บทที่ 11
อีเด็นไปหาเออร์เนสท์เพื่อที่จะปรึกษาหารือเรื่องอนาคตของตนเองกับเขา ในตอนบ่ายวันเดียวกันนั้นเรนนี่ก็ไปหาลุงนิโคลาสเพื่อที่จะได้ปรึกษาเกี่ยวกับความมุ่งหวังของอีเด็น
ห้องส่วนตัวของบุคคลทั้งสอง ถ้ามองจากสายตาของบุคคลภายนอกแล้วจะเห็นว่ามันมีเครื่องเรือนที่นำมาใช้แต่งห้องมากจนเกินไป บุรุษสูงอายุทั้งสองได้สะสมรวบรวมสรรพสิ่งทั้งหลายที่ตนชอบเข้าไว้ รวมทั้งสมบัติที่คิดว่าตนมีสิทธิ์ควรแก่การที่จะได้ครอบครองด้วย
ในขณะที่รสนิยมของเออร์เนสท์มุ่งไปในทางเรื่องของภาพวาดสีน้ำ ตุ๊กตาจีน เก้าอี้ที่เบาะหุ้มด้วยผ้าฝ้ายลวดลายสีสันแปลกๆ นั้น ฝาผนังห้องของนิโคลาสก็เต็มไปด้วยภาพพิมพ์เกี่ยวกับการล่าสัตว์ และรูปผู้หญิงสวยๆ เครื่องเรือนในห้องนี้ส่วนใหญ่จะเป็นเก้าอี้ที่เบาะหุ้มหนังเปียโนโบราณ ขวดเหล้า ที่ผสมเหล้า ขวดยาหลากชนิดทั้งนี้เพราะนิโคลาสพยายามสรรหายาชนิดต่างๆ มากินเพื่อรักษาโรคเก๊าท์ นอกจากนั้นก็ยังมีที่เล่นแผ่นเสียงซึ่งตั้งอยู่ข้างหน้าต่างอีกด้วย
นิพ สุนัขพันธ์ยอร์คเชียร์ แทร์เออร์กำลังขบกระดูกอยู่บนพรมอย่างเพลิดเพลินตอนที่เรนนี่เดินเข้าไปเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของเขามันก็วิ่งเข้ามาหา ขบฟันลงบนข้อเท้าของเรนนี่เบาๆ แล้วจึงวิ่งกลับไปหากระดูกอีกครั้งนิโคลาสนั่งอยู่บนเก้าอี้นวมยาว ยืดขาข้างที่เจ็บไปข้างหน้า เมื่อเห็นหลานชายเดินเข้ามาก็เงยหน้าขึ้นจากหนังสือพร้อมกับยิ้มให้
“เฮลโล เรนนี่มาคุยกับลุงหรือ? ลากเก้าอี้มานั่งสิถอดรองเท้าไว้ตรงหน้าห้องนั้นก็ได้ ห้องมันก็รกอย่างนี้แหละ แต่ถ้าลุงขืนให้เจ้าแร๊กมันขึ้นมาเก็บก็หาอะไรไม่เจออีกอยู่ดี ไอ้หหัวเข่าลุงมันก็ปวดเสียเหลือเกินแล้ว มันทำให้เสียอารมณ์จริงๆ ”
“ผมทราบครับ” เรนนี่ตอบอย่างคล้อยตามทรุดตัวลงนั่งในเก้าอี้ตัวหนึ่ง
“หนังสือเล่มนั้นสนุกไหมครับลุงนิค ผมมันแย่มากไม่ค่อยมีเวลาอ่านหนังสือเลย”
“ลุงเองก็ไม่ใช่ว่าอยากจะอ่านสักเท่าไหร่นักหรอก แต่ในเมื่อมันถูกผูกอยู่กับเก้าอี้อย่างนี้มีเวลาเหลือเฟือก็คิดว่าควรจะต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่งอยู่ดี หนังสือเล่มนี้เม๊กกี๊เขาซื้อมาให้ตอนที่เข้าไปในเมือง นักเขียนเป็นผู้หญิงชาวอังกฤษ มันเป็นหนังสือที่แสดงความคิดอ่านแบบสมัยใหม่น่ะเรนนี่ ถ้าทุกสิ่งในนี้เป็นความจริงแล้วละก็มันจะเป็นเรื่องน่าแปลกใจมากทีเดียวว่าผู้หญิงดีๆ สมัยนี้เขาจะคิดหรือทำอะไรกันบ้าง แต่พฤติกรรมของนางเอกในเรื่อง มันก็น่าแปลงใจแล้ว...ซิการ์สักตัวไหมล่ะ?”
