บทนำ เงารักในรอยทราย (1)
‘ฮาน่า’ นามที่ไม่รู้จัก...
‘ฮาน่า’ นามที่ไม่เคยได้ยินใครเอ่ยถึง...
‘ฮาน่า’ หากแต่ตรึงใจให้ถวิลหา แลจดจำอยู่ในวิญาณของผู้เอื้อนเอ่ย...
... ‘ขอแสงสว่างจากดวงตะเกียง จงช่วยนำทางข้าไปพบนางผู้เป็นที่รักดั่งดวงใจ’…
ถ้อยภาวนาอันหนักแน่นดังก้องในวิหารโบราณเก่าแก่สะท้อนกับผนังสีขาวราวบทสวดมนตร์อันศักดิ์สิทธิ์ ฝังปรารถนาแรงกล้าแลเจ็บปวดซึ่งถักทอในดวงวิญญาณ
ดวงตาสีมรกตแฝงฝังความเศร้ากับการรอคอยอันยาวนานคงไม่ละไปจากดวงตะเกียงซึ่งฉาบแสงสีส้มนวล ก่อนเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดของสตรีจะดังก้องในโสตประสาทเมื่อคำวิงวอนปราศจากการตอบรับ!
“ฮาน่า!” ร่างเล็กของเด็กน้อยสะดุ้งเฮือกจากเตียงนอนตัวเตี้ยปูด้วยขนสัตว์แสนนุ่ม พร้อมเสียงหอบหายใจเหนื่อยราววิ่งมาไกลแสนไกล
หยาดเหงื่อเม็ดเล็กบนวงหน้าขาวเนียนท่ามกลางอากาศหนาวเย็นตอกย้ำดาเนียนชัดนักว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมิใช่ความฝัน... ริมฝีปากสีแดงสดคงขยับเอ่ยถึงนามซึ่งฝังในวิญญาณซ้ำ ๆ คล้ายเสียงพึมพำและไม่มีวันลบเลือน พร้อมตลบผ้าห่มขนแกะออกจากกายขยับตัวลุกจากเตียงนอนด้วยฝีเท้าเบาที่สุด
‘ตามปรารถนาแห่งแสงสว่างนั่นไป’
เสียงหนึ่งใต้จิตสำนึกบอกเช่นนี้ ทว่าเท้าน้อยสัมผัสพื้นพรมเท่านั้นเสียงลูกกระพรวนซึ่งผูกไว้ข้างเตียงจึงส่งเสียงกรุ้งกริ๊งขึ้นพลอยให้เด็กน้อยสะดุ้ง เหล่าพี่เลี้ยงซึ่งหลับใหลอยู่ข้างเตียงตัวเตี้ยจึงตื่นในทันที
“นั่นท่านหญิงจักไปไหนเจ้าคะ?!”
ดวงตามรกตแฝงฝังความเศร้าคล้ายมีหยาดน้ำตามาคลอเบ้าปรายมามองพี่เลี้ยงผู้ถามเสียงดุแวบหนึ่ง ก่อนเมินหน้าไปยังดวงตะเกียงฉลุลายซึ่งตั้งไว้กลางกระโจมเพื่อขับไล่ความมืดคล้ำ
“เดินเล่น ข้านอนไม่หลับ”
“มิใช่ออกตามหาฮาน่ารึ?” เป็นนางกำนัลลิมุสที่ย้อนถามด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง กระนั้นดาเนียนคงไม่ตอบนอกจากคว้าเสื้อคลุมขนสัตว์มาสวมทับแล้วก้าวขาออกจากกระโจมแสนอบอุ่นโดยไม่สนใจเสียงเรียกของบรรดาพี่เลี้ยงจอมวุ่นวายที่พร้อมใจกันจ้องจับผิดนาง
พ้นจากกระโจมอันอบอุ่นสู่ภายนอกอันหนาวเย็นเด็กน้อยจึงห่อกายเข้าหากัน กระนั้นดวงตามรกตแฝงฝังความเศร้าคงไม่ละสายตาจากดวงดาวสุกสว่างที่สุดบนโพ้นฟ้าพร้อมรอยยิ้มละมุนเปื้อนความสุข
“ฮาน่า... คอยก่อนเถิด ข้ากำลังเดินทางไปพบเจ้า”
คำรำพันดุจเดิมทุกราตรีคงแรงกล้า ทว่าเมื่อร่างน้อยสัมผัสความหนาวเย็นอันแห้งแล้งและหายใจเอาอากาศเย็นเข้าไปในโพรงจมูกดาเนียนจึงจามเสียงดังออกมา ก่อนรีบเร่งพาตัวเองหลบหลังกระโจมใหญ่ทันทีเมื่อเสียงเรียกของเหล่านางกำนัลพี่เลี้ยงดังขึ้น
ดาเนียนรอพี่เลี้ยงทั้งสี่นางวิ่งผ่านไปจึงเดินห่างออกมาจากกระโจมใหญ่ซึ่งมีเหล่าทหารองครักษ์อารักษ์ขาแขกคนสำคัญของนครคามิล่าอยู่ ทว่าอากาศอันเหน็บหนาวจึงทำให้เด็กน้อยต้องห่อกายเข้าหากันอีกครั้งเมื่อลมเย็นยะเยือกหอบเอาละอองทรายลอยคว้างในอากาศมาต้องผิวยิบ ๆ มือน้อยอันเย็นเฉียบยื่นไปรองประกายระยิบระยับดั่งเกร็ดดวงดาว ขณะดวงตาสีมรกตงดงามคงหยุดนิ่งยังดวงดาวสุกสว่างดุจดวงตะเกียงจากโพ้นฟ้าไกล
สองขาน้อยซึ่งสวมรองเท้าขนสัตว์และคงรักษาอุณหภูมิของร่างกายไว้เป็นอย่างดีคงย่ำไปข้างหน้า โดยมีจุดหมายอยู่ที่ดวงดาวสุกสว่างซึ่งมิเคยไขว่คว้ามาครอบครองได้ ทว่าพ้นจากกระโจมใหญ่สำหรับพักแรมได้ไม่เท่าไหร่นางกำนัลผู้ดูแลจึงเข้ามาฉุดรั้งข้อมือบางของท่านหญิงตัวน้อยเอาไว้ก่อน
“ดึกป่านนี้แล้วท่านหญิงจะไปไหนเจ้าคะ?!”
“ปล่อยข้า ฮาน่ากำลังรอข้าอยู่” เด็กน้อยพยายามขืนข้อมือจากการจับกุม พอหลุดออกจากมือลีมุสมาได้ ดาเนียนจึงชะงักเท้าไว้อีกเมื่อนางกำนัลพี่เลี้ยงอีกสามนางมาดักหน้าเอาไว้
“ให้ตายเถอะ! เมื่อไหร่พวกผู้ใหญ่ถึงเลิกวุ่นวายกับชีวิตของข้าสักที” ผู้มีศักดิ์เป็นท่านหญิงแห่งนครคามิล่าบ่นอุบกับตนเอง แต่ดูว่าถ้อยคำนั้นมิสามารถทำให้ผู้ดูแลเปลี่ยนความตั้งใจได้เลย
“กลับเข้ากระโจมเถิดเจ้าค่ะท่านหญิง หากท่านชีคฮาซันรู้ความนี้เข้าพวกข้าทั้งหมดอาจต้องอาญา” ลีมุสผู้ติดตามดูแลใกล้ชิดกำราบด้วยน้ำเสียงดุดัน กระนั้นผู้ถูกเรียกคงเพิกเฉยทำหูทวนลม แต่พอถูกคว้าข้อมืออีกครั้งดาเนียนจึงทำหน้ายุ่งพยายามขืนตัวออก
“ปล่อยข้านะ!”
“มิปล่อยเจ้าค่ะ ท่านหญิงต้องกลับเข้ากระโจมพร้อมข้าเดี๋ยวนี้!” ลิมุสทำตาโตน่ากลัวกว่าเดิม
“หยุดออกคำสั่งกับข้า ข้าปรารถนาจักอยู่ที่นี่”
“มิได้เจ้าค่ะ หากท่านหญิงยังดื้อดึงข้าจะนำความนี้บอกกล่าวกับท่านชีค”
