บทที่ 10
เมื่อเดินเข้าไปในห้องส่วนตัว เขาก็ทั้งแปลกใจและยินดียิ่งนักที่ได้พบว่าอีเด็นหลานชายมารออยู่ โดยปกติแล้วพวกหลานหนุ่มๆ ไม่ใคร่จะแวะมาเยี่ยมเยียนเขาถึงห้องเท่าไรนัก ดูเหมือนพวกหลานๆ จะชอบนิโคลาสมากกว่า เพราะลุงคนโตมีเรื่องขบขันเล่าให้ฟังเสมอดังนั้นในทุกครั้งที่มีหลานแวะมาหาเออร์เนสท์จะดีใจมากและพร้อมที่จะพักการศึกษางานของเช็คสเปียร์ไว้ก่อนด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง
อีเด็นกำลังนั่งอยู่บนขอบโต๊ะทำงาน แกว่งขาเล่นอย่างสบายอารมณ์ เมื่อเห็นลุงเดินเข้ามาโดยไม่รู้ตัวสีหน้าของเขาก็บอกความขัดเขินอยู่
“ผมหวังว่าคงไม่ได้มารบกวนลุงหรอกนะครับ” เขาเอ่ยขึ้น
“ถ้าลุงคิดว่าเป็นการรบกวนผมจะออกไปก่อนก็ได้”
เออร์เนสท์ทรุดตัวลงนั่งในเก้าอี้ที่ไกลจากโต๊ะทำงาน เหมือนจะแสดงให้หลานชายเห็นว่าเวลานี้เขายังไม่ต้องการทำงานหรืออ่านหนังสือแต่อย่างใด
“ลุงกลับดีใจเสียอีกที่แกมาหาลุง แกก็รู้นะอีเด็นว่าลุงดีใจกับความสำเร็จเรื่องการเขียนหนังสือเล่มนั้นของแกอย่างมาก และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็เพราะว่าแกเคยนั่งอ่านบทกวีดีๆ อย่างนั้นให้ลุงฟังในห้องนี้มีแล้ว ลุงสนใจงานของแกมากทีเดียวนะ”
“ลุงเป็นคนเดียวจริงๆ นะครับที่เข้าใจการทำงานและความรู้สึกของผม” อีเด็นตอบ
“เข้าใจถึงความสำคัญว่าการที่หนังสือเล่มนี้ของผมได้รับการจัดพิมพ์ขึ้นนั้นมันมีความหมายสำหรับชีวิตผมมากแค่ไหน มันก็จริงอยู่หรอกครับที่ลุงนิคเองก็เคยชมบทกวีที่ผมเขียนขึ้น...”
“อ๋อ...” เออร์เนสท์ขัดขึ้นก่อนที่หลานชายจะพูดจบ อาจจะเป็นเพราะความอิจฉาลึกๆ ในใจกระมัง
“นี่แกก็อ่านบทกวีให้นิโคลาสฟังในห้องของเขาเหมือนกันอย่างนั้นรึ?”
