บทที่ 4 รักหรือลวง
เมืองหย่งกง...
ชาวเมืองได้จัดเทศกาลหมื่นโคมวิญญาณซึ่งตรงกับคืนจันทร์เต็มดวงของเดือนสิบ ในค่ำคืนนี้ โคมไฟนับพันลอยล่องเหนือแม่น้ำ เปล่งประกายแสงระยิบระยับ ส่องทางให้วิญญาณที่จากไปได้สู่ภพภูมิที่ดีขึ้น ผู้คนต่างมารวมตัวกันเพื่อร่วมพิธีอุทิศดวงวิญญาณที่ล่วงลับไปแล้ว
แต่ไม่ใช่แค่เพียงมนุษย์ที่มาร่วมเทศกาลนี้ มารบางตนก็แฝงตัวมาเพื่อแสวงหาพลังจากดวงวิญญาณที่ถูกอัญเชิญ พวกมันดูดกลืนวิญญาณเพื่อเสริมพลังให้ตนเอง
ข่าวลือกระจายไปทั่วเมืองว่าคืนนี้จะมีหญิงสาวที่มีมุกพลังจันทราเดินทางมาถึงเมืองแห่งนี้ และแน่นอน ไป๋เทียนหลง บุตรจ้าวแห่งจอมมาร ก็จะมาที่นี่เช่นกัน เขามาที่นี่เพื่อแสวงหามุกพลังจันทราไปให้ท่านจ้าวแห่งจอมมาร ผู้เป็นบิดาของเขา
ไป๋เทียนหลงปลอมตัวมาในชุดสีน้ำเงินลายครามสง่างาม เขายืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน ถือโคมไฟที่ส่องแสงระยิบระยับในมือเพื่อลอยไปตามแม่น้ำ
แต่แล้วเขาก็พบกับหญิงสตรีผู้หนึ่ง นางเดินตรงเข้ามาหาเขา ความงามของนางสะกดทุกๆ สายตา นางงดงามราวกับดวงจันทรา ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนนางคือ มู่หลิน ผู้ที่เขาเคยพบในป่าครั้งนั้น
“นี่ท่านคือคนที่ข้าช่วยชีวิตท่านไว้ในป่าใช่หรือไม่?”
มู่หลินเอ่ยถามด้วยเสียงสงบ
“เจ้าจำข้าได้...ข้าต้องขอบคุณแม่นางอีกครั้ง” ไป๋เทียนหลงตอบกลับอย่างนุ่มนวล แต่ในดวงตาเขามีแสงแห่งความหลงใหลที่ต้องเก็บซ่อนไว้
“แล้วเหตุใดข้าจึงหมดสติอยู่ตรงนั้น?
ท่านทำอะไรกับข้ากัน?” มู่หลินถามต่อ ความสงสัยยังคงอยู่ในใจ
ไป๋เทียนหลงยิ้มบางๆ ขณะที่ตอบ
“แม่นางอย่าละเมอไปเลย ข้าและแม่นางแยกย้ายกันออกจากป่าโดยดีแล้ว”
มู่หลินครุ่นคิดสักพัก คำถามยังคงหมุนวนอยู่ในหัว
“ทำไมข้าไม่จำเหตุการณ์นั้นได้? เกิดอะไรขึ้นกับข้ากันแน่?”
ไป๋เทียนหลงมองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม ก่อนที่จะรีบกล่าวอย่างรีบร้อน
“ไม่มีอันใดแล้วข้าขอตัว”
“เดี๋ยวก่อน ข้าชื่อมู่หลิน แล้วท่านชื่ออะไร”
“เรียกข้าว่าไป๋เทียนหลง ข้าขอตัว”
“ผู้ชายอะไร เย็นชาชะมัด ถือว่ามีหน้าตาดีหรืออย่างไร” นางพึมพำในลำคอ
ทันทีที่มู่หลินหันหลังเดินออกไป เหล่ามารปีศาจที่รอคอยอยู่นานก็เริ่มเคลื่อนไหว เหมือนจะได้กลิ่นพลังบริสุทธิ์จากตัวเธอ ปีศาจหมู, ปีศาจวัว ต่างปล่อยแสงพลังอันมืดมิดออกมา พุ่งไปที่ตัวมู่หลินอย่างไม่ทันตั้งตัว
โคมที่เธอถืออยู่ตกลงจากมือและมู่หลิงล้มลงไปกองกับพื้นทันที แสงพลังจากหมู่มารพุ่งเข้าใส่นางอีกครั้ง
ทันใดนั้น ไป๋เทียนหลงพุ่งเข้ามาบดบังแสงแห่งความชั่วร้ายจากเหล่าปีศาจ เขายืนนิ่งอยู่ข้างหน้ามู่หลิน ปล่อยพลังจอมมารใส่ปีศาจทันที
“พวกเจ้า...อย่าได้แตะต้องนางเด็ดขาด!”
