บทที่ 1 ลูกเขยหายหัว
ภายในห้องพักผู้ป่วย
อัญญารินทร์รู้สึกตัวขึ้นดวงตาเศร้าลืมขึ้นช้า ๆ รู้สึกอ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรงริมฝีปากแห้งกระหายน้ำงดดื่มน้ำมาเกือบครึ่งวันก่อนคลอดลูกจนกระทั่งตอนนี้
“ตื่นแล้ว ๆ แม่ไปดูหลานมาผิวขาวอมชมพูปากนิดจมูกหน่อยขี้เหร่มากเลย” วีณารีบลุกจากโซฟาด้วยความยิ้มแย้มตรงมาหาลูกสะใภ้ที่อิดโรย
“ลูกคงได้ขาวเหมือนพ่อค่ะ” อัญญารินทร์เสียงแหบแห้งกลืนน้ำลายลงคอลำบากนึกถึงสามีผิวพรรณขาวเนียนใบหน้าใสคิ้วเข้มเปลือกตาสองชั้นดวงตาจมูกโด่งเป็นสันริมฝีปากหนากระจับสีชมพูระเรื่อหล่อสะอาดสะอ้านดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้าโดยธรรชาติ
“นั่นสิดีเอ็นเอพ่อมาชัด เหมือนตอนธนาเล็ก ๆ เลย”
“เมื่อไหร่ลูกเขยจะมา เมียเจ็บท้องจนคลอดลูกจนป่านนี้ฉันยังไม่เห็นหน้าพ่อเด็ก” เมลินดาแทรกขึ้นนั่งหน้าตึงอยู่บนโซฟาอีกฝั่งของเตียงผู้ป่วย
“ธนาคงติดเคสผ่าตัดค่ะคุณลิน” วีณายิ้มแห้งรีบออกหน้าแทนลูกชาย
“ไม่ยืนขาแข็งหน้ามืดในห้องผ่าตัดไปแล้วเหรอ นี่มันผ่านมาเกือบสิบชั่วโมงแล้วหัดเห็นใจลูกฉันและเกรงใจฉันบ้าง!”
“เดี๋ยววีรีบโทรเช็กให้นะคะ”
“ไม่ต้องโทรหรอกค่ะคุณแม่ ถ้าพี่ธนาติดงานก็ไม่เป็นไร” อัญญารินทร์เอ่ยห้ามแม่สามีที่รีบคว้าโทรศัพท์มาติดต่อหาสามีให้เธอ
“แม่พระเข้าไปเถอะกับผัวแกเนี่ย นับวันยิ่งไม่เห็นหัวเมียขนาดคลอดลูกของมันแท้ ๆ เจ็บแทบปางตายมันยังไม่โผล่หัวมาดูเลย” เมลินดานั่งเขม่นลูกสาวตามใจสามีจนมองไม่เห็นค่าของตัวเองแล้วยังจะทำเป็นเข้าข้าง
“ถ้าเสร็จธุระแล้วธนาต้องมาดูแลหนูแบมแน่นอนค่ะ”
“ไม่ได้เรื่องเป็นถึงอาจารย์หมอซะเปล่า” เมลินดายังเหวี่ยงใส่ตามสไตล์ลูกคนรวยเลี้ยงดูมาอย่างตามใจ อัญญารินทร์เห็นแม่สามีหน้าเจื่อนจึงเปลี่ยนเรื่อง
“หนูขอน้ำดื่มหน่อยนะคะ”
“ได้จ้ะ” วีณารีบกุลีกุจอหยิบเหยือกน้ำมาเทน้ำดื่มใส่แก้วแล้วยื่นส่งให้ลูกสะใภ้ที่กำลังกดรีโมตให้หัวเตียงกระดกขึ้น
“ขอบคุณค่ะ” เธอหยิบแก้วน้ำมาดื่มน้ำบาดคอแหบแห้งนิด ๆ ก่อนจะวางแก้วแล้วเห็นกล่องขนมเค้กชิ้นเล็ก ๆ สองชิ้นวางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง
“นี่ขนมเค้กของใครคะ?”
“อุ้ย ไม่ได้สังเกตเลยคงมีคนเอามาวางตอนที่แม่ไปดูหลานแน่เลย น่ากินด้วยนะ มีชื่อร้านด้วย....เอ่อ เดี๋ยวแม่เอาไปแช่ในตู้เย็นก่อนนะ” วีณารีบคว้าถุงใส่ขนมเค้กมาเปิดออกดูพูดเสียงแจ๋วอยู่ ๆ ก็ชะงักสายตาหลุกหลิกก่อนจะรีบปิดถุงทันที
“ขอดูเค้กหน่อยได้ไหมคะ?”
“เค้กทั่วไปลูก หนูกินข้าวเสร็จแล้วเดี๋ยวแม่จะจัดใส่จานให้”
“หนูขอดูเค้กหน่อยค่ะ” เธอเสียงแข็งสีหน้าเรียบเฉยทำให้แม่สามีกังวลต้องจำใจยื่นถุงขนมเค้กให้กับลูกสะใภ้ อัญญารินทร์หยิบถุงขนมมาเปิดเห็นขนมเค้กดีไซน์น่ารักแล้วอ่านชื่อร้านที่เป็นสติกเกอร์ติดอยู่บนกล่อง
“ploylada café ” เสียงหวานแผ่วเบาเพียงเท่านั้นน้ำตาก็ร่วงหล่นหน้าแดงจมูกแดงขึ้นหอบหายใจแรงทันที
“ก็คงเป็นเจ้าอร่อยไม่น่าจะใช่ของร้านคนรู้จักหรอกเนอะ เดี๋ยวแม่เอาไปเก็บในตู้เย็นนะ” แม่สามีแสยะยิ้มสีหน้าไม่สู้ เมลินดากอดอกเอียงคอมองสงสัย
“รบกวนคุณแม่ช่วยเอาไปทิ้งถังขยะให้หน่อยค่ะ ทิ้งข้างนอกห้องนะคะหนูไม่อยากเห็น” หน้าสวยกล้ำกลืนเกร็งคอขึ้นเอ็นรีบรวบถุงส่งให้แม่สามีรับไว้
“จ้ะ ๆ” วีณารีบรับคำคว้าโทรศัพท์เดินปรี่ออกไปอย่างรีบร้อน เมลินดาเหล่มองลูกสาวที่กำลังนั่งปาดน้ำตา
“พลอยลดาชื่อคุ้น ๆ”
“แฟนเก่าพี่ธนา” เสียงหวานสั่นเครือเสียใจเจ็บปวดและอ่อนล้าเต็มที
“ฮะ! คิดได้ไงซื้อของร้านแฟนเก่ามาฝากเมีย ตลก” แม่แค่นหัวเราะเย้ยที่เธอห้ามแล้วว่าไม่ให้แต่งงานด้วยแต่ไม่ฟังเพราะหลงรักเขานักหนาแล้วดูมันทำไม่ไว้หน้ากันเลยสักนิด อัญญาวรินทร์กลั้นสะอื้นเหล่มองแม่ที่ไม่เคยปลอบโยนก่อนจะปรับเตียงลงนอนแล้วห่มผ้าหนีแม่
“นิ่งไม่โวยวาย”
“จะเงียบหรือโวยวายเขาก็ไม่รักแล้วจะทำให้เหนื่อยทำไมคะแม่” ริมฝีปากบางสั่นระริกมือกำผ้าห่มแน่นสะเทือนอารมณ์แต่ไม่อาจบอกให้ใครเข้าใจได้
“ขี้แพ้ เสียแรงที่แกเกิดมาเป็นลูกฉันจริง ๆ” เมลินดากลอกตาเสียงเหวี่ยงลูกสาวอ่อนแอไม่ได้ดั่งใจจนน่ารำคาญ
ด้านวีณาเดินหน้าง้ำคิ้วขมวดออกมาโยนขนมเค้กทิ้งด้วยความโมโหแล้วโทรหาลูกชายทันที
“ครับแม่”
“อยู่ที่ไหนทำไมไม่มาดูแลหนูแบม?”
“ผมไม่ได้เป็นหมอสูติไปจะช่วยอะไรได้” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเหนื่อยหน่าย
“แต่แกเป็นสามีและพ่อของลูกแค่มาคอยดูแลเมียมันจะตายมั้ย!” วีณาตวาดลั่นโมโหการต่อต้านของลูกจนประสาทจะกิน
“ผมเอาขนมไปเยี่ยมแล้วไง”
“ขนมเค้กจากร้านแฟนเก่าเนี่ยนะ”
“ก็แบมชอบกินขนมเค้ก”
“แต่มันไม่ใช่จากร้านแฟนเก่าไง หัดคิดให้มันเยอะกว่านี้หน่อยได้ไหม!” วีณาบ่นกระปอดกระแปดเอือมระอาแต่ทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้
“ผมคิดได้แค่นี้แหละครับ เพราะถ้าคิดเยอะผมคงไม่แต่งงานกับแบมเพราะแม่อยากได้มรดกของเขาหรอก แค่นี้นะครับผมมีตรวจคนไข้” เสียงทุ้มขุ่นเคืองก่อนจะกดตัดสายแม่ไปดื้อ ๆ วีณากำลังจะอ้าปากบ่นแต่ไม่ทันพยายามโทรกลับลูกก็ไม่ยอมรับสายเลยยืนกระวนกระวายนอกห้องไม่กล้าเข้าไปเผชิญหน้ากับแม่ยายของลูกชาย