“ก็...สองสามบทเท่านั้นละครับ เฉพาะบทที่ผมคิดว่าลุงนิคจะสนใจ ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความรัก ที่ทำเช่นนั้นก็เพราะผมอยากจะรู้ว่ามันจะสร้างความรู้สึกยังไงให้เกิดขึ้นกับเขาบ้าง อีกประการหนึ่งลุงนิคก็เป็นคนที่เคยผ่านโลกมามากเป็นคนที่มีประสบการณ์ในชีวิตอย่างมากมาแล้ว”
“แล้วเขารู้สึกยังไงบ้างล่ะ?” เออร์เนสท์ย้อนถาม
“ผมคิดว่าลุงนิคก็ชอบนะครับ เพียงแต่ว่าก็คงเหมือนลุงนั่นแหละครับ คือปรับใจให้ยอมรับกับรูปแบบของโคลงสมัยใหม่ได้ยากสักหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นลุงนิคก็คิดว่าผมมีความสามารถในการใช้ถ้อยคำอะไรทำนองนั่นแหละครับ”
“ลุงอยากเห็นแกได้เล่าเรียนที่อ๊อกซฟอร์ดจริงๆ”
“ผมก็อยากไปเรียนต่อที่นั่นครับ และก็คงจะได้ไปแน่ๆ ถ้าเรนนี่จะยอมรับฟังในเหตุผลของผมบ้าง แต่ขณะนี้เขากำลังมีความรู้สึกว่าการศึกษาเล่าเรียนที่เขาให้กับผมนั้นมันเป็นเรื่องของการสูญเปล่า เพราะผมปฏิเสธไม่ยอมเรียนกฎหมายอย่างที่เขาตั้งความหวังไว้ แต่ผมไม่มีหัวทางนั้นเลยนี่ครับลุง ที่จริงผมรักเรนนี่มากนะครับแต่ผมก็ไม่อยากเห็นเขามุ่งแต่ในสิ่งที่มันเป็นสาระมากจนเกินไป โดยเฉพาะเรื่องเงินๆ ทองๆ นั่น สิ่งแรกที่เขาถามเกี่ยวกับงานหนังสือของผมก็คือผมจะใช้มันเป็นเครื่องทำมาหาเลี้ยงชีพได้หรือเปล่า ราวกับว่าใครก็ตามที่ทำหนังสือเล่มแรกออกมาจะต้องประสบความสำเร็จไปเสียหมดอย่างนั้นล่ะ”
“โดยเฉพาะหนังสือบทกลอนเสียด้วยนะ” เออร์เนสท์ตอบอย่างใช้ความคิด
“ดูเหมือนเขาจะไม่ได้คิดเลยนะครับว่าผมเป็นคนแรกในครอบครัวที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลของเราเป็นที่รู้จักแก่ชาวโลก...”
เมื่อเห็นแววตาที่บอกถึงความน้อยใจของลุงอยู่ อีเด็นก็รีบกล่าวต่อว่า
“อย่างลุงก็เหมือนกันนะครับ ลุงพยายามศึกษาค้นคว้างานของเช็คสเปียร์อย่างนี้ ผมคิดว่าถึงงานวิจารณ์ของลุงได้รับการจัดพิมพ์ออกมาแล้วละก็มันจะต้องเป็นหนังสือที่น่าสนใจมากทีเดียว”
อีเด็นถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่จะกล่าวต่อว่า
“แต่เรนนี่เขาคงไม่ภาคภูมิใจในความสำเร็จของเราคนใดคนหนึ่งไปด้วยหรอกครับ ผมคิดว่าเขาอาจรู้สึกอับอายขายหน้าเสียด้วยซ้ำ ทั้งนี้เพราะเขาคิดว่าขึ้นชื่อว่าเป็นไว้ท์โอ๊คแล้วจะต้องเป็นเจ้าของไร่ปศุสัตว์ หรือไม่ก็ต้องเป็นทหาร ผมว่าเขาขีดวงให้กับชีวิตของตัวเองไว้อย่างจำกัดมากเกินไป”
“เขาเคยเป็นทหาร เคยผ่านชีวิตสงครามมาแล้วนี่” เออร์เนสท์กล่าว
“ซึ่งนั่นมันก็เป็นประสบการณ์ในชีวิตที่เขาเคยผ่านพบมาอย่างนั้น”
“แล้วเขาได้ความภาคภูมิใจอะไรกลับมาบ้างล่ะครับ?” อีเด็นถามเสียงเครียด
“พอกลับมาถึง คำถามแรกที่เขาตั้งขึ้นก็คือเรื่องราคาของลูกวัวกับราคาฟาง และตอนบ่ายวันแรกที่มาถึงก็ออกไปดูแม่หมูตกลูกเสียแล้ว”
“นั่นสินะ ที่แกพูดมาทั้งหมดนี่ลุงเข้าใจแล้วก็เห็นใจแกอย่างมากทีเดียวหลานรัก เม๊กกี้ก็เหมือนกันนะเขามีความเห็นว่าแกเป็นคนที่มีความเป็นอัจฉริยะอยู่ในตัวทีเดียวละ”
“โอ...เม๊กกี๊เป็นพี่สาวที่ดีที่สุดในโลกเลยละครับลุง ผมอยากให้พี่น้องของเราดีเหมือนเม๊กกี๊ทุกคนจริงๆ ปิแอร์น่ะแย่ที่สุดเลย”
“อย่าไปโกรธปิแอร์เลย เจ้านั่นมันไม่สนใจเรื่องหนังสือหนังหาหรอก อีกประการหนึ่งมันก็ยังเป็นเด็กอยู่มาก เอาละ อีเด็นแกลองเล่าให้ลุงฟังหน่อยสิว่าแกจะทำยังไงต่อไป? แกจะยึดการเขียนหนังสือเป็นอาชีพตลอดไปอย่างนั้นรึ? อาจจะเป็นเพราะความรู้สึกเห็นใจในความเพียรพยายามของหลานชายต่องานที่เขารักอย่างมากทำให้เออร์เนสท์อยากจะเข้าไปโอบกอดและปลอบใจหลาน เพื่อให้อีเด็นมีความมั่นใจในตนเองมากขึ้น”
“ครับ ก็คงจะเป็นอย่างนั้น ผมคิดว่าผมคงจะต้องเขียนหนังสือต่อไปเรื่อยๆ ฤดูร้อนปีนี้ผมอาจจะเดินทางขึ้นไปทางเหนือก็ได้ครับ ผมอยากเขียนบทกวีเกี่ยวกับทัศนียภาพของแผ่นดินทางตอนเหนือบ้าง ไม่ใช่ในเรื่องที่เกี่ยวกับความสวยสดงดงามต่างๆ แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนที่สุดก็คือผมคงจะไม่เอาเรื่องกฎหมายกับงานกวีของผมมาปะปนกันแน่ เพราะมันจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย แล้วคอยดูไปก็แล้วกันครับลุงเออร์นี่ว่าผมจะทำอะไรได้บ้าง”
ภายหลังจากนั้นทั้งลุงและหลานก็สนทนาเกี่ยวกับเรื่องงานกวีที่ตนรักอย่างมีชีวิตจิตใจ เออร์เนสนั้นให้ทรรศนะอย่างผู้ที่มีความรู้แม่ว่าเขาจะอายุถึงเจ็ดสิบปีแล้วและไม่เคยทำมาหาได้จากปลายปากกาแม้แต่เซ็นต์เดียวเลยก็ตาม
แต่ขณะเดียวกันอีเด็นก็อดครุ่นคิดอยู่ในใจไม่ได้ว่าเมื่ออายุมากขนาดนี้แล้วลุงเออร์นี่จะไปอยู่ที่ไหนได้ ถ้ามิได้อยู่ใต้ร่มไม้ชายคาของเรนนี่ บางทีคุณย่าอาจจะช่วยเหลือทางด้านการเงินอยู่บ้างกระมัง แต่การที่จะขอเงินจากคุณย่านั้นมันยากยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก
เมื่ออีเด็นออกจากห้องไปแล้ว ออร์เนสท์ก็ยังนั่งอยู่ในเก้าอี้ตัวเดิมข้างหน้าต่างนั่นเอง ทอดสายตามองออกไปยังท้องทุ่งเขียวขจี และใช้ความคิดเกี่ยวกับทรัพย์สมบัติของมารดา ซึ่งมันออกจะเป็นความคิดที่รบกวนจิตใจเขาอยู่อย่างมาก
อันที่จริงมารดาของเขาก็ใช่ว่าจะมีทรัพย์มากมายจนล้นฟ้าอะไร เพียงแต่ว่าพอที่จะเลี้ยงกันไปอย่างสุขสบายพอตัว ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่ามารดาของเขาจะยกให้กับใครเท่านั้น เพราะแม้ว่าเขาจะมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับมารดาอยู่มาก แต่นางก็ไม่เคยเปิดเผยว่าจะยกทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ให้กับใครทั้งนี้เพราะมิสซิสไว้ท์โอ๊ครู้ดีว่าตราบใดที่ทรัพย์สมบัติยังอยู่ในมือตราบนั้นนางย่อมจะยังมีอำนาจในนี้อยู่ และความรู้สึกนั้นทำให้นางมีกำลังใจอย่างแรงกล้าที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
