ตอนที่ 3
เจ้านายร้ายรัก ๑ / ตอนที่ 3
“เป็นอะไรไป ยายกุ้ง?”
กันยาอดไม่ได้ที่จะถาม เมื่อเห็นกิริยาผุดลุกผุดนั่งของบุตรสาว แถมยังเดินกลับไปกลับมาคล้ายคนกำลังใช้ความคิดหนัก
“เปล่าค่ะ”
“อะไรเปล่า แม่เห็นแกเดี๋ยวลุกเดี๋ยวนั่ง ทำท่าราวกับกินยาเบื่อหนูเข้าไป แล้วยังมีหน้ามาบอกอีกว่าเปล่า”
ปากพูดหากมือยังสาละวนอยู่กับการคัดละมุดลงแข่ง
“หนูเบื่อน่ะค่ะแม่”
คราวนี้บุตรสาวถอนใจ
“สมัครงานไว้ตั้งสามสี่ที่ไม่เห็นจะมีบริษัทไหนเรียกเข้าไปสัมภาษณ์สักที”
“ก็ใจเย็นๆ หน่อยซี เดี๋ยวนี้งานหาได้ง่ายๆอยู่เรอะ ทำไมนะ ไร่สวนเราก็มี ถ้าดูแลดีๆ มิรวยกว่าเป็นลูกจ้างเขาหรอกรึ? มาช่วยแม่ดูแลสวนเถอะน่า จะได้ไม่ต้องออกไปทนกับสภาพรถติดบนถนน”
นั่นเป็นการกล่าวเล่นมากกว่าจริงจัง เพราะรู้คำตอบดี
“แม่จ๋าแม่...” บุตรสาวลากเสียง “ลูกสาวสุดที่รักคนเดียวในโลกของแม่จบวิดซิวะ กำมันทุกศาสตร์มานะแม่นะ ไม่ใช่จบเกษตรเอกพืชนาสาโทจะได้ให้มาทำสวนทำไร่เมื่อเรียนจบ ไม่ไหวค่ะ ไม่ไหว”
“ก็เพราะคิดกันยังงี้นะซี พวกบัณฑิต มหาบัณฑิตจบใหม่ถึงได้ตกงานเป็นแสนเป็นล้าน เรื่องของเรื่องก็เพราะเลือกงาน แทนที่ว่ามีอะไรก็ทำๆ ไปก่อน จะได้มีประสบการณ์”
“โธ่...แม่ก็”
ผู้เป็นลูก ซึ่งยังชอบประกาศบ่อยๆ ด้วยว่าเป็นลูกสาวสุดที่รักคนเดียวในโลก ทำเสียงอ่อนอกอ่อนใจ
“ไอ้มีอะไรก็ทำๆ ไปก่อนน่ะ คงไม่ได้หมายความว่าจะให้บัณฑิตวิดซีวะอย่างหนู มาเริ่มจับงานแรกด้วยการเป็นชาวสวนตามบาน-พะ-บู-หรุด หรอกนะคะ แม่ลองคิดดูซี๊... เวลาบริษัทเขาเรียกหนูไปสัมภาษณ์ แล้วหนูไปบอกเขาว่าหนูก็พอมีประสบการณ์ในการทำงานมาบ้างแล้ว คือทำสวน มีหวังถูกชู้ตโด่งออกมาแทนที่จะได้ เพราะเขานึกว่าเล่นตลกไม่เป็นเวลาร่ำเวลา อย่างมาก ถ้าคนสัมภาษณ์พอมีอารมณ์ขันหน่อย ก็อาจจะค่อยๆ เจระจาอัญเชิญให้หนูพาตัวเองไปพ้นๆ บริษัทเขาเสียโดยไว”
“สรุปว่าแกจะไม่ทำงานอย่างอื่น นอกเหนือจากสายวิชาที่เรียนมา?”
“ก็... ไม่ใช่ว่าจะไม่ทำอะไรเลย มีอะไรที่พอจะช่วยงานแม่ได้ไปพลางๆ ช่วงที่ยังไม่มีบริษัทไหนใจอ่อน เรียกมา หนูก็เต็มใจช่วย แต่จะให้ยึดเป็นอาชีพ... หนูขอปฏิเสธเป็นคำขาดเถอะนะจ๊ะ แม่จ๋า”
“ฉันละไม่เข้าใจ...” ผู้เป็นมารดาส่ายหน้า “ทำไมเด็กสมัยนี้ถึงได้พากันหัวสูงนัก ชอบมองว่าการเป็นเกษตรกร เป็นอาชีพที่ต่ำต้อย”
“ไม่เกี่ยวกับเรื่องหัวสูงหรือต่ำหรอกค่ะ” กุลชาดารีบกล่าวแก้ ก่อนทำตาเจ้าเล่ห์ “แต่แหม... ใจคอแม่จะให้หมอมาทำนา ให้พยาบาลมาทำไร่ แทนรักษาพยาบาลคนป่วยเชียวหรือจ๊ะ”
“อุ๊ย! หมั่นไส้!”
พร้อมกับที่ทำเสียงอย่างหมั่นไส้หมั่นพุงจริงๆ กันยาจิ้มนิ้วเข้าที่หน้าผากเกลี้ยงเกลาที่ยื่นเข้ามาใกล้
“ทำเป็นพูดท่านั้นท่านี้ ที่แท้ก็จะเอาชนะแม่ให้ได้เท่านั้นเอง เอาเถ๊อะ แม่คนหัวสูง! ต้องทำงานตามที่เรียนมาเท่านั้น ถ้าเงินเดือนไม่พอใช้ ก็อย่ามาขอชาวสวนคนนี้ซะให้ยาก จ้างให้ก็ไม่ให้”
“โถ ... โถ...โถ....แม่จ๋า แม่ที่รักที่สุดในโลก”
หลังจากผงะหน้าหงายไปนิดหนึ่ง ก็ขยับเข้าใกล้ร่างมารดายิ่งขึ้น ก่อนจะวาดแขนเรียวออกโอบร่างท้วมกว่าเพียงเล็กน้อยไว้แน่น ทำเสียงออด
“ ถ้าลูกสาวที่แสนจะน่ารักคนนี้ไม่ขอ แล้วแม่จะให้ใครขอละคะ น่า .... คิดซะว่ายื้ม มีเมื่อไหร่คืน ไม่มีไม่คืน ทวงมากหนี้สูญ”
ว่าแล้วก็ฉีกยิ้มประจบ แทบจะเห็นฟันครบสามสิงสองซี่ ไม่สนกิริยาค้อนควักของผู้เป็นแม่ เพราะรู้ดีว่า ไม่ว่ามารดาจะพูดจะบ่น หรือแสดงท่าทีอย่างไร แต่ในใจของผู้เป็นแม่ ซึ่งเลี้ยงลูกมาตามลำพังเกือบสิบปี นับแต่สามีตายจาก โดยมีแม่ผู้ย่างเข้าสู่วัยชราคอยช่วย ก็เต็มไปด้วยความรัก ความอาทร
“นี่ ไม่ต้องมาประจบแม่”
ในกังวานเสียงเอ็ด คือ สายใยแม่ลูกผูกพันกัน
“ต้องประจบซีคะ แทนพ่อไง เฮ๊อ... ว่าแล้วก็คิดถึงพ่อ ไม่น่ารีบตัดช่องน้อยไปก่อนเล๊ย”
บ่นอุบแล้วก็ทิ้งศีรษะลงหนุนตักอุ่นดื้อๆ
“ดู๊... ลูกคนนี้ พูดอะไรไม่เข้าท่า”
“งั้น ไม่พูดแล้วค่ะ เอ ... คุณยายเข้านอนแล้วหรือคะ”
“เข้ามุ้งแต่หัวค่ำแน่ะ เห็นบ่นว่าปวดเมื่อยเนื้อตัว นี่แม่กะว่าพรุ่งนี้สายๆ จะพาไปให้หมอสมบูรณ์ตรวจอาการเสียหน่อย เห็นกินอะไรลงไปก็บ่นแต่ว่าปวดท้อง หนูเฝ้าบ้านให้แม่ด้วยแล้วกัน”
กุลชาดาเล็งเห็นแววกังวลในสีหน้าของมารดา ก็รีบปลอบ
“คุณยายไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ ที่เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวก็คงตามประสาคนแก่นั่นแหละ”
“แม่ก็หวังอย่างนั้น”
ว่าแล้วหันไปหยิบใบตองมาปิดทับปากเข่งอีกชั้นเป็นอันเสร็จกรรมวิธี
“เออ นี่ เดี๋ยวหนูแบ่งสาเกเชื่อมไปให้บ้านลุงนวยด้วยนะ ช่วยถามป้าวรรณให้แม่ด้วยว่า พรุ่งนี้เย็นๆ จะไปธุระที่ไหนหรือเปล่า ถ้าไม่ไปไหน บอกว่าแม่จะไปหา”
ลุงนวยกับป้าวรรณ ไม่ใช่ใครที่ไหนทั้งสองคือบิดามารดาของนรวิชญ์ เพื่อนบ้านที่รู้จักกันมาแต่รุ่นปู่ย่าตายายนั่นเลย
“ค่ะ มีอะไรอีกมั้ยคะ ที่จะให้สตรีไปรษณีย์คนนี้รับใช้”
กุลชาดาหัวเราะเสียงใส เมื่อถูกมารดาค้อนให้
เวลาผ่านไปกว่าสามสัปดาห์ วันที่รอคอยมานานก็มาถึง นั่นคือวันที่ก็ได้รับการติดต่อให้ไปรับการสัมภาษณ์ ตามที่ได้สมัครงานเอาไว้ ที่บริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง
กุลชาดาตื่นแต่เช้าด้วยความตื่นเต้น รีบอาบน้ำแต่งตัวและออกจากบ้าน โดยอาหารเช้าแทบไม่แตะ นอกจากกาแฟกับขนมปังที่มารดาซื้อมาจากตลาด
การสัมภาษณ์ผ่านไปอย่างเรียบร้อย ผลออกมาว่า โชคดีเป็นของเธอ ที่สามารถตอบคำถามชนะใจผู้ทำหน้าที่สัมภาษณ์ ซึ่งเป็นหญิงกลางคน ท่าทางเอาการเอางานและเจ้าระเบียบ
