บทที่ 1-1
“จริงเหรอคะ พ่อต้าร์จะกลับมาแล้ว?” อทิตยาเอ่ยขึ้นด้วยความลิงโลด พอวันรุ่งขึ้นแสนสิวาก็บอกว่าศิระคุณจะบินกลับมาในอีกสองสัปดาห์ หญิงสาวลูบหัวเด็กน้อยอย่างเอ็นดู แม้ไม่ใช่ลูกในอุทรแต่เธอก็รักดั่งแก้วตาด้วงใจ เวลานั้นเด็กหญิงกำลังอุ้มตุ๊กตาหมีที่ศิระคุณซื้อมาฝากเมื่อคราวก่อน ปากก็บอกว่าคิดถึงผู้เป็นพ่อมากมาย
ต้องขอบคุณนันทนิจที่มอบสิ่งวิเศษล้ำค่านี้มาให้ แม้อทิตยาจะกำพร้าทั้งพ่อและแม่ แต่ชีวิตก็อบอุ่นจนไม่รู้สึกว่าขาดอะไรเลย ตรงกันข้าม หนูน้อยมีแสนสิวาเป็นแม่และมีศิระคุณเป็นพ่อ อีกทั้งครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ ไม่ว่าใครเห็นก็รักใคร่เอ็นดูอย่างไม่นึกเดียดฉันท์ ทุกครั้งที่เห็นหน้าเด็กน้อย แสนสิวาก็พลอยนึกถึงนันทนิจผู้เป็นแม่บังเกิดเกล้าของเธอ อทิตยาถอดแบบโครงหน้าแฉล้มเฉลามาจากหล่อนไม่ผิดเพี้ยน แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกับอทิตย์พ่อแท้ๆ ก็คือแววตาที่คมเข้มมีเสน่ห์
แสนสิวามองดูลูกน้อยยิ้มร่าวิ่งเข้าไปส่งข่าวกับพรพิวาด้านในบ้าน เสียงคุณยายอุทานพลอยดีใจไปด้วย และเชื่อว่าหากผู้เป็นตายังมีชีวิตอยู่ ก็คงจะหลงหลานสาวคนนี้มากไม่แพ้กัน
“รถมารับแล้วค่ะลูก ได้เวลาไปโรงเรียนแล้ว” แสนสิวาร้องเรียกบุตรสาวที่วิ่งเล่นอยู่ในห้องรับแขก กิจวัตรของหญิงสาวจะเป็นเช่นนี้เสมอก่อนได้เวลาเปิดร้านขนมตอนแปดโมง
ทุกเช้าผู้คนที่สัญจรไปมาผ่านรั้วบ้านสีขาว ก็มักสะดุดตากับร้านขนมที่ตั้งอยู่ในอาณาเขตเดียวกับตัวบ้าน หลังแปดโมงเช้าประตูรั้วก็จะถูกเลื่อนออกเพื่อรอต้อนรับลูกค้าที่จะมาอุดหนุน ด้านในเป็นลานโล่งกว้างพอที่จะสามารถจอดรถได้ถึงห้าคัน ถัดเข้าไปเป็นบริเวณบ้านพักอาศัยที่แบ่งกั้นด้วยแนวรั้วและพุ่มไม้เป็นสัดส่วน
แสนสิวาตั้งใจตกแต่งร้านขนมให้มีบรรยากาศของความอบอุ่นเป็นกันเอง ระแนงไม้สีน้ำตาลด้านหน้าแบ่งเป็นมุมนั่งเล่นและสวนเล็กๆ ก่อนถึงทางลงบันได ดอกเดซี่สีขาวในกระถางเบ่งบานสร้างความสดใสทักทายผู้มาเยือน เหนือเสาโลหะแขวนป้ายสลักไม้เป็นชื่อร้านบ้านแสนหวานเบเกอรี
