บท
ตั้งค่า

บทที่ 13

ขณะนั้นตะวันเริ่มชิงพลบแล้ว ตอนที่ปิแอร์เดินตัดสนามหญ้าลอดประตูรั้วและเดินไปตามเส้นทางเลี้ยวลดที่ตัดผ่านทุ่งหญ้าที่ใช้ผสมพันธุ์สัตว์ซึ่งขณะนี้มีม้าสามตัวกำลังยืนและเล็มหญ้าอ่อนอยู่ ท่าทางของเขาเต็มไปด้วยความเร่งร้อน

เส้นทางที่คดเคี้ยวนั้นทอดลงสู่ลำธารที่ริมฝั่งเต็มไปด้วยแมกไม้ มีสะพานไม้เล็กๆ ทอดข้ามลำธารแห่งนั้นเมื่อข้ามสะพานไปแล้วก็จะมีทางเดินต่อไปอีก แต่เป็นทางแคบๆ ที่ทอดตัวขึ้นไปบนแนวตลิ่งที่สูงชันและตัดเข้าสู่ราวป่า ออกมาบรรจบกับเส้นทางอีกสายหนึ่งอันเป็นแนวกันอาณาเขตระหว่างจาลน่ากับที่ดินอันเป็นสมบัติของตระกูลว๊อกคั่น

เมื่อหันกลับไปมองทางลำธารอีกครั้งนั้นบรรยากาศใกล้จะค่ำลงมากแล้ว มองเห็นสายน้ำเป็นประกายอยู่ภายใต้เงามืดครึ้มของแมกไม้ เหนือขึ้นไปคือท้องฟ้าที่สลัวรางเพียงแต่ยังไม่มีดาวขึ้นแต่งแต้มเท่านั้น ปิแอร์เดินขึ้นไปตามแนวสูงชันของลูกเนินเรื่อยๆ มองเห็นต้นซิลเวอร์เบิร์ชที่ขาวโพลนราวกับจะมีแสงสว่างส่องออกมาจากภายในตัวของมันเอง นกวิพพัววิลล์ตัวหนึ่งถลาร่อนหาแมลงอยู่กับกิ่งไม้ ปีกที่ขยับอยู่ตลอดเวลานั้นเหมือนสายริบบิ้นสีขาว และทันใดวิพพัววิลล์อีกตัวหนึ่งก็กรีดเสียงร้องก้องขึ้นเหนือศีรษะ

เมื่อบรรลุถึงบริเวณป่าโปร่ง ปิแอร์มองไปทางทิศตะวันตก อาทิตย์ยังไม่สิ้นแสงทองเห็นท้องฟ้าเป็นสีแดงเข้ม ใบโอ๊คที่รับแสงอยู่ทางนั้นมีสีราวทองแดง ขณะนี้บรรดานกทั้งหลายได้ทยอยบินกลับมาสู่รวงรังของมันในพุ่มพฤกษ์แห่งนั้น การแสวงหาความรักของพวกมันในระหว่างเวลากลางวันได้ยุติลงแล้ว ในขณะที่ของเขากำลังจะเริ่มขึ้น

เขารู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งศีรษะ จึงถอดหมวกออกเพื่อให้สายลมเย็นชื่นช่วยคลายความร้อนนั้นให้ เขาอยากจะให้ความรักที่เขามีต่อฟีแซ้งท์เป็นความรักด้วยจิตใจอันสงบ ใคร่ที่จะได้เห็นภาพตนเองเดินเคียงคู่อยู่กับเธอในยามค่ำ ให้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปตามธรรมชาติ มีความเป็นธรรมชาติเช่นเดียวกับมวลหมู่สกุณาทั้งหลายเขาใคร่ที่จะได้รักเธอและได้รับความรักนั้นสนองตอบมา

แต่ทว่ามันได้มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นโดยไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว ภายหลังจากที่ได้รู้จักเธอมาเป็นเวลานานราวชั่วชีวิตเช่นนี้ เหตุการณ์นั้นเป็นประหนึ่งพายุร้ายที่สั่นคลอนความเป็นตัวของตัวเองให้สะท้านสะเทือนยิ่งนัก

เขาเร่งฝีเท้าเดินไปในท่ามกลางบรรยากาศอันอ่อนโยนของยามค่ำ ทุกย่างก้าวพาเขาให้เดินเข้าไปใกล้ขั้นบันไดที่ ฟีแซ้งท์จะต้องมาพบกับเขา ปิแอร์ทรมานตัวเองด้วยการพยายามมองให้เห็นภาพตนเองที่ตกอยู่ในความผิดหวังเมื่อได้พบว่าเธอมิได้นั่งอยู่ที่นั่น บนขั้นบันไดที่นัดพบมีแต่ความว่างเปล่าที่หยันเยาะความรักอันร้อนรุ่มที่เขามีต่อเธอ มองเห็นตนเองที่นั่งรออยู่จนเมื่อราตรีคลี่ม่านลงปกคลุมและแล้วก็เดินเซซังกลับไปจาลน่าด้วยความสิ้นหวัง เพราะมิได้โอบกอดร่างเธอไว้ในอ้อมแขน

วันนั้นมันได้มีอะไรเกิดขึ้นนะ? วันที่เขาและเธอได้พบกันตรงริมธารน้ำ ฟีแซ้งท์ตกใจกลัวงูตัวหนึ่งที่เลื้อยผ่านหน้าลงไปในลำธาร เธอกอดแขนเขาไว้แน่นและชี้ให้ดูตรงจุดที่มันหายตัวไป

ขณะที่เขาและเธอก้มหน้ามองลงไปในลำธารแห่งนั้น ทันใดสิ่งที่ทั้งสองได้เห็นก็คือภาพใบหน้าของคนสองคนที่สะท้อนอยู่ในความราบเรียบของแอ่งน้ำ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่ามันมิใช่ใบหน้าของปิแอร์และฟีแซ้งท์ซึ่งรู้จักกันมาเป็นเวลาช้านานเลย เพราะมันเป็นภาพที่ออกจะมีความรู้สึกแปลกๆ แฝงอยู่ และเมื่อทั้งสองต่างเงยหน้าขึ้นมองกันและกันริมฝีปากก็เผยอแย้มและประทับเข้าหากัน

เมื่อนึกถึงจุมพิตนั้นฝีเท้าของปิแอร์ก็เร่งความเร็วขึ้น เขาวิ่งตัดท้องทุ่งตรงไปยังบันไดที่นัดพบกับเธอไว้ทันที เธอกำลังนั่งอยู่ที่บันไดนั้นรอคอยเขาอยู่ ร่างที่นั่งคู้ไหล่เห็นเป็นเงาดำตัดกับสีท้องฟ้าสีแดงคล่ำเบื้องทิศตะวันตกในยามนี้ ปิแอร์ลดฝีเท้าลงในทันทีที่เขาเห็นเธอเข้า และทักเธอเพียงสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงปกติว่า

“เฮลโล...ฟีแซ้งท์”

“เฮลโล...ปิแอร์ ฉันมารอคุณได้สักพักแล้วล่ะค่ะ”

“บังเอิญผมออกมาไม่ได้ ต้องไปดูแม่วัวที่เรนนี่เพิ่งซื้อมาวันนี้กับเขาก่อน”

เขาเดินขึ้นบันได ทรุดตัวลงนั่งเคียงข้าง

“ค่ำวันนี้รู้สึกอากาศค่อนข้างร้อนนะ” เขาเอ่ยขึ้นโดยมิได้หันหน้าไปมองเธอ

“ผมร้อนจังอย่างกับอยู่ในเตาอบแน่ะ” เขาจับมือเธอไว้ดึงเข้ามาแนบข้าง

“ลองจับดูสิ”

“หัวใจคุณเต้นแรงจังค่ะ” เธอเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มๆ

“เป็นเพราะคุณรีบมาหรือว่า...” เธอเอนร่างเข้าไปพิงอยู่กับไหล่ แหงนขึ้นมองหน้าเขาอยู่

นี่คือสิ่งที่ปิแอร์รอคอยอยู่ ช่วงเวลาที่เธอจะเอนร่างเข้ามาอิงแอบอยู่กับเขา ถ้าปราศจากฟีแซ้งท์แล้วน้ำพุแห่งความรักอันเย็นชื่นก็คงจะไม่พวยพุ่งขึ้น เขากอดร่างเธอแนบแน่น ประทับจุมพิตลงบนเรียวปาก กลิ่นหอมอ่อนๆ จากเรือนร่างนั้นทำให้เขารู้สึกมึนงงอยู่

ในที่สุดเขาก็มิใช่ปิแอร์ผู้มีจิตใจเข้มแข็งอีกต่อไปอยากจะให้เวลาที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของกันและกันนี้ยืดยาวออกไปชั่วกาลนาน

“ผมเห็นจะทนให้เราทั้งสองคนอยู่ในสภาพนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว” เขาเอ่ยขึ้นเบาๆ

“เราควรจะแต่งงานกันนะ ฟีแซ้งท์”

“คุณจำไม่ได้หรอกหรือคะว่าเรนนี่พูดไว้ว่าอย่างไรคุณจะกล้าขัดคำสั่งเขาหรือคะ? เขาจะต้องโกรธมากทีเดียวนะถ้ารู้ว่าเราแอบมาพบกันอย่างนี้”

“ช่างหัวเรนนี่ปะไร เขาควรจะได้รับบทเรียนเสียบ้าง ถึงเวลาที่เขาควรจะได้รู้สึกเสียบ้างว่าเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะมาเป็นจ้าวหัวใจใครต่อไป เขาเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองมาตลอดมันก็เลยสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นกับเรา ผมเรียกเขาว่าราชาแห่งจาลน่า รู้ไหม?”

“ที่สำคัญก็คือคุณมีสิทธิ์ที่จะบอกว่าคุณจะแต่งงานกับผู้หญิงคนไหน แม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะต่ำต้อยกว่าคุณอย่างนั้นใช่ไหมคะ?”

เขารู้สึกถึงหยาดน้ำตาของฟีแซ้งท์ที่เปียกชื้นอยู่กับแก้มของตนเอง

“โอ...ฟีแซ้งท์ คุณนี่ช่างเขลาเสียจริง” ปิแอร์ร้องออกมา

“คุณน่ะหรือต่ำต้อยกว่าผม?”

“อย่างน้อยเรนนี่เขาก็คิดอย่างนั้นนะคะ และทุกๆ คนในครอบครัวของคุณก็คิดอย่างนั้นด้วย คุณก็รู้ว่าครอบครัวของคุณไม่มีใครชอบฉันสักคน”

“ก็ช่างเขาปะไรล่ะ ถึงยังไงคุณก็คือเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลว๊อคคั่นคนหนึ่ง ใครๆ เขาก็รู้เรื่องนี้กันทั้งนั้น คุณก็มีสิทธิ์ใช้นามสกุลนั้นอย่างเต็มที่อยู่แล้ว”

“แม้แต่มัวริชก็ดูถูกฉัน เขาไม่เคยอนุญาตให้ฉันเรียกเขาว่าพ่อเลย” ฟีแซ้งท์พูดอย่างน้อยใจ

“น่าจะยิงทิ้งเสียนัก” ปิแอร์ร้องออกมาอย่างโกรธเคือง

“ถ้าผมทำอย่างที่เขาทำแล้วละก็ผมจะต้องเข้าข้างลูกอย่างเต็มที่ ผมจะกล้าเผชิญหน้ากับทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้”

“แต่...ถึงยังไงเขาก็ยังเลี้ยงดูฉัน ยอมให้ฉันใช้นามสกุลของเขาอยู่แล้ว”

“พ่อแม่ของเขาต่างหากที่ยอมรับในตัวคุณ เขาน่ะไม่เคยรักคุณหรือให้ความเมตตาต่อคุณด้วยความจริงใจหรอก”

“เขามีความคิดว่าฉันคือตัวการที่ทำให้ชีวิตของเขาต้องพังพินาศลง”

“คุณหมายถึงเรื่องของเขากับเม๊กกี้ใช่ไหม? คุณพอจะมองเห็นภาพไหมล่ะว่าถ้าเม๊กกี้กับมัวริชแต่งงานกันแล้วอะไรมันจะเกิดขึ้น”

ปิแอร์เปล่งเสียงหัวเราะออกมาก้มลงจุมพิตหน้าผากของฟีแซ้งท์อย่างรักใคร่ ไรคิ้วอ่อนนุ่มสัมผัสอยู่กับแนวแก้มเขาจึงจุมพิตมันซ้ำ

“บอกตรงๆ นะปิแอร์ว่าฉันมองเห็นภาพนั้นได้ชัดเจนยิ่งเสียกว่าการแต่งงานของเราสองคนเสียอีก ฉันมีความรู้สึกว่าเราก็คงจะต้องดำเนินความสัมพันธ์ในลักษณะหลบๆ ซ่อนๆ อยู่อย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ พบกันแล้วก็จากกันไปทุกค่ำคืนซึ่งฉันคิดว่ามันก็ดีเหมือนกันนะ”

“ดีกว่าการที่จะได้แต่งงานกับผมอย่างนั้นน่ะรึ? ฟังนะฟีแซ้งท์ นี่คุณกำลังใช้คำพูดทำร้ายจิตใจผมอยู่นะ”

“ก็ไม่เชิงหรอก ฉันคิดว่าการที่เราได้พบกันอยู่อย่างนี้มันทำให้ความรักของเราสวยงามดีออก ฉันตกอยู่ในความฝันทั้งวันรอเวลาที่จะได้พบคุณ และพอยามกลางคืนมาถึงคุณก็อยู่ในใจฉันโดยตลอด...”

“ก็แล้วถ้าผมได้มาอยู่เคียงข้างคุณล่ะ?”

“มันก็คงไม่น่ารักอย่างนี้หรอก ฉันว่ามันคงเป็นไปไม่ได้แน่ และพอถึงตอนเช้าเมื่อฉันลืมตาตื่นขึ้นมาฉันก็จะนับเวลาแต่ละนาทีจนกว่าเราจะได้พบกันอีก มัวริชไม่เคยเข้ามาอยู่ในใจฉันเลยฉันตกใจกลัวทุกครั้งที่ได้เห็นหน้าหรือได้ยินเสียงเขา”

“แต่ความฝันน่ะมันไม่ทำให้ผมพอใจขึ้นมาได้หรอกนะ ฟีแซ้งท์ การที่เราต้องหลบๆ ซ่อนๆ อยู่อย่างนี้มันทรมานจิตใจผมอย่างที่สุด และยิ่งเวลาผ่านไปผมก็ยิ่งมีความทุกข์ทรมานเพิ่มขึ้น ผมต้องการคุณจริงๆ ไม่ใช่ต้องการแต่เฉพาะในความฝันเท่านั้น”

“ทำไมคุณไม่ชอบการที่เรามาพบปะกันอย่างนี้หรอกหรือคะ?”

“อย่าเขลาไปหน่อยเลย คุณก็รู้นี่ว่าผมหมายความว่ายังไง” เขาถอยห่างจากเธอ ควักบุหรี่ออกมาจุดสูบ

“เอาละ” เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการ

“ขอให้เรามาคิดเรื่องการแต่งงานกันก่อนดีกว่า เราก็กำลังจะแต่งกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? คุณจะแต่งกับผมไหมล่ะ?”

“ค่ะ...เอ้อ...ขอบุหรี่ให้ฉันสักมวนสิคะ”

เขาส่งบุหรี่ให้เธอ พร้อมทั้งช่วยจุดให้ด้วย

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel