บทที่ 12
เรนนี่ออกจะรู้สึกขายหน้าอยู่บ้าง เพราะคำพูดของลุงนิโคลาสกับลุงเออร์เนสท์นั้นเหมือนจะประณามการกระทำของเขาอยู่ อารมณ์ที่พลุ่งขึ้นมาทำให้เขาดึงหูเจ้านิพแรงไปหน่อยมันถึงกับร้องออกมา
“ไป...จับแมงมุมได้แล้วนิพ” นายของมันออกคำสั่ง
เมื่อสุนัขกระโดดลงจากอ้อมแขน เรนนี่ก็ลุกขึ้นเพื่อที่จะกลับไปห้องของตนเอง มีควมรู้สึกว่าไม่มีใครให้ความสนใจในปัญหาของตัวเองอย่างจริงจังเลย นิโคลาสเงยหน้าขึ้นมองหลานชายแลเห็นความเคร่งขรึมในสีหน้านั้น จึงเอ่ยขึ้นอย่างปลอบใจว่า
“เรนนี่ จริงๆ แล้วก็เป็นพี่ชายที่ดีมากเลยนะ แล้วก็เป็นหลานชายที่ดีของลุงด้วย ดื่มอะไรสักแก้วก่อนไหมล่ะ?”
เมื่อเรนนี่ตอบรับ นิโคลาสก็ฉุดตัวเองให้ลุกขึ้นเพื่อจะไปผสมเครื่องดื่มให้
“รำคาญไอ้หัวเข่าข้างนี้เสีนจริงๆ” เขาบ่น แต่ก็อุตส่าห์เดินไปจนถึงชั้นที่วางขวดเหล้าไว้ได้
“เอาล่ะครับ สำหรับฤดูร้อนปีนี้อีเด็นเขาอยากจะทำอะไรก็ตามใจเขาเถอะ”
อารมณ์ของเรนนี่ค่อยดีขึ้นเมื่อได้ดื่มเหล้าเข้าไปอึกใหญ่
“แต่เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วงเขาจะต้องตัดสินใจเสียทีว่าจะทำธุรกิจหรือว่าจะอยู่ที่จาลน่านี่”
“แกจะให้มันทำอะไรล่ะ ถ้ามันอยู่จาลน่าอย่างที่แกต้องการ หือ...เรนนี่?”
“ก็ช่วยปิแอร์สิครับ ทำไมถึงจะช่วยไม่ได้ล่ะถ้าเขาเปลี่ยนความตั้งใจแล้วช่วยกันอย่างจริงๆ จังๆ เราก็สามารถจะเอาที่ดินที่พ่อเฒ่าแฮร์เช่าไว้กลับคืนมา แล้วก็ทำให้เกิดประโยชน์ขึ้นได้อีกถึงสองเท่า มันเป็นชีวิตที่น่าสบายนะครับ เมื่อถึงเวลาว่างถ้าเขาอยากจะเขียนโคลงกลอนอะไรก็ยังทำได้อีกด้วย ผมจะไม่ขัดขวางอะไรเขาเลย ตราบใดที่เขาไม่ได้มาขอร้องให้ผมอ่าน”
“ก็คงจะเป็นบทกวีของชาวนาซึ่งฟังไม่เข้าท่าเลยจริงๆ” นิโคลาสบ่น
“แต่ลุงว่าอีเด็นมันมีความคิดเห็นเรื่องอนาคตของมันไม่เหมือนกับที่แกตั้งใจจะให้มันเป็นหรอกนะ ลุงว่าอีเด็นมันมีนิสัยใจคอเหมือนแม่ของมันมากทีเดียว”
“จะยังไงก็แล้วแต่เถอะครับ” เรนนี่ตอบ
“มันไม่มีทางจะมายุ่งกับผมได้อีกหรอก ผมทุ่มเงินทองให้มันมามากแล้ว คิดดูสิครับมันปฏิเสธไม่ยอมไปสอบ ผมไม่เคยได้ยินอะไรพรรค์อย่างนี้มาก่อนเลย แล้วตอนนี้ยังมีหน้ามาพูดเรื่องจะลงไปนิวยอร์คเพื่อพบกับเจ้าของสำนักพิมพ์อีก”
“ลุงว่าไอ้ความต้องการอันนี้ของมันคงจะมีมานานแล้วละน่า บางทีมันอาจจะมีความเป็นอัจฉริยะก็ได้นะเรนนี่”
“โอ...ผมว่าไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับลุง” นิโคลาสเปล่งเสียงหัวเราะแปลกๆ อยู่ในลำคอ
“เรนนี่ แกนี่เป็นผู้พิพากษาที่มีความเด็ดขาดจริงๆ สงสัยจะรับเชื้อนี่มาจากแมมม่า”
“อย่างนั้นเหรอครับ? ผมไม่ได้สังเกตหรอก ผมคิดว่าอีเด็นเป็นสัตว์เลี้ยงที่คุณย่าโปรดปรานมากกว่า มันเข้ากับผู้หญิงได้ทุกวัยล่ะครับ เอาละครับ ผมเห็นจะต้องไปเสียทีวันนีเขามีการขายปศุสัตว์กันที่ฮอลสไตน์ ผมอยากจะไปซื้อแม่วัวสักตัวสองตัว”
“ถ้ามีม้าขายด้วยบางทีลุงจะไปกับแกนะ แต่ไอ้หัวเข่านี่สิมันออกจะแย่สักหน่อย แต่นี่แกจะไปซื้อแม่วัวนี่เพราะฉะนั้นลุงเห็นจะไม่ไปดีกว่า จริงๆ ก็ไม่ชอบกินนมอยู่แล้ว”
เรนนี่เดินไปจนถึงประตูแล้วตอนที่นิโคลาสเอ่ยถามตามหลังมาว่า
“เออ...แล้วปิแอร์ล่ะเป็นยังไงมั่ง แกคุยกับมันเรื่องแฟนมันหรือยังล่ะ?”