...แต่กว่าจะมาเป็นบ้านแสนหวานเบเกอรีในทุกวันนี้ ห้าปีที่แล้วเธอยังเป็นแค่ผู้ช่วยพรพิวาทำขนมไทยขายในตลาดน้ำ ห้องหนึ่งซึ่งเป็นคูหาเล็กๆ ของตึกแถวไม้เก่าๆ ภาพหญิงสาวในชุดพนักงานออฟฟิศคอยช่วยยกถาดขนมมาวางในตู้เป็นที่ชินตาของผู้คน ทุกวันกลิ่นหอมของขนมไทยนานาชนิดจะยั่วน้ำลายคนเดินผ่านไปมาให้แวะอุดหนุนอยู่เสมอ
กระทั่งวันนี้แสนสิวาได้กลายเป็นเจ้าของธุรกิจอย่างเต็มตัว การสานต่อกิจการร้านขนมไทยของผู้เป็นแม่ ประกอบกับขยายตลาดด้วยการเปิดร้านเบเกอรีเพิ่มเข้ามา ไม่เพียงแต่ร้านขนมไทยบ้านแสนสิวาที่ตลาดน้ำ ยังมีบ้านแสนหวานเบเกอรีและสาขาแฟรนไชส์ต่างๆ อีกกว่าสิบแห่งทั่วกรุงเทพฯ นอกจากนี้สาวเจ้ายังเปิดหลักสูตรสอนทำขนม สำหรับผู้ที่สนใจและต้องการจะเรียนรู้ในเรื่องของขนมไทยและเบเกอรีอีกด้วย
ในร้านนอกจากเจ้าของคนสวยแล้วก็ยังมีพวงชมพูผู้ช่วยวัยยี่สิบต้นๆ คนร่างเล็กจะทำงานที่นี่ในช่วงเช้าถึงสี่โมงเย็น ก่อนจะเดินกลับบ้านที่อยู่ถัดไปไม่กี่หลังในซอยเพื่อเตรียมตัวไปเรียนภาคค่ำ ชีวิตประจำวันของพวงชมพูเป็นแบบนี้ และถ้าวันไหนมีออเดอร์เยอะก็มักจะกลับมาช่วยแสนสิวาที่ร้านกระทั่งดึกดื่น เข้านอกออกในเสมือนสมาชิกในครอบครัว ทุกคนในบ้านต่างก็เอ็นดูด้วยความที่เป็นเด็กขยันและมีมานะ บ่อยครั้งที่หล่อนทำให้ร้านและบ้านหลังนี้มีแต่เสียงหัวเราะ
นี่ก็เป็นอีกคืนที่ต้องง่วนอยู่กับการอบขนมที่ลูกค้าจะมารับตอนหกโมงเช้า สองคนขะมักเขม้นช่วยกันเพื่อให้เสร็จทันเวลา ระหว่างรอก็นั่งเล่นกันไปตามประสา จนปาเข้าไปเกือบสี่ทุ่มแล้วแต่ก็ยังมีขนมที่ต้องอบรออยู่อีกนับสิบถาด
“ไม่รู้ว่าฝนจะตกอีกรึเปล่าเนอะชมพู่ ช่วงนี้ดินฟ้าอากาศเป็นอะไรแปรปรวนไปหมด เดี๋ยวพายุเข้าเดี๋ยวแผ่นดินไหว...อ้อ! ช่วยหยิบกล่องมาเพิ่มให้พี่ทีสิ” บ่นพลางเรียงกล่องใส่ขนมอย่างคล่องแคล่ว
“ได้เลยเจ้าค่ะ ว่าแต่ช่วงนี้พี่ว่านดูอารมณ์ดีมากมาย ตั้งแต่พอรู้ว่าพี่ต้าร์จะกลับมาเนี่ย” พวงชมพูแซว เห็นสีหน้าของนายจ้างทำขวยเขิน
“ทำมาจับผิดพี่ ทำไม ทุกทีพี่อารมณ์เสียบ่อยเหรอไงฮึ?” แสนสิวาเผลอยิ้ม พร้อมกันนั้นก็แก้เก้อด้วยการไล่พวงชมพูไปยกถาดขนมที่อบเสร็จแล้วมาเตรียมใส่กล่อง
ร่างบางจัดขนมไปยิ้มไปจนผู้ช่วยต้องแอบขำอยู่บ่อยๆ แม้จะล่วงเลยมาเกือบค่อนคืนแล้วก็ตาม อีกทั้งบรรยากาศข้างนอกก็ครืนๆ ด้วยเสียงฟ้าร้อง แต่ไม่รู้ทำไมแสนสิวากลับรู้สึกว่ารอบตัวมันสดใสและสว่างไสวอย่างบอกไม่ถูก
เปรี้ยง!
เสียงฟ้าคำรามลั่นราวกับจะเกิดพายุใหญ่ ท้องฟ้าแดงฉานและคาดว่าอีกไม่นานฝนคงจะกระหน่ำลงมาอีก แสนสิวาเดินมาปรับระดับม่านพับลงจนถึงพื้น ลอบมองผ่านกระจกใสออกไปยังลานจอดรถซึ่งอยู่ด้านข้าง แสงไฟสนามส่องสลัวมองเห็นพื้นคอนกรีตที่ยังคงชื้นจากเมื่อหัวค่ำ
ด้านนอกแลเงียบเหงา เป็นธรรมดาของถนนในซอยตอนดึกๆ ไม่กี่อึดใจต่อมาฝนก็เริ่มโปรยสาย จู่ๆ ก็เกิดเสียงดังโครมใหญ่ทำให้สองสาวสะดุ้งเฮือก ผู้ช่วยคนสนิทถึงกับอุทานเสียงแหลม ก่อนจะตั้งสติและหันมามองหน้าเจ้านายที่เพิ่งคลายจากอาการตกใจ
“นี่มันเสียงฟ้าหรือว่าอุกกาบาตตก เสียงอย่างกับระเบิด” พวงชมพูว่า ด้านเจ้าของร้านเดินไปแง้มม่านดู
“สงสัยหม้อแปลงซอยข้างๆ คงระเบิดมั้งเสียงมันดังเหลือเกิน...ดูท่าแถวบางนาฝนจะตกหนักนะ ฟ้าผ่าลงมาเป็นสายเลย” แสนสิวาเดาก่อนจะกลับมานั่งที่ พลางถอนใจเมื่อนึกถึงสภาพภูมิอากาศในแต่ละวัน
“ฝนตกทุกวันแบบนี้ที่ตลาดน้ำจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ แต่ที่นี่หากวันไหนฝนตกเช้าๆ ลูกค้าก็พลอยหดตามไปด้วย...เออ! พี่ลืมเปลี่ยนเมนูหน้าประตู งั้นเดี๋ยวเสร็จจากตรงนี้แล้ววานชมพู่ไปจัดการให้หน่อยนะ” แสนสิวาหันมาไหว้วาน พวงชมพูรับคำอย่างแข็งขัน
กระทั่งเวลาล่วงเลยมากว่าเที่ยงคืน เสียงฟ้าเริ่มเบาลงและฝนก็เหมือนจะขาดเม็ด ผู้ช่วยสาวยกรีโมตในมือขึ้นเปิดโทรทัศน์ LED บนผนังรอดูรายการข่าววันใหม่
“อ้อ! เมื่อคืนนี้พี่ว่านดูข่าวคนงานโรงเลื่อยถูกฟ้าผ่าตายมั้ย น่ากลัวมาก แถวๆ นี้เอง ถึงว่าตอนไปเรียนชมพู่ได้ยินเสียงรถหวอดังลั่นเลย” คนเล่าน้ำเสียงตื่นเต้น แสนสิวาพยักหน้าก่อนเอื้อมไปหยิบป้ายโปรโมชั่นเก่าหน้าเคาน์เตอร์ออก
“นับวันภัยธรรมชาติชักจะร้ายแรงขึ้นทุกที เห็นข่าวที่พายุเข้าฝั่งอันดามันมั้ย ภาคใต้น้ำท่วมจนเกือบจะมิดหลังคาแล้ว สงสัยโลกมันใกล้จะถึงกาลอวสานจริงๆ ซะล่ะมั้งพี่ว่า” แสนสิวาถอนใจ
“พี่ว่านเชื่อเรื่องที่โลกจะแตกด้วยเหรอ?”
“พี่เชื่อเรื่องภัยพิบัติมากกว่า ไม่รู้สิ พี่ว่าถ้าสภาวะโลกปัจจุบันเรายังเป็นอย่างนี้อยู่ ถึงอนาคตโลกไม่แตกก็เหมือนแตกแหละ ดูเอาเถอะ สภาพดินฟ้าอากาศก็แปรปรวนเข้าทุกวัน แผ่นดินไหวเอย สึนามิเอย น้ำท่วมเอย ไหนจะพายุที่เพียรก่อตัวขึ้นอีกล่ะ ขืนเป็นแบบนี้บ่อยๆ พี่ว่าไม่เกินสิบปีประชากรก็คงหมดโลก นี่ขนาดหลายประเทศมีมาตรการป้องกันนะ ประชากรเรายังจะร่อยหรอลงไปทุกวัน” คนมีอาวุโสกว่าบ่นเหมือนละเหี่ยใจ คนฟังก็พลอยพยักพเยิดหน้าตามไปด้วย
“พี่ว่านๆ มาดูนี่สิ พี่ว่าไอ้เทาๆ บนฟ้านั่นมันควันไฟรึเปล่า มันน่าจะแถวๆ บางโฉลงนะพี่ รึโรงงานแถวนั้นระเบิด” พวงชมพูหันมากวักมือ คนถูกเรียกถึงเดินตามไปดู
“ไอ้เสียงตูมเมื่อกี้น่ะเหรอ ไม่น่าจะใช่มั้ง มันดังมาถึงนี่เลยนะ” แสนสิวาค้านพลางเดินกลับมาที่เคาน์เตอร์
“แต่ชมพู่ว่าต้องมีอะไรสักอย่าง แถวนั้นมีทั้งโรงงานทั้งสนามบิน เดี๋ยวถ้ามีอะไรข่าวต้องออก”
ตอนนั้นกำลังจะเดินกลับมาหยิบกล่องขนมที่จัดแล้วไปวางบนโต๊ะ ยังไม่ทันขาดคำก็ได้ยินเสียงเพลงไตเติ้ลจากหน้าจอโทรทัศน์
“นี่ไงๆ มีข่าวด่วนค่ะพี่ว่าน!” หญิงสาวเรียกเสียงตื่น
แสนสิวารับคำแต่ยังคงป้วนเปี้ยนอยู่แถวซิงค์น้ำ ผู้ช่วยสาวตั้งหน้าตั้งตาดูเนื้อหาข่าว ที่หน้าจอปรากฏภาพระเบิดและข้อความตัวสีแดงเข้ม สักพักเริ่มได้ยินเสียงผู้ประกาศข่าวดังขึ้น
“...รายงานข่าวด่วน เมื่อเวลาประมาณ 24 นาฬิกาที่ผ่านมาเกิดเหตุเครื่องบินตกห่างจากพื้นที่ของสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิประมาณหกกิโลเมตร...”
“นั่นไง! ชมพู่ว่าแล้วว่ามันต้องมีอะไรสักอย่าง” สิ้นเสียงนักข่าวสาว พวงชมพูก็ชี้ให้แสนสิวามองไปที่จอโทรทัศน์ แสนสิวาเดินมายืนฟังนอกเคาน์เตอร์ แววตาใสตั้งใจฟังรายละเอียดของเนื้อข่าวตามที่อีกฝ่ายเรียกร้องอย่างใคร่รู้
...ตามรายงานข่าว เกิดเหตุระทึกขวัญเมื่อเครื่องบินโดยสาร Boeing 777-300 ของสายการบิน... เที่ยวบินที่ TG69X ซึ่งบินตรงจากนครลอสแอนเจลิสถึงท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิเกิดเหตุขัดข้องตกลงบริเวณทุ่งหญ้าริมคลองบางโฉลง ก่อนจะได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นในเวลาต่อมา ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่และผู้ที่เกี่ยวข้องได้เข้าไปทำการตรวจสอบที่เกิดเหตุ อีกทั้งกำลังค้นหาผู้บาดเจ็บและผู้รอดชีวิต ซึ่งเบื้องต้นยังไม่ทราบชะตากรรมของนักบิน ลูกเรือและผู้โดยสารทั้ง 358 ราย สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมจะมีรายงานแจ้งให้ทราบอีกเป็นระยะ...
“คุณพระช่วย! นี่มันเกิดอะไรกันขึ้นเนี่ย” แสนสิวาอุทานกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ รู้สึกใจแป้วบอกไม่ถูก ยังเอ่ยกับพวงชมพูว่าโชคดีที่ศิระคุณไม่ได้เดินทางกลับมาในวันนี้
“โหย นี่ถ้าพี่ต้าร์รู้ข่าวแกคงหลอนบ้างล่ะค่ะชมพู่ว่า...งานนี้จะตายเหมาลำรึเปล่าก็ไม่รู้...โธ่ คิดแล้วก็อนาถใจ อีกนิดเดียวก็จะถึงที่หมายแล้วเชียวน้า” ผู้ช่วยสาววัยยี่สิบต้นๆ ออกอาการเศร้าใจแทน จังหวะนั้นเสียงตู้อบดังขึ้นพอดีจึงได้ละสายตาจากจอโทรทัศน์
แสนสิวายังคงรู้สึกหวิวไหวในใจไม่หาย สงสารผู้ประสบภัยที่อยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าว เผลอคิดไปว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นกับเที่ยวบินของศิระคุณหญิงสาวคงช็อกหมดสติ เวลานี้ได้แต่ภาวนา ขอให้สัปดาห์หน้าเขาเดินทางโดยสวัสดิภาพเพื่อกลับมาหาเธอและลูกอย่างปลอดภัย
ตีหนึ่งกว่าแล้ว สองสาวช่วยกันเก็บล้างอุปกรณ์ต่างๆ หลังจากเสร็จงาน พวงชมพูยกกล่องขนมออกมาวางไว้หน้าเคาน์เตอร์ ในระหว่างนี้ก็มีรายงานข่าวเพิ่มเติมเข้ามาอีกเรื่อยๆ เป็นรายงานการพบศพผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ อีกทั้งมีการสัมภาษณ์ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ขณะเครื่องบินดังกล่าวบินวนก่อนเกิดเหตุ ซึ่งแสนสิวาเองก็ไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดเท่าไหร่นัก หลังเสร็จสิ้นภารกิจก็เตรียมไปส่งพวงชมพูที่บ้าน
ครั้นถึงรุ่งเช้าที่ต้องลุกขึ้นมาเตรียมของให้ลูกค้า ซึ่งช่วงดึกที่ผ่านมาเจ้าของร้านคนสวยมีอาการกระสับกระส่ายบอกไม่ถูก เจ้าตัวตื่นมาช่วยพรพิวาเตรียมกับข้าวใส่บาตรตั้งแต่ตีห้า กระทั่งหกโมงเช้าก็มีลูกค้ามารับออเดอร์ ใกล้ๆ แปดโมงก็เตรียมตัวเปิดร้านตามปกติ
ตอนพวงชมพูมาถึงก็ยังคุยกันถึงเรื่องเครื่องบินตกเมื่อคืน เจ้าตัวยังบ่นอยู่เลยว่างานนี้น่าจะตายกันไม่ใช่น้อย นึกเห็นใจชาวบ้านแถวนั้นคงจะหลอนกันน่าดู
ระหว่างวันก็มีรายงานเพิ่มเติมยอดผู้เสียชีวิตเข้ามาเป็นระยะ ทั้งคู่มองผ่านๆ โดยไม่ได้ใส่ใจเพราะยังไม่มีชื่อไหนสะดุดตา และก็ยังมีอีกหลายศพที่ยังไม่สามารถระบุตัวตนของผู้เสียชีวิตได้ กระทั่งล่วงเลยมาถึงช่วงเที่ยงของวันที่สอง ขณะที่แสนสิวากำลังร่อนแป้งอยู่ในครัว จู่ๆ พวงชมพูก็วิ่งหน้าตาตื่นมาด้วยสีหน้าท่าทางตกใจสุดขีด
“พี่ว่านๆ! มีชื่อพี่ต้าร์ ในโทรทัศน์!” เจ้าตัวลนลานพูดไม่เป็นศัพท์ แสนสิวาวางมือก่อนจะหันมาตั้งใจฟัง
“ชมพู่ว่าไงนะ?” ครานี้คนฟังเริ่มสะดุด ทีแรกก็ไม่เชื่อกระทั่งพวงชมพูยืนยันว่ามีชื่อของศิระคุณ ปุณณานนท์ ปรากฏอยู่ในรายชื่อผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ
แสนสิวาถึงกับยืนตาค้างราวถูกสาปให้เป็นหิน เย็นวาบไปทั้งตัวประหนึ่งถูกราดด้วยน้ำแข็ง มือไม้พานไม่มีแรงจนเผลอปล่อยผ้าเช็ดมือหล่นลงพื้น
“พี่ต้าร์” เอ่ยแผ่วๆ ก่อนจะทรุดลงไปจนพวงชมพูเกือบคว้าไว้ไม่ทัน แม้ยังไม่สิ้นสติแต่ก็แขนขาอ่อนจนบังคับไม่อยู่
“พี่ว่าน!” คนได้สติรีบประคองนายจ้างมานั่งยังโซฟาตัวมุม
ตอนนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของแสนสิวาดังถี่ตรงเคาน์เตอร์ เป็นเหตุให้ต้นสายยิ่งร้อนรนบอกไม่ถูก
“ทำไมแกไม่รับนะว่าน มัวทำอะไรอยู่?” ทรายแก้วโทรมาด้วยเรื่องน่าตกใจนี้ เพื่อนสนิทกระวนกระวายใจหลังทราบข่าว ขณะนี้ทั้งหล่อนและชาติโยรบผู้เป็นสามีแทบนั่งไม่ติดที่เพราะความวิตกจริต ทันทีที่ได้ยินเสียงปลายสายตอบรับก็รีบทักด้วยคำถามที่คาใจ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันว่าน ไหนแกบอกว่าพี่ต้าร์จะกลับมาอาทิตย์หน้า แล้วทำไมมีชื่ออยู่ในลิสต์?” น้ำเสียงตื่นตระหนกจนปลายสายร้องไห้โฮออกมาด้วยความสะเทือนใจ
“ฉันไม่รู้ นั่นต้องไม่ใช่พี่ต้าร์ ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่” แสนสิวามือไม้สั่นพูดไปสะอึกสะอื้นไปไม่เป็นส่ำ น้ำเสียงเริ่มเครือจนจับใจความไม่ได้คล้ายกับไม่มีสติ ความรู้สึกในตอนนี้มันวูบวาบวิงเวียนบอกไม่ถูก ไม่นานนักทุกสิ่งทุกอย่างก็ถูกแทรกซ้อนด้วยความมืดสนิท...ในหัวเธอไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกแล้ว
“ว่าน!...ว่าน! ได้ยินแม่มั้ยลูก?”
ผ่านไปร่วมสิบนาที แสนสิวาค่อยๆ ลืมตาขึ้นเพราะเสียงเรียกของพรพิวาผู้เป็นแม่ ตอนนั้นเธอมีอาการตระหนกตกใจสุดขีด สะดุ้งพรวดเมื่อรู้สึกตัวอย่างเต็มที่
“ว่าน เป็นยังไงลูก?” นางถามอีกครั้ง และอธิบายให้ฟังว่าก่อนหน้านี้แสนสิวาสลบไปด้วยความตกใจ ภาพสุดท้ายที่จำได้คือกำลังคุยโทรศัพท์กับทรายแก้ว แล้วหลังจากนั้นก็ไม่รู้เรื่องอะไรอีกเลย ถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ราวกับทุกสิ่งมันเป็นแค่ฝันร้ายเพียงชั่วครู่
“พี่ต้าร์ยังอยู่อเมริกาใช่มั้ยคะแม่ นี่ว่านเผลอหลับไปเฉยๆ ใช่มั้ย?” เธอพยายามยัดเยียดถาม เพียงอยากได้คำตอบว่าใช่ เธอแค่ฝันไปและไม่มีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนี้ แต่สิ้นคำถามที่ล่วงออกมาจากปากแล้ว ปรากฏว่าทุกคนที่อยู่รอบข้างต่างนิ่งเงียบ เหลือบไปเห็นโทรศัพท์มือถือวางอยู่บนโต๊ะกระจกจึงรีบคว้าขึ้นมา ที่หน้าจอปรากฏสายเรียกเข้าที่ไม่ได้รับกว่าสิบสาย แต่เธอก็ยังไม่สนใจอะไรนอกไปจากการพยายามติดต่อหาแฟนหนุ่ม
...ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่เรียก แสนสิวาน้ำตารื้นอีกครั้ง คราวนี้พรั่งพรูหนักกว่าเก่าจนผู้เป็นแม่อดใจหายไม่ได้
“คุณพิมพ์พรรณโทรมาหาตั้งหลายรอบตอนที่หนูสลบไป” พรพิวาเข้าใจดีว่ามารดาของศิระคุณก็คงตกอยู่ในสภาวะตกใจไม่แพ้กัน
นอกจากนี้ยังมีเพื่อนๆ ของทั้งแสนสิวาและศิระคุณ ที่พอรู้ข่าวก็รีบโทรถามกันให้จ้าละหวั่น ยิ่งเฉพาะทรายแก้วเพื่อนสนิท หลังทราบจากพรพิวาว่าแสนสิวาเป็นลมล้มพับไป ก็รีบเดินทางลงมาจากปากช่องทันที
ก่อนหน้าครอบครัวของศิระคุณเองก็โทรสอบถามเจ้าหน้าที่กันให้วุ่น ศิระพันธ์พี่สาวพอทราบข่าวก็รีบโทรเช็กกับศิระวัฒน์ พร้อมบึ่งรถขึ้นมาจากชลบุรี เช่นเดียวกัน พอตั้งสติได้ แสนสิวารีบโทรกลับไปหาพิมพ์พรรณเพื่อหาความกระจ่าง ดูเหมือนนางยังอยู่ในอาการเสียอกเสียใจ ไม่เชื่อว่าจะเป็นลูกชายจริงๆ จนกว่าจะได้เห็นศพ ซึ่งตอนนี้นางและศิระผู้เป็นสามีก็กำลังจะเดินทางไปโรงพยาบาล
“ค่ะ งั้นว่านจะตามไปที่นั่นเดี๋ยวนี้เลยนะคะ” แสนสิวารับปาก ซึ่งขณะนั้นเสียงของเธอก็ยังคงสั่นเครืออยู่เล็กน้อย ไม่ต่างอะไรไปจากพิมพ์พรรณที่กำลังรู้สึกว่าสูญเสียลูกชายคนเล็กไปอย่างกะทันหัน
หน้าแผนกนิติเวช พิมพ์พรรณกับศิระผู้เป็นสามียืนรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นพวกท่านทั้งสองแสนสิวาก็เดินปรี่เข้าไปหา ผู้เป็นพ่อบอกว่าศิระพันธ์กำลังเดินทางมา ทั้งยังบอกว่าตอนที่รู้ข่าวครั้งแรกตัวเองก็ช็อกเหมือนกัน
“ตอนนี้ศพอยู่ที่ไหนคะ?” แสนสิวาถาม ศิระบอกว่ายังอยู่ด้านใน อีกเดี๋ยวเจ้าหน้าที่ถึงจะอนุญาตให้เข้าไปดู
“ใช่พี่ต้าร์จริงๆ หรือคะคุณพ่อ?” แสนสิวาไม่ปักใจเชื่อ ทั้งยืนยันว่าเจ้าตัวเป็นคนบอกเองว่าจะบินกลับมาอาทิตย์หน้าไม่ใช่อาทิตย์นี้
“พ่อกับแม่เพิ่งรู้จากตั้มว่าต้าร์บินมาไฟลท์นั้นจริงๆ ตั้มเป็นคนไปส่งน้องที่แอร์พอร์ต เขาอยากจะทำเซอร์ไพรส์ก็เลยบินมาก่อนโดยที่ไม่บอกใคร” ศิระอธิบาย ทั้งยังไม่นึกไม่ฝันว่าลูกชายจะเซอร์ไพรส์แบบนี้ เพราะนั่นทำให้เขากับภรรยาใจแทบขาด
