บท
ตั้งค่า

บทที่ 14

“เอาล่ะ ไหนบอกเหตุผลที่คุณยังรั้งรออยู่ให้ผมฟังหน่อยสิ เวลานี้ผมอายุยี่สิบและคุณก็สิบเจ็ดแล้ว มันเป็นวัยที่เหมาะแก่การแต่งงานอย่างที่สุด จริงไหม?”

“เขาพูดกันว่าเรายังเด็กเกินไป” ฟีแซ้งท์ตอบเสียงอ่อย

“บ้าน่ะสิ ที่เขาพูดอย่างนั้นก็คงจะเพราะต้องการเห็นเราคลานขึ้นมาพบกันบนบันไดนี้ละมัง ใครๆ ก็รู้ว่าเวลานี้ผมเป็นคนที่มีประโยชน์สำหรับเรนนี่อย่างมากและเขาเองก็จ่ายค่าแรงให้ผมอย่างงามด้วย ผมรู้จักเรนนี่ดีนะ จริงๆ แล้วแม้ว่าเขาจะเป็นคนเจ้าอารมณ์สักหน่อยแต่ก็เป็นคนนิสัยดีมากๆ เลย เขาไม่คิดเสือกไสไล่ส่งผมไปไหนหรอก อีกประการหนึ่งที่จาลน่าก็มีห้องว่างตั้งเยอะแยะไป ถ้าเราจะอยู่สักห้องหนึ่งก็คงไม่มีใครเขามาสนใจกับเราหรอก”

“แต่เม๊กเขาคงไม่ชอบฉันแน่เลย ฉันกลัวพี่สาวคุณจัง”

“กลัวเม๊กกี๊น่ะเรอะ?...โอ…..ผมว่าคุณขี้ขลาดมากไปหน่อยแล้วนะ เม๊กกี๊เป็นบุคคลที่จิตใจอ่อนโยนเหมือนลูกแกะและคุณย่าก็ชอบคุณด้วย ผมจะพูดให้คุณฟังนะฟีแซ้งท์ เราจะต้องประจบคุณย่าเข้าไว้ ท่านเป็นคนที่มีอำนาจที่สุดในบ้าน ถ้าเราสามารถทำให้คุณย่าพอใจได้แล้วไม่มีใครกล้ามาทำอะไรเราหรอก คุณย่ายังพูดอยู่บ่อยๆ เลยว่าผมเหมือนคุณปู่มากกว่าหลานคนอื่นๆ แล้วคุณย่าก็มีความคิดว่าคุณปู่เป็นบุคคลที่วิเศษที่สุดในโลกอีกด้วย”

“แล้วเรนนี่เล่า? คุณย่าก็เคยพูดอยู่เสมอเหมือนกันไม่ใช่หรือว่าเรนนี่สมเป็นลูกผู้ดีมีตระกูลทุกกระเบียดนิ้ว ฉันคิดว่าคุณย่าคงทำพินัยกรรมไว้ตั้งแต่ก่อนเราเกิดเสียด้วยซ้ำละมั้ง”

“ใช่ แต่คุณย่าก็เปลี่ยนใหม่อยู่เรื่อย หรือไม่ก็แสร้งทำเป็นว่าเปลี่ยนตัวผู้รับมรดกแล้ว เพิ่งเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เองที่คุณย่าเรียกทนายความมาพบคุยอยู่ตั้งหลายชั่วโมง ใครๆ ในบ้านต่างก็ร้อนใจกันใหญ่ เวคเป็นคนไปแอบดูทางรูกุญแจแล้วก็กลับมาเล่าให้พวกเราฟังว่าไม่เห็นคุณย่าทำอะไรเลย นอกจากเอาลูกกวาดให้ตาเฒ่านั่นกิน แต่จะยังไงก็ตามทีเถอะเราก็ยังบอกไม่ได้อยู่ดีว่าอะไรมันเป็นอะไร” ปิแอร์ระบายลมหายใจหนักๆ ออกมา

“สิ่งหนึ่งที่แน่นอนที่สุดก็คือ ผมเห็นจะทนอยู่ในสภาพนี้อีกต่อไปไม่ไหวแล้ว ผมจะต้องแต่งงานหรือไม่ก็ไปเสียจากที่นี่เลย เรื่องของเรามันทำให้ผมประสาทเสียจริงๆ วันนี้ตอนที่กินอาหารอยู่ด้วยกันผมก็กลุ้มใจเรื่องของเราจะแย่ แถมยังมีเรื่องหนังสือของอีเด็นเข้ามาอีกเขาคิดจะพิมพ์หนังสือบทกวีเชียวนะ คิดดูสิว่าบ้าแค่ไหนพถึงตอนกินน้ำชาฟิ้นช์ก็กลับมาพร้อมด้วยรายงานความประพฤติจากครู เอ้า...ก็ต้องฟังเทศนากันอีกรอบ โดนด่ากันเป็นชั่วโมงๆ เชียวละ”