เออร์เนสท์รักครอบครัวของเขาอย่างมาก เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่คิดว่าตนเองจะรู้สึกเสียใจอะไร ถ้าใครสักคนหนึ่งในครอบครัวจะเป็นผู้ครอบครองทรัพย์สินมรดกนั้น แม้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาจะเคยฝันว่าตนเองจะได้เป็นทายาทของตระกูลนี้ เป็นผู้มีอำนาจในเคหาสน์แห่งจาลน่า ได้ลิ้มรสความมีอิสระที่จะไม่ต้องพึ่งพาผู้ใดอีกต่อไปก็ตาม
ถ้าเมื่อใดเขาได้รับตำแหน่งทายาท เมื่อนั้นเขาจะอำนวยความสุขให้กับทุกคนที่อยู่ภายใต้การปกครองของเขา นับตั้งแต่นิโคลาสพี่ชายไปจนถึงเวคฟิลด์ หลานชายตัวน้อยคนนั้นและด้วยอำนาจนั้นอีกเช่นกันที่เขาจะช่วยสร้างหนทางในการครองชีวิตที่ดีที่สุดให้กับทุกคน แต่ขณะเดียวกันที่นิโคลาสได้เป็นทายาท มารดาของเขาก็ควรจะออกคำสั่งให้ใครสักคนเป็นผู้ถือเงินไว้แต่เพียงผู้เดียวถึงอย่างไรเออร์เนสท์ก็ไม่อยากคิดไปถึงเรื่องที่นิโคลาสจะได้เป็นทายาทครอบครองเคหาสน์จาลน่าและที่ดินจำนวนมากมายนั้นเลย เพราะพี่ชายของเขาคงจะคิดทำลายมากกว่าสร้างสรรค์
นิโคลาสเคยพูดเล่นอยู่เสมอว่าถ้าเขาได้ครอบครองทรัพย์สมบัติของมารดาแล้ว เขาจะทำอะไรกับมันบ้างดูเหมือนเขาจะถือสิทธิ์ในความเป็นลูกชายคนโตว่าเขาควรจะได้รับตำแหน่งทายาทดังกล่าว มันเป็นคำพูดที่เออร์เนสท์ไม่กล้าจะเล่าให้มารดาฟัง แต่มันก็ทำให้เขาบังเกิดความแน่ใจขึ้นมาว่าถ้าลงเป็นเช่นนั้นจริงแล้วครอบครัวก็จะต้องประสบความวิบัติอย่างไม่ต้องสงสัย
สำหรับเรนนี่นั้นที่จริงแล้วหลานชายคนนี้จัดว่าเป็นคนดีคนหนึ่ง แต่ทุกวันนี้สภาพความเป็นอยู่ดูจะตกต่ำลงมาก ความเสียหายนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่เรนนี่ไปเป็นทหาร และเมื่อเขากลับมาเรนนี่ก็ไม่คิดที่จะทำให้สภาพความเป็นอยู่ดีขึ้นและนี่ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่จะต้องเป็นคู่แข่งของเขา แต่มันก็ขึ้นอยู่กับมารดาของเขาจะเลือกใครขึ้นมาเป็นทายาทเท่านั้น
เออร์เนสท์ถอนหายใจออกมาแรงๆ เหลือบมองไปทางเตียงนอน มีความคิดว่าเขาควรจะได้หลับสักงีบภายหลังจากที่รับประทานอาหารจนหนักท้องมาแล้ว เขาหันไปมองความงามของท้องทุ่งอีกครั้งก่อนที่จะเดินออกไปทอดกายลงบนเตียงอันอ่อนนุ่ม โดยมีซาช่าตามติดไปด้วยและขดตัวซุกหน้าลงข้างหมอน อุ้งมือนิ่มๆ ของมันวางอยู่บนซีกแก้มของผู้เป็นนาย และคล้ายกับมันต้องการจะให้นายรู้ถึงความรักที่มันมีต่อเขา จึงใช้ปลายเล็บแหลมๆ ข่วนให้เบาๆ
“ซาซ่า...ข้าเจ็บแล้วนะ” เออร์เนสร้องบอกมัน
มันชักมือออก ตบหน้าเขาเบาๆ พร้อมกับทำเสียงขู่อยู่ในลำคอ
“ไอ้น่ารัก” เออร์เนสท์หลับตาอย่างมีความสุข “ไอ้นุ่มนิ่ม”
เจ้าซาช่าเองก็ง่วงอยู่ไม่น้อย ดังนั้นทั้งคนและแมวจึงหลับไปด้วยกัน