เขากระซิบเสียงต่ำ แต่มันแฝงไปด้วยอำนาจที่ทำให้บรรยากาศรอบตัวหนาวเยือก
“พวกข้าผิดไปแล้วท่านจอมมาร! อภัยให้พวกข้าเถอะ!”
ปีศาจทั้งสองรีบหลบหนีไปทันที เมื่อเห็นพลังของไป๋เทียนหลงที่เต็มไปด้วยอำนาจและอาคมจากพลังจอมมารเก่งกล้า
เขาพยุงนางให้ลุกขึ้นยืนอย่างอ่อนโยน ดวงตาของเขามองนางด้วยความห่วงใยอย่างชัดเจน ริมฝีปากบอบบางของเขาเอ่ยคำถามด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
“เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”
มู่หลินเงยหน้าขึ้นและยิ้มให้เขา แม้ว่าจะมีความเจ็บอยู่บ้าง แต่นางยังคงต้องทำเข้มแข็งอยู่
“ข้าไม่เป็นไร เมื่อครู่ที่ล้มลงไป ข้าแค่ไม่ได้ตั้งตัว ไม่อย่างนั้นปีศาจสองตนนั้นทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”
เขายิ้มที่มุมปากเยาะนางอย่างน้อยๆ แต่ไม่ทันจะรู้ตัว มู่หลินก็ถามขึ้นด้วยความสงสัย
“เจ้ายิ้มอะไรไม่ทราบ?”
เขาหันมาสบตานาง แววตาของเขาเย็นชา แต่ในใจกลับมีบางอย่างที่ซ่อนอยู่
“ข้าเปล่ายิ้ม เจ้าแค่คิดไปเอง”
เขากล่าวเสียงเรียบๆ
มู่หลินมองเขาด้วยความขบคิดแล้วกล่าวขอบคุณ
“ขอบคุณที่ช่วยข้า”
เขายักไหล่เล็กน้อยแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงทุ้มที่ไร้อารมณ์
“ข้าแค่ไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณเจ้า เราหายกันแล้ว” จากนั้นเขาก็เดินจากไปทันที
แต่ขณะที่เขาก้าวไปไม่ไกล มู่หลินกลับคว้าแขนเขาไว้ นางรู้สึกถึงความเครียดที่สะท้อนออกจากการกระทำของเขา เขาสะบัดมือของนางออกไปอย่างแรงจนทำให้นางรู้สึกเจ็บเล็กน้อย
“อย่าทำแบบนี้”
เขากล่าวด้วยเสียงเย็นชา ก่อนที่สายตาของเขาจะสะดุดกับบางสิ่งที่ข้อมือของเธอ เขาสังเกตเห็นกำไลหยกที่อยู่บนข้อมือของมู่หลิน พลังของมันบดบังพลังจากตัวนางไว้อย่างมิดชิด
“นางไม่ใช่คนธรรมดา...หรือมุกพลังจันทราจะอยู่กับนาง?”
เขากล่าวในใจด้วยความสงสัย
เขาหันมามองนางอีกครั้งก่อนเอ่ยเสียงเบา
“ข้ามาที่นี้ไม่มีสหาย เจ้ายอมเป็นสหายข้าจะถือว่าเป็นการตอบแทนที่ดี”
มู่หลินยิ้มบางๆ แล้วกล่าวกลับด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความไม่แน่ใจ
“ไหนเจ้าบอกว่าไม่อยากให้เรามีบุญคุณต่อกัน แล้วไยมาขอเป็นสหาย?”
เขามองเธอด้วยแววตาที่เป็นประกายเล็กน้อย แต่ก็ไม่ยอมตอบกลับ
“งั้นก็สุดแล้วแต่เจ้า ข้าไปล่ะ”
“เดี๋ยวๆ เป็นก็เป็น”
เสียงของมู่หลินเบาลงไปเมื่อเขาจะเดินจากไป แล้วความรู้สึกบางอย่างก็ฝังลึกในใจเธอ จิตใจของเธอรู้สึกได้ถึงความลึกลับของเขา มีบางอย่างที่ไม่เปิดเผย เขาแฝงไปด้วยพลังแห่งมาร ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เธออดกังวลไม่ได้ว่าหากเธอเข้าใกล้เขามากไป อาจจะเกี่ยวข้องกับจอมมาร
ทั้งสองเดินไปตามริมแม่น้ำ พวกเขาถือโคมพร้อมกันแล้วปล่อยให้มันลอยไปในน้ำ ทั้งคู่ยืนข้างกันมองแสงที่ส่องไกลออกไป ความรู้สึกอบอุ่นที่เกิดขึ้น
หลังจากนั้นพวกเขามาถึงตลาดที่มีสินค้าต่างๆ เรียงราย มู่หลินแวะเข้าร้านขายเครื่องประดับที่มีเครื่องประดับมากมาย แต่หนึ่งในนั้นดึงดูดความสนใจของมู่หลินทันที
“เดี๋ยวก่อน ข้าถูกใจปิ่นอันหนึ่งที่เป็นไข่มุกสีขาวประดับด้วยสะเก็ดดาวรายล้อม เปล่งประกายสวยสะดุดตาข้านัก”
มู่หลินพูดพลางจ้องไปที่ปิ่นที่วางอยู่บนแผง
“หากเจ้าอยากได้ ข้าจะซื้อมันให้กับเจ้า”
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเอื้อเฟื้อ
มู่หลินส่ายหัวเบาๆ และพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความอารมณ์ขัน
“ไม่ต้อง ข้าซื้อเอง ท่านอย่าใช้ลูกไม้นี้มามัดใจข้าเลย ข้ารู้ทันเจ้า”
เขามองเธอด้วยสายตาเจ้าเล่ห์แล้วกล่าวออกมาทันที
“นี่เจ้าหลงตัวเองมากนัก ข้าไม่ได้คิดเยี่ยงนั้นสักครา”
เขาหยิบปิ่นจากมือมู่หลินแล้วปักมันลงที่ศีรษะของนางทันที ท่าทางของเขาแฝงไปด้วยความอ่อนโยนที่ไม่อาจปฏิเสธได้
ความรู้สึกอบอุ่นที่แผ่ซ่านจากการสัมผัสนั้นทำให้มู่หลินรู้สึกถึงการเชื่อมโยงบางอย่างที่ลึกซึ้ง
เขามองนางด้วยรอยยิ้มที่ไม่ค่อยได้เห็นมาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุข ที่มาพร้อมกับความทรงจำเกี่ยวกับแม่ของเขา เขาจำได้ดีว่าแค่รอยยิ้มนี้เท่านั้นที่เคยช่วยให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
แต่เมื่อเขานึกถึงชีวิตที่ต้องเผชิญกับความทุกข์ ความรักที่เขาจะมอบให้กีบสตรีนั้นก็ยังคงเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจสัมผัสได้
“มู่หลิน ข้าจะกลับแล้ว”
เขากล่าวออกมาเสียงเบา และหันหลังเตรียมเดินจากไป
“แล้วเราจะได้เจอกันอีกหรือไม่?”
มู่หลินถามเสียงเบาในขณะที่ใจเธอรู้สึกปั่นป่วน
เขาหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่
“เราคงจะได้เจอกันอีก…”
ไป๋เทียนหลงกล่าวก่อนเดินจากไป ปล่อยให้มู่หลินมองตามแผ่นหลังชายที่เหมือนเคยรู้จักมานานแสนนาน