แต่ทั้งหมดที่ปิแอร์พร่ำบ่นอยู่นั้นดูเหมือนฟีแซ้งท์จะไม่ได้ยินอะไรเลย คำเดียวที่ติดค้างอยู่ในใจของเธอขณะนี้คือ ‘ไปเสียจากที่นี่’ เธอหันไปมองหน้าคนรักด้วยแววตาที่บอกถึงความตกใจกลัว ใบหน้าเผือดซีด

“คุณว่าอะไรนะคะ คุณจะไปเสียจากที่นี่อย่างนั้นรึ? คุณพูดอย่างนี้ออกมาได้ยังไงกัน? คุณก็รู้ว่าถ้าไม่มีคุณฉันคงต้องตายแน่เลย”

“อ้าว...ทำไมคุณหน้าซีดอย่างนั้นล่ะ?” ปิแอร์รู้สึกแปลกใจในสีหน้าของฟีแซ้งท์

“คุณเป็นอะไรไปหรือเปล่านี่? ถึงผมจะไปไหนมันก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญสำหรับคุณไม่ใช่หรือ? คุณจะนั่งฝันถึงผมต่อไปยังไงก็ได้เพราะคุณไม่ได้ต้องการผมอย่างจริงจังอะไรนี่”

ฟีแซ้งท์ร้องไห้โฮออกมาทันที ผุดลุกขึ้นยืนละเดินลงจากขั้นบันไดนั้น

“คุณคิดว่าฉันจะอดทนพอให้คุณมานั่งทรมานฉันด้วยคำพูดหรือไง?”

เธอร้องออกมา และวิ่งลงบันไดไปข้างล่าง

“ใช่ และคุณก็ยังหวังที่จะให้ผมอยู่เพื่อให้ทนทรมานใจอยู่อย่างนี้ใช่ไหมล่ะ?” เขาตะโกนตอบ

เธอวิ่งลงไปในทุ่งหญ้าที่เปียกชื้นด้วยน้ำค้าง และปิแอร์ก็ได้แต่นั่งมองตามร่างเธอไปเงียบๆ อยู่เช่นนั้น ใจหนึ่งก็อยากรู้ว่าฟีแซ้งท์ตั้งใจจะวิ่งไปให้ถึงอีกฟากหนึ่งของลำธารหรือเปล่า แต่ก็มองเห็นอยู่ว่าฝีเท้าของเธอผ่อนลงมองเห็นเพียงเงาตะคุ่มๆ ของเรือนร่าง

เขาจะทำอย่างไรถ้าเธอจะวิ่งไปเรื่อยๆ อย่างนั้นจนกระทั่งถึงบ้าน ทิ้งให้เขานั่งเดียวดายอยู่บนขั้นบันไดแห่งนี้ด้วยความรักที่หนักหน่วงอยู่ในหัวใจ? เพียงแค่ความคิดนั้นก็มากพอที่จะทำให้เขาขยับจะกระโดดลงและออกวิ่งตามเธอไปเสียแล้ว แต่ทันใดเขาก็เห็นเธอเดินกลับมาปิแอร์รีบขยับตัวนั่งตามเดิม รู้สึกดีใจที่ยังรักษาศักอิ์ศรีไว้ได้

เธอเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้า...

“เอาละ...ฉันพร้อมแล้ว”

เขาตระหนักถึงความใกล้ชิด แต่ขณะนั้นก็ยังใจเย็นพอที่จะอัดควันบุหรี่และค่อยๆ ระบายออกมานิ่งอยู่เป็นครู่ก่อนจะถามว่า

“เมื่อไหร่?”

“คุณว่าเมื่อไหร่ก็เมื่อนั่นแหละ” ฟีแซ้งท์ตอบเครือ

“มานี่สิ”

ปิแอร์ใช้อำนาจทันที แต่เมื่อเขาได้โอบร่างเธอไว้อีกครั้งความอ่อนโยนอันเป็นธรรมชาติก็กลับคืนมา ขณะเดียวกันเขารู้สึกภาคภูมิใจในความมีอำนาจของตนเองยิ่งนัก ปิแอร์ซุกไซ้ใบหน้าอยู่กับเรือนผมและเรียวปากอันอ่อนนุ่มของเธอย่างเปรมปลื้ม

ขณะที่เดินกลับบ้านนั้นเขารู้สึกว่าเนื้อตัวเบาหวิวและมีกำลังใจอย่างประหลาด แม้ว่าวันนี้จะทำงานมาหนักแล้วทั้งวันก็ตาม ขณะที่เดินลงไปตามแนวตลิ่งที่ลาดลงสู้ลำธารนั้นกิ่งของโอ๊คต้นหนึ่งขวางหน้าอยู่พอดีปิแอร์กระโดดขึ้นจับกิ่งไม้นั้นไว้และโหนเล่นอยู่เป็นครู่ขณะเดียวกันก็แหงนหน้าขึ้นมองดูหมู่ดาวที่กำลังหลิ่วตาล้อเลียนเขาอยู่ด้วยความปราโมทย์อันลึกล้ำในใจ

บัดนี้ ปิแอร์มิได้รู้สึกกระวนกระวายอีกต่อไป ความเป็นอิสระอย่างประหลาดเข้าครอบครองอารมณ์ของเขาไว้มีความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเช่นสัตว์ป่าตัวหนึ่งที่สามารถเที่ยวท้องไปได้โดยทั่ว ขณะนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิและเขาก็ได้เลือกคู่ครองแล้ว

ขณะที่เดินตัดสนามหญ้าตรงไปยังตัวบ้านนั้น เขาสังเกตเห็นว่าไฟในห้องนั่งเล่นยังเปิดสว่างอยู่ คงจะมีการเล่นไพ่กันตามปกติ เขาคิดอยู่ในใจ เดินตรงไปยังหน้าต่างฝรั่งเศสบานหนึ่งและลอบมองเข้าไปข้างใน เห็นมีโต๊ะตัวหนึ่งถูกลากมาวางเบื้องหน้าเตาผิง มีคุณย่าห่อตัวไว้ด้วยผ้าห่มสีสดเป็นลายทางเขียวแดงสลับกัน สวมหมวกที่มีริบบิ้นผู้ติดอยู่รุงรัง

เห็นได้ชัดว่าคุณย่ากำลังเป็นฝ่ายชนะ ทั้งนี้เพราะนอกจากรอยยิ้มกว้างจนเห็นไรฟันแล้วก็ยังเสียงหัวเราะดังลั่นทำให้คนซึ่งกำลังนั่งเล่นบริดจ์กันอยู่ต้องหันมามองด้วยความรู้สึกรำคาญ

ตรงโต๊ะบริดจ์นั้น ผู้ที่นั่งอยู่ได้แก่เรนนี่ เม๊ก นิโคลาส และมิสเตอร์เฟนเนลนั่นเอง สีหน้าของแต่ละคนก็บอกถึงความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป นิโคลาสดูเย้ยหยันและเต็มไปด้วยความระแวดระวัง จับสังเกตไปหมดในทุกสิ่งทุกอย่าง เรนนี่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดและคล้ายจะมีความพิศวงอยู่ในใจ เม๊กสีหน้าอ่อนหวานเต็มไปด้วยความพอใจ ส่วนมิสเตอร์เฟนเนลก็นั่งดึงหนวดใช้ความคิดอยู่

ขณะที่แอบร่างเข้าทางประตูด้านข้างนั้นปิแอร์อดคิดไม่ได้ว่าญาติทุกคนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นบุคคลที่น่าสงสาร น่าเห็นใจทั้งนั้น หาความสำราญด้วยการเล่นเกมเล็กๆ น้อยๆ เพื่อฆ่าเวลาให้ผ่านไป ในขณะที่ตัวเองนั้นกำลังเล่นเกมยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต

มีแสงไฟลอดออกมาตรงใต้ประตูห้องของอีเด็นนี่ก็เหมือนกันใช้เวลาเขียนบทกวีไร้สาระเพียงเพื่อฆ่าเวลาให้ผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ อยากรู้นักว่าอีเด็นจะเคยรู้จักความรักบ้างหรือไม่? ถ้าเคยมีก็หมายความว่าเขาจะต้องเก็บงำเรื่องนี้ไว้เป็นความลับเฉพาะตนอย่างดีเยี่ยมสงสัยจะหลงรักความเพ้อฝันของตนเองเสียละมากกว่าน่าสงสารเหลือเกินที่คนเราจะหลงรักอยู่แต่กับความเพ้อฝันอันเลื่อนลอย ถ้าเช่นนั้นบทกลอนที่อีเด็นเขียนขึ้นก็น่าจะเป็นเรื่องของความเจ็บปวดรวดร้าวในจิตใจเท่านั้นปิแอร์เคาะประตูห้องนั้นแรงๆ

“ข้างในนั้นต้องการความช่วยเหลืออะไรบ้างไหม?” เขาถามล้อๆ

“ไปให้พ้นนะ” เสียงอีเด็นตะโกนออกมา

“ขืนเข้ามายุ่งจะขว้างด้วยขวดน้ำหมึกให้หัวแตกเลย”

ปิแอร์หรือจะกลัว เขาชะโงกหน้าเข้าไปในห้องพร้อมกับร้องว่า

“เสื้อที่ผมใส่อยู่นี่มันก็ไม่ต่างกว่าผ้าขี้ริ้วแล้วละโยนขวดหมึกมาได้เลย”

อีเด็นเอาที่ซับน้ำหมึกวางทับกระดาษที่กำลังเขียนโคลงบทใหม่ทันที พร้อมกับเอื้อมมือไปคว้าขวดหมึกขณะที่ปิแอร์ทำท่าเหมือนจะเดินเข้ามาในห้อง

“สงสัยคงกำลังสนุกมากสินะ” ปิแอร์ร้องขึ้นด้วยน้ำเสียงหยันเยาะ

“ก็สนุกกว่าการที่แกจะไล่จับผู้หญิงในราวป่าตอนกลางคืนก็แล้วกัน”

“นี่...พูดจาระวังปากหน่อย” ปิแอร์ขู่เข็ญขึ้นมาทันที อีเด็นเพียงแต่ยิ้ม ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตามเดิมพอเห็นน้องชายผละออกจากประตูไป

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel