บท
ตั้งค่า

บทที่ 9

เวคฟิลด์ทุ่มร่างลงนอนแผ่อยู่บนพรมหญ้าเขียวขจี ดวงตาจับจ้องอยู่กับแผ่นฟ้าสีครามซึ่งดูเหมือนจะบอกความเป็นมิตรต่อเขายิ่งกว่าวันใดๆ รู้สึกอิ่มเอมเปรมใจอย่างบอกไม่ถูก ขณะนี้ยามบ่ายกำลังรออยู่ต่อหน้าแล้วและเขาก็ไม่มีอะไรจะต้องทำนอกจากหาความสุขให้กับตนเอง ในกระเป๋าข้างหนึ่งนั้นเต็มไปด้วยลูกหิน ส่วนอีกข้างหนึ่งก็มีเงินอีกถึงสามสิบแปดเซ็นต์ ชีวิตนี้ช่างเต็มไปด้วยความร่ำรวยเสียนี่กระไร

ขณะนี้มีกลิ่นหอมๆ ลอยขึ้นมาเตะจมูก กลิ่นนั้นลอยมาจากหน้าต่างห้องครัวซึ่งอยู่ในชั้นใต้ดิน ใกล้กับที่เขานอนเขลงอยู่ เด็กชายกลิ้งร่างนอนคว่ำ ทำจมูกฟุดฟิด ไม่ผิดหรอกนั่นคือกลิ่นชีสเค้ก...อา...ชีสเค้กที่อ่อนนุ่ม หอมอร่อยอย่างไม่อาจจะหาอะไรมาเปรียบได้ เด็กชายจึงคลานไปตรงหน้าต่างนั้นและก้มลงมองเข้าไปในห้องครัว แร๊กกำลังล้างจานไปพลางเคี้ยวหมากฝรั่งไปพลาง ใบหน้าของภรรยาเขาแดงก่ำด้วยความร้อน และเมื่อนางแหงนหน้าขึ้นก็สบตาเข้ากับเวคฟิลด์พอดี

“ชีสเค้กสักอันไหมคะ?” นางถามและส่งขึ้นมาให้เด็กชายชิ้นหนึ่ง

“โอ...ขอบใจมากเลยฮะ เอ้อ...ผมขอไปให้เพื่อนสักอันได้ไหมฮะ?”

“ไม่เห็นคุณหนูจะมีเพื่อนที่ไหนเลย” เสียงแร๊กท้วงขึ้น ปากก็เคี้ยวหมากฝรั่งอยู่หยับๆ

เวคฟิลด์ไม่สนใจจะโต้ตอบคำพูดประโยคนั้นของพ่อบ้าน เขาเพียงแค่ยื่นมือเล็กๆ ออกมาไปรอรับเค้กชิ้นหนึ่งมิสซิสวแร๊กก์จึงใส่ให้บนมือ

“ระวังนะ มันร้อน เดี๋ยวมือพอง”

เวคฟิลด์วิ่งกลับมาทอดกายนอนบนสนาหญ้าอีกครั้ง พอกินเค้กชิ้นแรกหมดเด็กชายก็บอกกับตัวเองว่าเขาไม่สามารถจะกินอันที่สองได้อีกแล้ว ถ้าฟิ้นช์อยู่ที่นี่เขาอาจจะยกเค้กชิ้นนี้ให้และฟิ้นช์ก็คงจะไม่ซักถามอะไรต่อมิอะไรที่ยากแก่การตอบอีก

แต่ขณะนี้ฟิ้นช์ยังยังอยู่ที่โรงเรียน เวคฟิลด์จึงต้องถามตัวเองอีกว่าเขาจะทำลายบรรยากาศอันรื่นรมย์ในยามบ่ายนี้ด้วยการฝืนใจกินเค้กชิ้นที่เหลือเข้าไปละหรือ

เอ...สุนัขมันทำยังไงนะเวลาที่มันไม่อยากแทะกระดูกในตอนนั้น...มันใช้วิธีฝังน่ะสิ

เวคฟิลด์เดินไปเดินมาอยู่รอบๆ มองหาที่ซึ่งดีที่สุดเพื่อจะฝังเค้กชิ้นนั้นไว้ ในที่สุดก็ได้ที่เหมาะใจ เด็กชายจึงค่อยๆ ขุดดินขึ้นมาและฝังเค้กชิ้นนั้นลง แล้วก็กลบจนเรียบร้อยจนอยากจะเรียกเม๊กออกมาดู แต่...อย่าดีกว่าเขาตบดินที่กลบเค้กไว้จนเรียบ บางทีสักวันหนึ่งอาจจะขุดมันขึ้นมาใหม่ก็ได้

ขณะนี้เออร์เนสท์ ไว้ท์โอ๊คอายุเจ็ดสิบปีแล้วเขาได้ขึ้นมาถึงวัยที่เมื่อรับประทานอาหารจนอิ่มเต็มที่แล้วทั้งร่างกายและจิตใจก็ใคร่ที่จะได้รับการพักผ่อน แต่ภาพที่มารดาได้แสดงออกเมื่อครู่นี้ทำให้เขามีความรู้สึกว่ามันทำให้อาหารย่อยยากขึ้น แววตาของเขาบอกความโมโหแม้ว่าท่าทางที่ประคับประคองมิสซิสไว้ท์โอ๊คกลับไปยังเก้าอี้ตัวโปรดของนางนั้นจะอ่อนโยนเช่นทุกครั้งที่เป็นมาก็ตาม

เมื่อประคองมารดาให้นั่งลงเรียบร้อยแล้วเขาก็ยืนมองหน้ามารดาอยู่อย่างทั้งรักทั้งหมั่นไส้ แม้ว่านางจะแสดงท่าทางที่ไม่น่าพอใจออกมาให้เห็นอยู่ตลอดเวลา แต่เขาก็รักนางเหนือสิ่งอื่นใดในโลก

“นั่งสบายหรือยังล่ะครับ แมมม่า?” เขาถาม

“สบายแล้ว ไปเอาเป็ปเปอร์มิ้นท์มาให้แม่หน่อยสิ เอาสก๊อทช์มิ้นท์นะ ไม่ใช่ฮัมบูก”

เขาจึงเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง ล้วงมือลงไปในกล่องหยิบลูกอมออกมาเม็ดหนึ่ง และเอามาส่งให้มารดา

“เอาใส่ปากให้แม่เลยสิ”

มิสซิสไว้ท์โอ๊คอ้าปากออก แลบลิ้นออกมายาวเหมือนแม่นกแก่ๆ ที่กำลังหิวโหย เขาหย่อนลูกอมเป๊ปเปอร์มิ้นท์ลงในปากของมารดา รีบชักนิ้วออกมาอย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวว่านางจะกัดเอามิสซิสไว้ท์โอ๊คดูดน้ำหวานจากลูกอมด้วยเสียงอันดัง จ้องมองดูแสงไฟในเตาผิงอย่างเพลิดเพลิน เหนือพนักเก้าอี้ที่นางนั่งมีนกแก้วสีสวยตัวหนึ่งชื่อโบนีย์เกาะอยู่มันจิกริบบิ้นคาดหมวกเล่นอย่างเพลิดเพลิน

มิสซิสไว้ท์โอ๊คเคยเอานกแก้วตัวหนึ่งมาจากอินเดียชื่อโบนีย์ ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความรู้สึกดูหมิ่นเหยียดหยามที่นางมีต่อนโปเลียน โบนาปาร์ต และนับตั้งแต่ตัวแรกได้ตายลงนางก็เลี้ยงต่อมาอีกหลายตัว ทุกตัวต่างได้ชื่อว่าโบนีย์ทั้งสิ้น วัยที่ล่วงไปทำให้นางไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างของนกแต่ละตัวได้ นางก็จะเล่าให้ผู้ที่มาเยี่ยมเยียนฟังถึงครั้งหนึ่งที่นางเคยเลี้ยงนกแก้วไว้เมื่อเจ็ดสิบห้าปีก่อน ซึ่งดูเหมือนมันจะสร้างความยุ่งยากให้กับนางพอๆ กับออกุสต้าลูกสาวคนแรกทีเดียว ทั้งคุณย่าและลูกชายทั้งสองต่างก็มีสัตว์ของตน

สัตว์เลี้ยงเหล่านั้นดูเหมือนจะมิได้มีความรักสำหรับใครเลยนอกจากเจ้าของมันเท่านั้น และแต่ละคนก็จะเก็บสัตว์เลี้ยงไว้ในห้องพักของตนจะออกจากห้องก็ต่อเมื่อถึงเวลารับประทานอาหาร หรือเมื่อมีธุระจะต้องไปปรึกษาหารือ หรือสนทนากันเท่านั้น

ห้องของคุณย่าไว้ท์โอ๊คพื้นปูไว้ด้วยพรมหนา ม่านหน้าต่างก็มีความหนาหนักไม่แพ้กัน ในห้องอบอวลด้วยกลิ่นไม้จันทน์ การบูร และน้ำมันใส่ผม จะเปิดหน้าต่างเพียงอาทิตย์ละครั้งเท่านั้น เมื่อมิสซิสวแร๊กก์ ‘ระบายอากาศ’ ซึ่งเมื่อถึงวันนั้นเมื่อไรคุณย่าก็จะอารมณ์ไม่ดีไปทั้งวัน

เตียงนอนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง หัวเตียงแกะสลักเป็นรูปผลไม้ นกแก้วกับลิงอีกสองตัว ซึ่งโบนีย์จะเกาะนอนอยู่บนนี้ทั้งคืน จนเมื่อถึงตอนกลางวันนั่นแหละจึงจะบินลงมาจิกโน่นจิกนี่ตามเนื้อตัวเจ้านายของมัน ที่น่าแปลกไปกว่านั้นก็คือ มันสามารถจะด่าออกมาเป็นภาษาฮินดูได้โดยมิสซิสไว้ท์โอ๊คนั่นเองที่เป็นผู้สอนมัน

ขณะนี้มันกำลังจ้องซาช่าตาเป็นมัน ขณะที่แมวของเออร์เนสท์ก็กำลังยืดร่างอยู่บนสองขาหลัง พยายามจะกระชากหางเจ้าโบนีย์ลงมาด้วยอุ้งมือของมัน

“คุทนี่...คุทนี่...คุทนี่” เจ้านกแก้วร้องออกมา

“ปาจิ...ปาจิ...ไซตัน กา แคหล่า” เสียงแหลมๆ ของมันกรีดร้องก้องไปทั้งห้อง

“จับแมวแกขึ้นเสียสิ เออร์เนสท์” ผู้เป็นมารดาออกคำสั่ง

“เห็นหรือเปล่ามันทำให้เจ้าใบนีย์สบถออกมาอีกแล้ว...โถ...โบนีย์...เจ้าโบนีย์แสนสวย...จิกตามันเลยสี โบนีย์...เอาเลย” เออร์เนสท์รีบอุ้มซาช่าขึ้นใส่บ่า

“รู้สึกสบายไหมครับ แมมม่า?” เออร์เนสท์จัดริบบิ้นบนหมวกให้อย่างเอาใจ

“เออ...ว่าแต่เมื่อไหร่ผู้ชายคนนั้นเขาจะมาล่ะ?”

“ผู้ชายคนไหนล่ะครับ แมมม่า?”

“ก็คนที่เขาจะออกหนังสือให้อีเด็นน่ะสิ เขาจะมาเมื่อไหร่? แม่อยากใส่หมวกใบขาวที่มีริบบิ้นอันใหญ่ๆ นั่นเต็มทีแล้ว”

“ไว้ให้เขามาก่อนแล้วผมจะบอกนะครับ แมมม่า”

“อืม...เติมฟืนหน่อยสิ เอาฟืนใส่เข้าไปในเตาผิงอีกหน่อยเถอะ แม่ก็อยากได้รับความอบอุ่นเหมือนคนอื่นๆ นะ”

เออร์เนสท์หยิบท่อนไม้โอ๊คใส่เข้าไปในเตาผิงและยืนรอดูอยู่จนเมื่อเปลวไฟเริ่มแลบเลียขึ้นแล้ว จึงได้หันไปมองมารดาซึ่งก็ปรากฏว่านางได้หลับไปแล้ว คางซุกอยู่ในทรวงอก ลูกกวาดรสเป๊ปเปอร์มิ้นท์หลุดร่วงลงมาจากปากและโบนีย์ได้คาบไปตรงมุมห้อง พยายามจะขบให้แตก มันอาจจะคิดว่าเป็นลูกนัทก็ได้ เออร์เนสท์อดยิ้มไม่ได้เขาเดินออกจากห้องด้วยฝีเท้าแผ่วเบาพร้อมกับปิดประตูลง

จากนั้นเขาก็เดินขึ้นบันไดช้าๆ โดยมีซาช่าเกาะติดอยู่บนไหล่ตรงไปยังห้องส่วนตัว ขณะที่เดินผ่านไปตามห้องโถงกลางของชั้นบนนั้นเขาเห็นประตูห้องส่วนตัวของพี่ชายเปิดกว้างอยู่ เมื่อมองเข้าไปภายในก็เห็นพี่ชายทอดร่างอยู่บนเก้าอี้นวมยาวแบบโบราณ เรือนผมสีเทาเงินยุ่งเหยิงอย่างจากความเอาใจใส่

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel