บทที่ 2-1
“น้องว่าน...น้องว่านจ๊ะได้ยินพี่มั้ย?” เสียงหนึ่งลอยเข้ามาในโสตประสาททำให้หญิงสาวลืมตาตื่น
“พี่ต้าร์” เธอครางชื่อเขาเบาๆ พร้อมกับเผยอตาตื่นอย่างเต็มที่ ดวงหน้าหล่อเหลานั้นลอยวนอยู่เหนือดวงตาทั้งสองข้าง รอยยิ้มอบอุ่นของเขายังแย้มพรายเช่นทุกครั้ง
“นี่ว่านอยู่ที่ไหนคะเนี่ย?” ร่างบางหันมองไปรอบๆ ห้องสีขาว ฝั่งตรงข้ามเป็นหน้าต่างมีม่านหลุยส์สีครีมทอง
“ก็บ้านริมแม่น้ำเจ้าพระยาไงครับ จำไม่ได้เหรอ?” ทีนี้แววตาเป็นประกายเริ่มฉายมองไปรอบๆ อีกครั้ง บนผนังยังปรากฏรูปภาพวิวทิวทัศน์ในกรอบไม้ เหนือเตียงนอนเป็นโคมไฟสีทองอร่ามเรือง...ใช่จริงๆ ที่นี่คือบ้านริมแม่น้ำหลังนั้น
“แล้วว่านมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ?”
ศิระคุณยิ้มนิ่งๆ ไม่ตอบ สองตาจับจ้องแต่ใบหน้าของหญิงอันเป็นที่รัก เธอมองเขาตอบอย่างสงสัยในที มืออุ่นยกขึ้นลูบไรผมอย่างทะนุถนอม พร้อมถามเธอว่า ‘เหนื่อยไหม?’
แทนคำตอบ แสนสิวายิ้มอย่างอ่อนล้า มองหน้าเขาด้วยนัยน์ตาชื้น โผขึ้นกอดร่างหนาไว้แนบแน่นอย่างโหยหา ศิระคุณกระชับอ้อมกอดนี้ไว้แนบกายอย่างจะตราตรึง
“อย่าร้องไห้นะครับ คนดีของพี่ อย่าร้องไห้” เขาปลอบเธอด้วยน้ำเสียงเบาๆ ทว่ารู้สึกจรดลึกลงไปในห้วงใจ ปากบางของเธอก็ได้แต่พร่ำบอกเขาว่า ‘อย่าจากไปไหนอีกเลย อย่าไปอีกเลย...อย่าไป’
“นอนซะนะครับ หลับตาลง” วินาทีนั้นเหมือนความฝันมันสะดุดลง เมื่อศิระคุณคลายอ้อมกอดอันอบอุ่น เขาจับเธอเอนกายลงนอนบนเตียงนุ่ม จับมือกุมไว้พร้อมกับลูบศีรษะเธอเบาๆ
“หลับซะนะครับคนดี” น้ำเสียงราวกับมีเวทมนตร์กล่อมให้เคลิบเคลิ้ม อยากจะฝืนลืมตาค้างทว่าต้านแรงสะกดนั้นไม่ไหว ร่างบางค่อยๆ หรี่ตาลงอย่างช้าๆ จนทุกอย่างดำมืดสนิท
...เสียงนั้นเงียบไปแล้ว เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าข้างกายนั้นว่างเปล่า ศิระคุณเดินหายไปโน่นแล้ว เขากำลังเดินจากไป เธอเห็นเพียงแผ่นหลังกว้างของเขาห่างออกไปลิบๆ
“พี่ต้าร์!” เธอเรียกแต่เขาไม่หันกลับมา
“พี่ต้าร์อย่าไป!...พี่ต้าร์!” แสนสิวาร้องเรียกอย่างสุดเสียง เมื่อลุกจะตามไปกลับรู้สึกเหมือนเท้าไม่ได้สัมผัสพื้น ร่างกายมันหล่นวูบลงมาราวกับเบื้องล่างเป็นเหวลึกที่มืดและไม่มีจุดจบ
“พี่ต้าร์!!” เสียงร้องดังลั่นแทบจะเป็นวินาทีเดียวกันกับที่ผวาตื่น เธอลืมตาขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกหวาดหวั่นราวตกจากที่สูง หันมองไปรอบกายก็พบว่ายังอยู่ในห้องนอนของตัวเอง หันกลับมองไปที่หน้าต่างก็เห็นว่าข้างนอกยังคงสลัวมัวไปด้วยหมอกหนา...นี่เธอฝันถึงเขาอีกแล้วหรือ?...จริงด้วย เธอฝันไป
แสนสิวามักตื่นขึ้นมาก่อนฟ้าสางหลังทานยาคลายเครียดไปช่วงหัวค่ำ ทุกเช้าจะต้องครุ่นคิดถึงภาพและอ้อมกอดของศิระคุณจากความฝันที่มักจะวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกครั้งที่รู้สึกว่าเขามาหา แต่เมื่อลืมตาขึ้นจะต้องเห็นเขาหันหลังจากไปเสียทุกที ร่างบางร้องไห้เงียบๆ คนเดียวทุกครั้งบนเตียงนอน นี่ก็ผ่านมาเกือบสามเดือนแล้ว ทำไมถึงยังรู้สึกเหมือนจมปลักอยู่กับอดีตเก่าๆ และความโหยหาที่ไม่มีวันสิ้นสุดแบบนี้
เริ่มเข้าสู่ฤดูแห่งเหมันต์ สภาพอากาศเริ่มจะเย็นลงบ้างในตอนเช้าและค่อยๆ ร้อนขึ้นในตอนกลางวัน แสงแดดเปรี้ยงยังคงทวีความร้อนขึ้นทุกขณะ จนบางครั้งรู้สึกราวกับว่าหน้าหนาวมันเป็นเพียงฤดูกาลในตำนานเท่านั้น หน้าร้อนกับหน้าฝนต่างหากที่เป็นฤดูกาลแห่งปัจจุบันและอนาคตอย่างแท้จริง
วันไหนที่ช่วงเช้ามีหมอกบางๆ ตกกลางวันก็จะร้อนแทบระอุทุกทีไป แถมคล้อยบ่ายหน่อยก็มีฝนตกลงมาให้เปียกเล่นเสียอย่างนั้น เป็นเช่นนี้อยู่หลายวันตั้งแต่ผ่านเข้าสู่เดือนตุลาคม
ช่วงเช้าแสนสิวาจะพาอทิตยาออกมาตักบาตรที่หน้าบ้านเสมอ ทุกครั้งที่กรวดน้ำจะไม่เคยลืมเอ่ยชื่อของชายที่เธอรัก บัดนี้ศพของเขายังถูกเก็บไว้ที่ศาลาและจะมีพิธีสวดอภิธรรมทุกคืนวันพระ เหลืออีกแค่ไม่กี่อาทิตย์ก็จะครบหนึ่งร้อยวันตามกำหนดการฌาปนกิจที่ได้ถูกจัดเตรียมไว้แล้ว แต่กว่าจะถึงวันนั้น แสนสิวาต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์และความว้าเหว่ภายในจิตใจ แม้บางครั้งจะยังรู้สึกว่าชายหนุ่มไม่ได้หายไปไหน เสมือนเขายังวนเวียนอยู่ใกล้ๆ และคอยคุ้มครองเธอตลอดเวลา แต่เมื่อตื่นจากความฝัน แสนสิวาก็ตระหนักได้ว่าความจริงแล้วศิระคุณคงจะอยู่ได้ก็แต่ในใจเธอเท่านั้น
“คุณแม่ขา” เสียงอทิตยาดังขึ้นและเดินเข้ามากอด ตอนนั้นแสนสิวานั่งร้องไห้เงียบๆ อยู่บนโซฟาในห้องรับแขก หลายวันแล้วที่ไม่ได้ออกไปอยู่หน้าร้าน นับตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องก็แทบไม่เป็นอันทำอะไรเลย เวลาจะทำขนมก็หลงๆ ลืมๆ จะหยิบจับอะไรก็เหม่อลอยจนมารดานึกเป็นห่วง ต้องบอกให้ลูกสาวงดรับงานไปสักระยะ ระหว่างนี้นางและพวงชมพูจะดูแลรับผิดชอบเรื่องร้านขนมแทน
“น้ำหวานร้องไห้ทำไมคะลูก?” เธอเพิ่งสังเกตเห็น แสนสิวาใจหายวาบเมื่อได้ยินลูกสาวเอ่ยปากคิดถึงพ่อ
“เมื่อไหร่พ่อต้าร์จะกลับมาคะ? ทำไมคุณพ่อไม่รักษาสัญญา ทำไมถึงให้คุณแม่กับน้ำหวานต้องรอนาน” อทิตยาตัดพ้อด้วยน้ำเสียงและแรงสะอื้นเบาๆ แต่แค่นี้ก็สะท้านใจของแสนสิวาจวนเจียนจะขาดรอน
“โถ ลูกแม่” อ้อมอกที่โอบกอดลูกน้อยกระเพื่อมขึ้นลงเบาๆ ตามแรงสะอื้นไห้ สงสารอทิตยาจับใจ หากรับรู้ได้ว่าพ่อต้าร์ของเธอนั้นจากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับจะเป็นเช่นไรหนอ
ครั้งหนึ่งที่นั่งเงียบๆ ในศาลาท่าน้ำหลังบ้าน แสนสิวาเปิดอัลบั้มรูปแห่งความทรงจำออกดู มันเป็นสิ่งที่ศิระคุณให้เธอเอาไว้ก่อนจะไปทำงานที่สิงคโปร์เมื่อนานมาแล้ว ครั้งนั้นเป็นครั้งหนึ่งที่เธอรู้สึกว่าทรมานกับการพลัดพราก แต่ไหนเลยจะสาหัสเท่าครั้งนี้
เหลือเชื่อว่าใบเซียมซีคู่นั้นยังถูกพับเหน็บไว้ในสภาพดีดังเดิม ใบหนึ่งสีกระดาษออกเหลืองนิดๆ ค่อนข้างเก่าเพราะเป็นใบแรกที่ศิระคุณสอดไว้ในอัลบั้มรูป อีกใบเป็นใบที่แสนสิวาเสี่ยงได้และเอามาเสียบไว้ทีหลัง สมัยก่อนทั้งคู่มีโอกาสได้ไปไหว้พระด้วยกันครั้งแรกเมื่อบริษัทจัดงานสัมมนาประจำปี และนั่นเป็นความประทับใจแรกๆ ที่เธอและเขาต่างมีให้กันจนกระทั่งบัดนี้ ซึ่งแม้เวลาจะล่วงเลยผ่านมาเนิ่นนานเพียงไร แต่แสนสิวาก็ไม่เคยลืมเลือนเหตุการณ์ในวันนั้น
เมื่อห้าปีก่อน...ภายในโบสถ์ดังก้องไปด้วยเสียงเขย่าติ้วเซียมซีไม่ขาดสาย หลังจากปิดทองเสร็จสรรพก็ขยับออกมานั่งเสี่ยงเซียมซีที่ด้านหน้า ประหลาดแท้ที่แสนสิวากับชาติโยรบเสี่ยงได้เลขเดียวกัน
ทันทีที่หยิบติ้วไม้ไผ่ใส่คืนที่และกราบลาองค์หลวงพ่ออย่างเรียบร้อย ทั้งสี่ก็รีบปรี่ไปที่ตู้ใส่ผลคำทำนายและบอกเลขที่เสี่ยงได้กับคนฉีกใบเซียมซี ต่างคนต่างเดินถือกระดาษมายืนอ่านกันบริเวณข้างกำแพงโบสถ์ แสนสิวาบรรจงพลิกกระดาษและอ่านข้อความที่ปรากฏอยู่อย่างตั้งใจ ซึ่งชายคนที่ได้เบอร์เดียวกันก็เช่นกัน เขายืนถัดจากเธอไปไม่ถึงหนึ่งเมตร ตอนนั้นศิระคุณเดินอ้อมมาหยุดอยู่ข้างหน้าของแสนสิวา ในขณะที่ทรายแก้วยืนถัดจากชาติโยรบไปทางด้านซ้าย ต่างฝ่ายต่างตั้งหน้าตั้งตาอ่านคำทำนายของตัวเองอย่างมุ่งมั่น ซึ่งในเนื้อความของใบเซียมซีที่แสนสิวาเสี่ยงได้นั้นมีว่า...
ใบที่ ๓๐
ใบที่สามสิบว่าเลิศประเสริฐแสน จะตกถิ่นฐานใดไม่ขาดแคลน ที่เคืองแค้นขุ่นข้องไม่หมองใจ เปรียบมีคนคอยช่วยชุบอุปถัมภ์ ไม่ถลำดำดิ่งทิ้งที่หมาย อันลาภผลจะพึงมาอยู่ประปราย มิตรสหายทายว่าดีเป็นศรีตัว ครั้นถามความหรือคดีที่มีอยู่ ไม่อดสูสู้ก็ดีไม่มีชั่ว เรื่องเจ็บป่วยนั้นไซร้อย่าได้กลัว สบายตัวหมดโศกทั้งโรคภัย อันของหายได้คืนระรื่นจิต ทายคู่ชิดพิศภิรมย์สมดังหมาย จะเพียรพบประสบสู่อยู่มิวาย ไม่ห่างกายคือคู่แท้แน่นิรันดร์ ใครเสี่ยงได้ใบนี้ดีหนักหนา จะนำพาความสุขเกษมสันต์ ดั่งพฤกษายืนต้นทนตะวัน คราววสันต์จะผลิดอกออกผลเอย.
...ในตอนนั้นแสนสิวาเงยหน้ามองคนตรงหน้าที่กำลังส่งยิ้มให้ หากปัจจุบัน หญิงสาวเผลอยิ้มทั้งน้ำตาเมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ดังกล่าว แม้มันจะผ่านพ้นมานานแล้วก็ตาม ไม่เคยรู้สึกสะเทือนใจกับการอ่านคำทำนายครั้งไหนเท่าครั้งนี้ แม้มันจะเป็นเซียมซีใบเดิมและใบเดียวกันกับที่เคยทำให้เธอเชื่อมั่นในพรหมลิขิตมาแล้วก็ตาม
...ไม่คิดว่าการเอากลับมาเปิดอ่านคราวนี้จะทำให้ยิ่งแสลงใจ และต่อไปนี้จะไม่มีคำทำนายไหนแม่นพอจะทำให้เชื่อถือได้อีกแล้ว?...เพราะคู่แท้ มีได้แค่คนเดียวเท่านั้น
หวี๊ดดด...
เสียงสัญญาณดังขึ้นเมื่อได้เวลาฌาปนกิจ ราวกับหัวใจถูกบีบจนเจ็บแปลบไปทั้งทรวง แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยชอบเสียงนี้อยู่แล้ว มาคราวนี้ยิ่งรู้สึกว่ามันเสียดลึกเข้าไปบาดขั้วหัวใจ ทำนองเพลงเศร้าๆ ดังขึ้นเมื่อถึงช่วงพิธีการประชุมเพลิง ญาติสนิทรวมไปถึงแขกเหรื่อที่มาร่วมไว้อาลัยต่างพากันลุกเดินต่อแถวขึ้นไปยังเมรุ แสนสิวาได้แต่ยืนนิ่งน้ำตาคลอซบไปกับบ่าของผู้เป็นมารดา ซึ่งนางเองก็รู้สึกใจหาย ทางด้านของพิมพ์พรรณก็เอาแต่ร้องไห้จนศิระต้องประคองไปนั่งพักที่เก้าอี้
อทิตยาร้องไห้จนตัวเนื้อสั่นตั้งแต่ที่ได้เห็นรูปของศิระคุณตอนแห่ศพ ถามแต่ว่าทำไมคุณพ่อต้องเข้าไปอยู่ในลังสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทำไมทุกคนถึงจับพ่อของเธอไปขังไว้ในนั้น เอาแต่ฟูมฟายจะวิ่งขึ้นไปข้างบนเมรุเสียให้ได้ ศิระวัฒน์ต้องหลอกล่อสารพัดวิธีกว่าจะทำให้เข้าไปอยู่ในศาลาได้ เพราะตอนนี้ไม่ว่าใครก็คงไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งนั้น แม้แต่ศิระพันธ์ก็เอาแต่นั่งซึมเศร้ากอดชินพันธ์บุตรชายไว้แน่น
วันนี้ทั้งเพื่อนๆ และพี่น้องของศิระคุณมากันมากมาย ทุกคนต่างก็อาลัยในตัวชายหนุ่มและพร้อมใจที่จะมาส่งเขาในวันสุดท้าย พิธีการทุกอย่างดำเนินมาตลอดงานอย่างราบรื่น แขกเหรื่อเริ่มทยอยกันกลับเหลือก็แต่คนสนิทและญาติๆ แสนสิวาเข้ามาตามหาอทิตยาด้านในศาลา เห็นศิระวัฒน์อุ้มเดินไปเดินมากระทั่งหลับคาไหล่ เธอยืนมองอยู่เงียบๆ พร้อมกับนึกถึงครั้งที่อทิตยายังเด็ก ศิระคุณก็จะชอบอุ้มเด็กน้อยแบบนี้เพื่อที่จะกล่อมให้หลับไปกับอก
“น่าสงสารแกนะ” เสียงทรายแก้วทำให้แสนสิวาสะดุ้งเล็กน้อย หล่อนคงจะมองอยู่สักพักแล้วถึงได้เดินเข้ามาหา
“ว่าน...แกรู้มั้ยว่าเหตุการณ์วันนี้ มันทำให้ฉันนึกถึงตอนงานศพของนัท” ทรายแก้วกำลังพูดถึงนันทนิจแม่บังเกิดเกล้าของอทิตยาซึ่งจากไปด้วยโรคร้าย ตอนนั้นทุกคนก็ตกอยู่ในภาวะเศร้าโศกเสียใจเช่นนี้ ยิ่งเฉพาะอดีตคนรักอย่างศิระคุณ ในงานศพของหล่อนจำได้ว่าชายหนุ่มเองก็ซึมเศร้าอยู่หลายเดือน
“ป่านนี้พี่ต้าร์กับนัทก็คงได้เจอกันแล้วมั้ง” แสนสิวาก้มหน้าน้ำตาซึม ทรายแก้วก็ได้แต่ปลอบว่าคนพวกนั้นหมดเวรหมดกรรมไปแล้ว ที่น่าเป็นห่วงก็เห็นจะมีแต่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอนี่เอง
“หักห้ามใจซะบ้างเถอะว่าน ถ้าพี่ต้าร์เห็นแกเป็นแบบนี้วิญญาณก็ไม่เป็นสุขกันพอดี” เพื่อนสนิทแนะ ไม่เพียงแต่ทรายแก้วที่นึกเป็นห่วง แม้แต่ศิระพันธ์กับโชคชัยเองก็อดสงสารไม่ได้ ด้วยสองสามีภรรยารู้จักแสนสิวามาตั้งแต่เริ่มคบหากับศิระคุณ ที่ผ่านมาหญิงสาวก็เปรียบเสมือนคนในครอบครัว สบโอกาสจึงเดินเข้ามาพูดคุย
“มีปัญหาอะไรก็บอกพวกพี่ได้นะ ถึงต้าร์ไม่อยู่แต่พวกพี่หรือพี่ตั้มก็ยังไม่ตัดขาดเราไปไหนนะ ว่านก็เป็นเหมือนน้องสาวพี่คนหนึ่ง” ศิระพันธ์ออกปากและเอื้อมมือมาจับแขนอย่างให้กำลังใจ แสนสิวารู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณที่ทุกคนยังคงเป็นห่วงเธอเสมอมา
เวลานั้นกลุ่มควันพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นเงาทะมึน แสนสิวายิ้มแห้งๆ ให้สัจจะกับวิญญาณของศิระคุณว่าจะคอยดูแลอทิตยาตลอดไป หญิงสาวให้สัญญา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเธอก็จะรักและเลี้ยงดูบุตรสาวให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
สามเดือนต่อมา...
“แน่ใจนะว่ากลับมาทำงานได้แล้ว?” พรพิวาเอ่ยปากถามเพื่อความแน่ใจ หลังปีใหม่แสนสิวาบอกว่าจะกลับมาดูร้านตามเดิม รับปากอย่างมั่นเหมาะ แต่พอเอาเข้าจริงก็มีเหม่อลอยบ้างเล็กน้อย ซึ่งพรพิวาก็ยังอดห่วงไม่ได้ ก่อนหน้าก็ทำแก้วแตกบาดมือจนเลือดไหล ต้องกำชับให้พวงชมพูคอยดูเอาไว้อย่าได้เผลอ
เมื่อวันก่อน พรพิวาต้องสั่งให้เด็กรับใช้เอารูปแขวนของศิระคุณลงจากผนังมุมทางเข้าห้องแสนสิวา เพราะล่าสุดบุตรสาวเล่นเอามาแขวนแทนที่ภาพดอกไม้ของเดิม แล้วเวลาจะเข้าห้องก็เอาแต่เหม่อมองภาพนั้นทุกครั้ง จนกระทั่งเมื่อคืนก่อนเดินชนเอาขอบประตูหัวเกือบแตก ดีที่ไม่เป็นอะไรมากแค่ล้มไปเฉยๆ เล่นเอาคนในบ้านใจหายใจคว่ำ
ในคืนวันที่ฝนตกหนักราวกับจะมีพายุ พรพิวาโทรไปเล่าให้ทรายแก้วฟังถึงพฤติกรรมของบุตรสาว ด้านเพื่อนสนิทก็นึกเป็นห่วงจนต้องทิ้งสามีให้อยู่เฝ้าไร่คนเดียว แต่รายนั้นไม่ขัดข้องอะไร ชาติโยรบเป็นห่วงแสนสิวากลัวจะคิดมาก ยิ่งเวลานี้มารดาของนันทนิจมารับหลานลงไปเที่ยวสงขลา อย่างน้อยให้ภรรยาไปอยู่เป็นเพื่อนจะได้ช่วยคลายเหงา
“เออ ว่าแต่ตอนนี้แกเลิกเพี้ยนจำสูตรขนมผิดแล้วหรือยังว่าน เห็นชมพู่ว่างวดก่อนแกใส่ส่วนผสมลงกะละมังมั่วซั่วไปหมด ใส่แล้วใส่อีกอยู่นั่น ซิฟฟ่อนนี่แข็งเป็นขนมเปี๊ยะเลย”
“อืม คิดว่าน่าจะโอเคแล้วนะ ช่วงนี้มีสติขึ้นเยอะ ล่าสุดที่ทำเค้กไปส่งที่งานแต่งเจ้าของเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ หรือจริงๆ เขามารอด่าที่หน้าร้านแล้วแต่ไม่รู้ เพราะฉันไม่อยู่ซะก่อน” แสนสิวาทำพูดขำ บนใบหน้าซีดเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง เสร็จสรรพก็หันกลับไปถามพวงชมพูว่าเมื่อครู่นี้เธอใส่น้ำตาลไปกี่ถ้วยแล้ว
“เนี่ยนะที่บอกโอเค สาบานได้ว่าช่วงนี้แกมีสติจริงๆ” ทรายแก้วเริ่มไม่ไว้ใจ หันมองหน้าพวงชมพูที่เหมือนกับชินที่เห็นนายจ้างเป็นแบบนี้ คุณเธอดูเฉยมากที่แสนสิวาหันไปถามบ่อยๆ ถึงขนาดคอยจับตามองไว้เลยว่าทำอะไรถึงไหนบ้าง บางครั้งทรายแก้วก็รู้สึกว่าเพื่อนสนิทยังอาการน่าเป็นห่วงอยู่
ตลอดเวลานั่งมองแสนสิวาทำขนมก็เพลินไปอีกแบบ เดี๋ยวหันไปถามพวงชมพูบ้าง เดี๋ยวหันไปสอนบ้างว่าต้องใส่อะไรตอนไหนยังไง ทายได้เลยว่าหากพวงชมพูอยู่กับหล่อนไปอีกสักปีสองปี คงสามารถเปิดร้านแข่งกับแสนสิวาได้สบาย ก็เล่นไม่หวงสูตรเลยสักนิด