เรนนี่เดินไปหยิบซิการ์จากกล่องที่วางอยู่บนเปียโน เจ้านิพซึ่งคิดว่าเรนนี่จะไปแย่งกระดูกของมัน ผวาวิ่งเข้ามางับข้อเท้าเข้าให้ทีหนึ่ง และวิ่งกลับไปยืนขู่อยู่
“ไอ้โหด” เรนนี่ร้องออกมา
“ดูสิครับลุง มันงับข้อเท้าผมจริงๆ ด้วยคราวนี้ มันคิดว่าผมจะไปแย่งกระดูกมันหรือไงนะ?”
“นิพ...จับแมงมุม...เร็ว...จับแมงมุม”
เจ้านิพวิ่งเข้ามาหานายของมันทันที ร่างที่มีขนรุงรังพัวพันอยู่กับขาพร้อมกับเห่าเสียงดังลั่นไปหมด และนิโคลาสก็พูดยิ้มๆ ว่า
“เวลาเจ้านิพเห่าดังๆ อย่างนี้ เออร์นีย์เขาไม่ชอบใจหรอก แต่ลุงจะต้องทนฟังเสียงแมวของเขาเวลามันร้องตอนกลางคืนเหมือนกัน” เขาตบมือเรียกสุนัขดังๆ “จับแมงมุมสินิพ...ไปเร็ว...จับแมงมุมม”
เจ้านิพเห่ากรรโชกอย่างตื่นเต้น วิ่งถลาไปรอบๆ ห้อง ไปหยุดอยู่ตามมุมและใต้เก้าอี้เพื่อหาตัวแมงมุมอย่างที่นายสั่งตะกุยตะกายฝาผนังเป็นการใหญ่ เรนนี่จึงอุ้มมันขึ้นมาปลอบโยนให้มันหยุดเห่า
“น่าเห็นใจลุงเออร์เนสท์เหมือนกันนะครับ เจ้านี่เห็นจะทำให้เขาประสาทกินแน่...หยุดนะ นิพ...แกนี่มันเหลือร้ายจริงๆ”
รอยยิ้มเยาะปรากฏขึ้นบนในหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่นของนิโคลาส
“ดีสิ...เขาจะได้ตื่นขึ้นเสียบ้าง รู้สึกว่าจะใช้เวลาอยู่กับโต๊ะทำงานมากเกินไปแล้ว วันก่อนนี้ก็มาคุยกับลุง ท่าทางปลื้มมากนี่ เห็นเขาว่าเขาจับจุดผิดพลาดในนิยายของเช็คสเปียร์ได้ตั้งสองร้อยห้าสิบแห่งก็เลยเพ้อฝันว่าจะต้องแก้บทละครของเช็คสเปียร์ให้ถูกต้องเสียใหม่ ลุงก็บอกเขาว่าไม่ได้มีความรู้มากพอที่จะเขียนอะไรพรรค์นั้นออกมาหรอก แต่เขาก็คิดว่าตัวเองมีความสามารถอยู่ดี น่าสมเพชจริงๆ รู้สึกว่าออกจะเชื่อมั่นในความคิดของตนเองมากเกินไปหน่อย”
เรนนี่เคาะเถ้าซิการ์ลงในที่เขี่ย
“ผมก็พยายามจะหวังว่าอีเด็นจะไม่ทำตามอย่างลุงเออร์นีย์เหมือนกันละครับ ผมไม่เห็นจะได้อะไรขึ้นมาเลยกับการนั่งเขียนโคลงเขียนกลอนอย่างนั้น เสียเวลาโดยใช่เหตุ บอกตรงๆ นะครับผมรู้สึกผิดหวังเกี่ยวกับเรื่องงานหนังสือที่เขาทำอยู่อย่างมากเลย มันเสียสมองเปล่าๆ ตอนนี้เขาคงคิดละมังครับว่าไอ้การเขียนหนังสือมันจะทำให้เขามีเงินมากพอที่จะเลี้ยงชีวิตได้ แต่ลุงคงไม่คิดอย่างนั้นใช่ไหมครับ ลุงนิค?”
เขาใช้วาทศิลป์หว่านล้อมเพื่อจะล้วงความลับในความคิดของนิโคลาสออกมา
“ลุงก็ไม่เชื่อหรอกนะว่าอาชีพอย่างนี้จะเลี้ยงชีวิตให้รอดได้ แต่ลุงก็ชอบโคลงที่อีเด็นเขียน ลุงว่าเขาเขียนได้เพราะทีเดียวนะ”
“แต่ถึงยังไงเขาก็ควรจะต้องเข้าใจว่าตัวเองจะต้องหางานอื่นทำไปด้วยนะครับ เพราะผมคิดว่าจะไม่ยอมส่งเสียเขาอีกต่อไปแล้ว ดูเหมือนตอนนี้เขาคิดจะยึดมันเป็นอาชีพด้วยนะครับลุง และผมเองก็เสียเงินกับเขามามากแล้ว อยากจะเรียกเงินคืนจริงๆ”
นิโคลาสดึงปลายหนวดเรียวโค้งเล่นอยู่
“ลุงคิดว่าอีเด็นควรได้เข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยนะ”
“เห็นจะไม่หรอกครับ ปิแอร์ยังไม่ได้เรียนเลยและอีเด็นก็ไม่อยากเรียนด้วย ผมก็คิดว่าเป็นการดีแล้วที่เขาควรจะอยู่บ้าน เพราะที่ไร่ก็มีงานรอให้เขาทำเยอะแยะทีเดียวครับ”
“จะให้อีเด็นน่ะเรอะออกไปทำงานไร่? เรนนี่...ลุงว่าอย่าไปคิดเรื่องนั้นเลย ปล่อยให้มันเขียนโคลงเขียนกลอนไปตามเรื่องดีกว่า แล้วก็รอดูสิว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้น”
“ผมว่ามันเป็นเรื่องของการใช้ชีวิตแบบโง่ที่สุด โคลงแบบคลาสสิคเขาก็มีให้อ่านกันเกร่อไป”
“ครั้งหนึ่งคนที่เขียนโคลงกลอนแบบนั้นเขาก็เคยเป็นเด็กหนุ่มที่ทางครอบครัวไม่เห็นด้วยกับการที่เขาจะยึดอาชีพนี้เหมือนกันนะ”
“ทำไมครับ บทกวีที่อีเด็นเขียนขึ้นน่ะมันดีจริงๆ น่ะหรือครับ?”
“มันก็ต้องดีพอที่จะทำให้สำนักพิมพ์แห่งนั้นเขาสนใจน่ะสิ สำหรับลุงน่ะ ลุงคิดว่ามันออกจะล้ำสมัยไปหน่อยแต่มันก็มีความสมบูรณ์แบบอยู่ในตัวของมัน เป็นงานเขียนที่มีความงามอย่างน่าทึ่งทีเดียว”
เรนนี่จึงมองหน้าลุงนิโคลาสอยู่อย่างระแวงว่าทุกคำพูดที่ลุงกล่าวออกมาจะเป็นการหยันเยาะในความสามารถของอีเด็นหรือเปล่า หรือว่าจะเอาม่านมาพรางตาไว้เพื่อปกป้องอีเด็น? คำพูดที่ว่าล้ำสมัย งดงาม ความสมบูรณ์แบบของลุงนั้นทำให้เรนนี่ไม่สบายใจเลย
“แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นของแน่ก็คือ ผมจะไม่ให้เงินมันใช้อีกต่อไป” เรนนี่พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
นิโคลาสขยับตัวให้นั่งอยู่ในท่าที่สบายขึ้น
“เรื่องมันเป็นยังไงล่ะ เวลานี้เงินใกล้จะหมดแล้วหรือ?”
“มันหมดไปไม่ได้หรอกครับ” เรนนี่ตอบเสียงกร้าวและนิโคลาสก็หัวเราะอยู่ในลำคอ
“อย่างนั้นแล้วแกยังจะเก็บเด็กๆ พวกนี้ไว้ที่จาลน่าแทนที่จะส่งออกไปให้ดูโลกภายนอกเพื่อที่ว่าพวกเขาจะได้ปรับสภาพของตัวเองอีกเรอะ เรนนี่ลุงว่าแกมีสัญชาตญาณของความเป็นเผด็จการอยู่ในตัวมากทีเดียวนะแกเหมาะสมที่จะเป็นพวกหัวหน้าเผ่ามากกว่า ตอนนี้ควรจะไว้เครายาวๆ ได้แล้ว”