“ครับ ผมบอกปิแอร์แล้วว่ามันจะต้องเลือกติดต่อกับผู้หญิงคนนั้น ก็รู้สึกว่ามันตกใจอยู่เพราะนึกไม่ถึงว่ามันจะถูกจับได้”
“แต่ตอนที่กินอาหารด้วยกันก็รู้สึกว่าท่าทางมันเป็นปกติดีนี่”
“อ๋อ...เราพูดเรื่องนี้กันมาสองวันแล้วละครับ ที่จริงปิแอร์มันก็ดูจะเชื่อฟังอยู่ไม่เลวนักหรอกครับ ผมรู้สึกว่ามันยอมรับฟังคำพูดของผมแต่โดยดี แถวนี้ท่าจะว่าไปแล้วมันก็หาผู้หญิงสาวๆ สวยๆ ยากเสียด้วย แม้แต่ลูกสาวชาวบ้านที่หน้าตาดีๆ ยังไม่ค่อยมีเลยครับ อีกประการหนึ่งฟีแซ้งท์ก็เป็นคนสวยมากอย่างไม่ต้องสงสัยเลย”
คราวนี้นิโคลาสขมวดคิ้วย่น ดวงตาเป็นประกายวาววับขึ้นมาทันที
“แต่แกก็รู้นี่ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใครมาจากไหนเราไม่ต้องการให้เลือดเลวๆ มาปะปนกับเลือดของคนตระกูลเราหรอกนะ อีกประการหนึ่งแกต้องเห็นใจเม๊กด้วย เม๊กจะต้องทนเรื่องอย่างนี้ไม่ได้แน่”
“ผมว่าเด็กคนนั้นไม่ได้ทำความผิดอะไรนะครับ” เรนนี่กลับมีความเห็นไปในทางตรงข้าม “เพราะมันเลือกเกิดกันไม่ได้นี่ครับ ลุงนิค แล้วไอ้การเป็นคนสวยมันก็ต้องมีผู้ชายมารุมจีบเป็นธรรมดา”
“ก็เจ้าปิแอร์นั่นแหละติดพันนังเด็กนั่นมากกว่าใคร” นิโคลาสพูดเสียงขุ่น
“ก็ช่างมันเถอะครับ” เรนนี่ตอบห้วนๆ
“ถึงยังไงมันก็รู้อยู่แล้วว่าผมไม่ชอบเรื่องเหลวไหลไร้สาระอย่างนั้น แล้วผมจะไม่ทนด้วย”
เมื่อพูดจบเรนนี่ก็เดินออกไปจากห้อง ปิดประตูตามหลังโครมใหญ่ เช่นที่เคยทำทุกครั้ง
นิพยังคงวุ่นวายอยู่กับกระดูกชิ้นนั้น เมื่อมองดูมันแล้วนิโคลาสก็เกิดความกังวลใจขึ้นมาอีกว่า ถ้ามันแทะกระดูกมากเกินไปอาจจะเป็นผลร้ายต่อระบบการย่อยอาหารของมัน ดังนั้นนิโคลาสจึงแย่งกระดูกชิ้นนั้นมาเสีย รู้สึกปวดร้าวไปทั้งขาเมื่อก้มลงไปหยิบกระดูกขึ้นมาถือไว้
“ไม่เอาละ ไม่ให้แทะแล้ว เดี๋ยวท้องเอ็งจะพังหมด”
เจ้านั้นพยายามประท้อง เต้นเร่าๆ อยู่บนขาหลังนิโคลาสเอากระดูกไปวางหลังเปียโน เช็ดมือกับเสื้อคลุมพอเหลือบไปเห็นขวดเหล้า ก็เอื้อมไปคว้าแก้วขึ้นมาถือไว้
“เฮ้อ...ที่จริงเราไม่ควรกินเหล้าเลยนะ”
เขาพูดเหมือนจะเตือนตนเอง แต่ก็ผสมเหล้าลงในแก้วจนได้
“เอาเป็นว่าแก้วนี้เป็นแก้วสุดท้ายสำหรับวันนี้ก็แล้วกัน”
เมื่อให้สัญญากับตัวเองแล้ว ก็โขยกเขยกกลับมานั่งลงในก้าอี้ตัวเดิม
เสียงคีย์เปียโนดังลั่นขึ้นเมื่อเจ้านิพกระโดดขึ้นไปยืนบนสตูล และใช้ขาหน้าทั้งสองของมันกดคีย์ไว้ ขณะที่ยืนหัวขึ้นงับกระดูกชิ้นนั้น นิโคลาสทรุดตัวลงในเก้าอี้อย่างยากลำบาก อดขันกับท่าทางของเจ้าหมาแสนรู้ตัวนั้นไม่ได้
เขาจิบวิสกี้ไปเรื่อยๆ ดวงตาเปล่งประกายเคลิ้มฝันขณะนี้บรรยากาศภายในบ้านเงียบสงบ บอกกับตัวเองว่าเขาควรจะได้หลับสักงีบ พักสายตาอยู่ในเก้าอี้ตัวนี้แหละเสียงฟันของเจ้านิพขบอยู่กับกระดูกชิ้นนั้นเป็นจังหวะและรอยยิ้มอันแสนสุขก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า เมื่อนึกถึงว่าเออร์เนสท์จะต้องรำคาญใจทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเห่าของเจ้านิพ
เออร์เนสท์ออกจะโมโหง่ายไปสักหน่อยก็น่าเห็นใจอยู่หรอกเพราะแก่ปานนั้นแล้ว และป่านนี้ก็คงนอนหลับอยู่กับเจ้าซาช่าแมวตัวโปรดไปแล้ว แมวตัวไหนมันก็เหมือนๆ กันทั้งนั้นเห็นแก่ตัวไม่สิ้นสุด มันจะรักเจ้าของก็ต่อเมื่อมันจะสามารถเอาอะไรจากเราได้เท่านั้น แต่หมาอย่างเจ้านิพนี่มันซื่อสัตย์อุทิศตนให้กับเจ้าของอย่างหมดจิตหมดใจทีเดียว
เขายื่นมือออกไปข้างหน้าและพิจารณารูปมือของตัวเอง ซึ่งนิ้วหนึ่งมีแหวนหัวมรกตรูปสี่เหลี่ยมประดับอยู่นิโคลาสรู้สึกยินดียิ่งนักที่ตัวเองได้รับมรดกนิ้วมืออันเรียวงามมาจากมารดา เรนนี่ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่มีนิ้วเรียวงามอย่างนี้เพียงแต่ไม่เคยจะดูแลรักษาเท่านั้น
ใครๆ ก็รู้ว่าบุคลิกภาพของคนเรานั้นรวมทั้งสายเลือดว่าจะดีหรือเลวประการใดๆ ย่อมแสดงให้เห็นอยู่บนรูปมือนี้เอง มันทำให้เขาต้องนึกไปถึงมือของมิลลิเซ้นท์ภรรยาของเขา ที่เรียวบางปลายเล็บงองุ้ม ขณะที่เธอยังมีชีวิตอยู่ คุณพระช่วย...เมื่อมาถึงเวลานี้มิลลิเซ้นท์ก็อายุเจ็ดสิบแล้วสินะ...
เขาพยายามมองให้เห็นภาพภรรยาเมื่ออายุเจ็ดสิบแต่แล้วก็สั่นศีรษะด้วยบังเกิดความรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาไม่...เขาจะต้องไม่นึกถึงภาพผู้หญิงคนนั้น ไม่ว่าจะมีอายุเจ็ดสิบหรือสิบเจ็ดก็ตาม เขาต้องการจะลืมเธอให้ได้
ถ้าเมื่อไรแมมม่าตายซึ่งก็คงอีกไม่นานนี้ เขาก็จะได้มรดกเป็นเงินก้อนใหญ่สักก้อนหนึ่ง จากนั้นเขาก็จะเดินทางไปเที่ยวอังกฤษสักพัก อยากจะได้เห็นประเทศนั้นด้วยสายตาตนเองอีกสักครั้ง ก่อนที่เขาจะตายลง แต่ยังก่อน...เขาจะยังตายไม่ได้ จะต้องอยู่ให้ถึงเก้าสิบเก้าปีอย่างแมมม่าเสียก่อน แม้ว่าเขาจะมีเชื้อสายขุนนางมาบ้างแต่ก็ยังโชคดีที่มิได้รับมรดกความเจ้าอารมณ์มาจากทางสายของมารดา ก็ให้เรนนี่มันรับไปคนเดียวก็แล้วกัน ทุกวันนี้มันก็ดุร้ายพอตัวอยู่แล้ว
เสียงเจ้านิพร้องครางอยู่เบาๆ นิโคลาสเอื้อมมือไปตบหัวมันเล่นอย่างเอ็นดู
“นอนเสียเจ้านิพ อย่าเรียกร้องอะไรให้มันมากไปนักเลย”
สุนัขแสนรู้ทอดกายลงนอนเคียงข้างเจ้านายของมัน พาดหางอยู่กับหน้าท้องของนิโคลาส แล้วทั้งคนและหมาก็หลับไปด้วยกัน
