อมปลายนาอันสวยงามของเคนทอดอารมณ์มองทุ่งนาเขียวขจีตรงหน้าไปเรื่อยๆ ชีวิตในชนบทโดยเฉพาะชาวไร่ชาวนานั้นไม่ได้ต้องเร่งรีบกับอะไรทั้งนั้น ได้เวลาก็ทำงานก็ทำ เหนื่อยก็พัก แต่ทุกวันนี้การทำสวนทำไร่ทำนามันก็ไม่ได้ยุ่งยากลำบากเหมือนเมื่อก่อนแล้วเพราะมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยทุ่นแรงและครอบครัวของเคนก็มีทั้งรถไถนา รถเกี่ยวข้าว รถตัดอ้อย เครื่องมือเครื่องจักรทางการเกษตรหลายอย่าง ทั้งมีไว้ใช้เองและจำหน่ายในราคาที่ไม่แพงเกินกว่าชาวบ้านจะเอื้อมถึงและยังมีการบริการซ่อมให้ฟรีด้วย
ครอบครัวของเคนมีท่านาอยู่เกือบพันไร่ที่จัดสรรอย่างลงตัว โดยแบ่งให้ชาวบ้านเช่าทำนาโดยไม่คิดค่าเช่าหลายร้อยไร่เลยทีเดียวและทำนาเองแค่ร้อยกว่าไร่ โดยจัดสรรพื้นที่ทำไร่นาแบบผสมผสาน ในอาณาบริเวณบ้านสวนของเคนนั้นมีพืชผลแทบทุกอย่างอยากกินอะไรก็เดินมาหาในสวน ทั้งผัก ผลไม้ หมูเห็ดเป็ดไก่ปลาก็มีพร้อมสรรพ
“เดี๋ยวพรุ่งนี้เราต้องเตรียมปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี่เหมือนเดิม พวกมึงต้องไถกลบให้เรียบร้อย”
เคนชี้บอกลูกน้องทั้งสอง เขาเตรียมพื้นที่ไว้สำหรับปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี่ไว้สำหรับกินเองและส่งขายให้เพื่อนๆ ประมาณห้าสิบไร่และเป็นการทำไร่นาแบบเกษตรอินทรีย์
“ครับอ้ายเคน”
“เสร็จแล้วจะได้ไปจัดการธุระของเรา”
“เอาจริงรึอ้ายเคน แม่ใหญ่รู้เข้าล่ะแย่เลยนะ”
“มึงไม่พูด กูไม่พูดใครจะรู้วะ” เคนหันมาทำเสียงดังใส่ลูกน้องดวงตาขุ่นเข้ม
“แต่เราจะหาเหตุผลอะไรไปกรุงเทพฯ ล่ะอ้าย”
“เราก็บอกว่าไปเที่ยวกรุงเทพฯ สิ พอดีละกูจะไปหาเพื่อนด้วย” อ่อมกับเอกพยักหน้ารับรู้ เคนถอนหายใจแล้วลุกขึ้นไปยืนกอดอกมองทุ่งนาตรงหน้าที่ยังไม่ได้เพาะปลูกข้าว แต่อีกฝั่งนั้นปลูกไปแล้วเพราะเขาวางแผนการปลูกข้าวไว้สามรุ่นเพื่อเก็บเกี่ยวเป็นช่วงๆ ไป
“อยากเห็นหน้ายายคนนั้นจังเล้ย จะงามปานไหนวะ” เคนเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิดพยายามนึกว่าหญิงสาวที่พ่อแม่หาให้นั้นจะสวยแค่ไหนกันเชียว
จะว่าไปคนอย่างเขาไม่เคยขาดแคลนเรื่องผู้หญิงหรอก ผู้หญิงทั้งตำบลโคกอีแร้งนี่อยากจะเป็นคู่ควงเขาทุกคนนั่นล่ะ หล่อรวยสมบูรณ์แบบอย่างเขาผู้หญิงที่ไหนก็สนใจแต่เคนก็เลือกคบเลือกควงไม่ใช่คลำไม่มีหางก็เอาไปทั่ว และที่สำคัญเขาค่อยข้างรักสันโดษ ชอบใช้ชีวิตแบบหนุ่มชาวบ้านมากกว่า ผู้หญิงน้อยคนจะเข้าถึงเขาหากเขาไม่ต้องการ และท่าทางดุดดันดิบๆ เถื่อนๆ หนวดเคราไม่โกน ใส่กางเกงขาก๊วยเดินท่อมๆ กลางไร่กลางนากลางแดดสาวๆ ส่วนใหญ่ก็ไม่สู้ เคนไม่ได้ทำงานงกๆ ปิดหูปิดตาเป็นชาวไร่ชาวนาโง่ๆ แต่เขาเป็นคนที่หูตากว้างไกลและทันสมัยและฉลาดมากทีเดียว
เคนจบด็อกเตอร์ทางด้านการเกษตรจากออสเตรเลียเคยทำงานวิจัยต่างๆ ให้กับหน่วยงานรัฐและเอกชนมามากแต่ชอบใช้ชีวิตที่บ้านนอกมากกว่า อีกทั้งชายหนุ่มก็มีธุรกิจร่วมกับเพื่อนๆ ที่อยู่ออสเตรเลีย และเขาก็ลงทุนในตลาดหุ้นด้วย อีกทั้งกิจการร้านขายรถและเครื่องมืออุปกรณ์ทางการเกษตรของครอบครัวก็สร้างรายได้ให้กับครอบครัวมากโขเรียกได้ว่าอยู่ได้สบายๆ โดยไม่ต้องดิ้นรนอะไรมาก อีกทั้งพ่อใหญ่ปีเตอร์พ่อของเขาก็เป็นที่นับหน้าถือตาเรียกได้ว่าเป็นคนมีชื่อเสียงคนหนึ่งของตำบล จะเรียกว่าเคนเป็นหนุ่มไฮโซบ้านทุ่งบ้านนาก็ไม่ผิดนัก
ชีวิตเหมือนนิยายน้ำเน่า.. นั่นคือสิ่งที่ หนูอ่อน หรือ อรอาภา อภิรัตนกุล กำลังคิด หญิงสาววัยยี่สิบสามปีรูปร่างบอบบางอรชรอ้อนแอ้น ผิวขาวละเอียดผุดผ่องดังไข่มุก ใบหน้าเรียวรูปไข่หวานละมุนดวงตากลมโตดำขลับเป็นประกาย จมูกเรียวโด่งสวยรับกับริมฝีปากรูปกระจับอิ่มเต็มตึงสีชมพูสด เรือนผมสีน้ำตาลเข้มนุ่มสลวยยาวเหยียดตรงเต็มแผนหลัง อรอาภาคือหลานสาวของ คุณหญิงอรพินท์ หญิงชราที่ฉลาดเฉลียวและอ่อนโยนเป็นคนที่ใครๆ ในบ้าน อภิรัตนกุล ให้ความเคารพยำเกรงแต่ตอนนี้ท่านได้จากไปตลอดกาลและทั้งให้เธอต้องอยู่ลำพังท่ามกลางแม่เลี้ยงใจร้ายและน้องต่างบิดาที่ค่อนข้างห่างเหินกัน มีอะไรจะน้ำเน่ากว่านี้อีกไหมหนอ...
“แกต้องแต่งงานกับลูกชายไอ้ฝรั่งขี้นกบ้านนอกนั่น เลือกเอาก็แล้วกันว่าระหว่างไปเป็นเมียน้อยเสี่ยสงกรานต์กับแต่งงานกับฝรั่งขี้นกไปอยู่บ้านนอกคอกนาคลุกขี้ดินขี้โคลน แกจะเลือกอะไร”
เสียงแหลมๆ ของ คุณพิสมัย เสียดแทงความรู้สึก ใจที่บอกช้ำเพราะเพิ่งเสียคุณย่าไปยังไม่ทันจางหายก็ถูกเหยียบย่ำซ้ำให้เจ็บปวดไปอีก
“ถ้ารักสบายฉันว่าเธอไปเป็นเมียน้อยเสี่ยสงกรานต์ดีกว่านะ ได้อยู่หรูหราสุขสบายเป็นเมียน้อยออกหน้าออกตาด้วยนะ” อรสินี น้องสาวต่างพ่อพูดขึ้นใบหน้าสวยจัดมีแววเย้ยหยันในที
“ตกลงจะว่าไงฉันจะได้ให้คำตอบเขาไป”
“คุณน้าขาหนูอ่อนไม่อยากไปไหน ได้โปรดเมตตาหนูอ่อนด้วยนะคะหนูอ่อนไม่อยากแต่งงานไม่ว่ากับใครทั้งนั้น ให้หนูอ่อนอยู่ที่นี่ต่อไปได้ไหมคะ ให้หนูอ่อนอยู่ในฐานะสาวใช้ก็ได้ แต่อย่าให้หนูอ่อนไปที่อื่นเลยนะคะ” หญิงสาวพยายามอ้อนวอนให้นางเห็นใจ คุณพิสมัยเบะปากเหยียดยิ้มอย่างชิงชัง
