ตอนที่ 9
ร่างบางก้าวยาวหวังติดตามคนร่างสูงให้ทัน องค์นาคาหนุ่มเร้นกายอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นเจ้าหนุ่มนั่นร้องโอดโอย ก็แค่อยากจะให้ตื่นตัวตั้งใจเรียนให้มากกว่านี้เท่านั้น ไม่ใช่เอาแต่จ้องอาจารย์สาวและไม่ได้คิดว่าจะทำให้แสบร้อนปานนั้น
“อืม..แค่ดีดนิ้วนิดหน่อย ไหงเจ้าหนุ่มนั้นมันถึงร้อนผ่าวขนาดนั้นหนอ”
องค์เคสินาคาเผลอมองฝ่าพระหัตถ์องค์เองที่มีไอร้อนครุกรุ่นอยู่ รอยแย้มสรวลปรากฏบนพระพักตร์คมเข้ม พระเศียรส่ายไปมาอย่างทรงระอาพระองค์เอง
“ควบคุมตัวเองไม่ได้อยู่ดี ใกล้น้องทีไร พี่เป็นเยี่ยงนี้ทุกที เจ้าทับทิมน้อย เจ้าจักรู้บ้างไหมหนอ”
สองเท้าแข็งแกร่งก้าวยาวเลี้ยวเข้าสู่เชิงบันไดขึ้นตึกภาควิชาโบราณคดี รอยแย้มยิ้มยังปะปรายบนใบหน้า เรียกสายตานักศึกษาสาวแถวนั้นให้มองกันตรึม เสียงวี้ดว้ายของเหล่านักศึกษาใหม่ชี้ชวนให้มองดูชายหนุ่มที่เพิ่งก้าวขึ้นบันไดโดยไม่รู้ว่าชายหนุ่มนี้เป็นใครกัน แต่ความหล่อเหลา สูงใหญ่ สมาร์ท เรียกเสียงฮือฮาจากนักศึกษาสาวให้มองตามกันตาละห้อย
“นี่! นายน่ะ...หยุดก่อน นาย! หยุดก่อน...รอด้วย”
ร่างบางก้าวเร็วจนเกือบเป็นวิ่งเพื่อให้ตามทันชายหนุ่ม ตัวต้นเหตุแห่งความวุ่นวายในชั้นเรียนของหล่อน การสอนจริงชั่วโมงแรกล้มอย่างไม่เป็นท่า เสียงดีดนิ้วและอาการแปลกประหลาดของนักศึกษาหนุ่มต้องมีที่มาจากนายคนนี้แน่ๆ อาจารย์สาวยืนหอบหายใจแรงอยู่ตีนบันไดทางขึ้นตึก ดวงตาวาวโรจน์แสนงอนนั้นตวัดมองร่างสูงตรงหน้าอย่างไม่พอใจ เจ้าของใบหน้าหล่อเหลานั้นยืนอยู่เบื้องหน้า ทว่าใบหน้าเรียบเฉยดวงตาคมดุไร้แววหวานแววหยอกเย้าเหมือนเช่นเคย สายตาที่มองสบออกจะกึ่งฉุนกึ่งดุเสียด้วยซ้ำ ทำเอาเจ้าคนแสนงอนที่รีบเดินมาต่อว่าอ้าปากค้างไม่กล้าเอ่ยในสิ่งที่ตนคิดออกมา
“อาจารย์พิลา...สอนเสร็จแล้วขึ้นไปรายงานตัวกับผมที่ห้องด้วย”
น้ำเสียงราบเรียบแต่ย้ำคำ..เข้มดุ กล่าวกับอาจารย์สาวที่รีบเดินจ้ำอ้าวตามมาหมายจะเอาเรื่องอย่างหมางเมิน เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มรับกับคิ้วและเส้นผมหยักศกสีเขียวเข้มเหลือบดำ แววตาดุคมสีเดียวกับคิ้วและผมนั้นออกแววเขียวปัดด้วยกรุ่นโกรธ สีหน้าเฉยชาบึ้งตึงและแววตาที่มองสบมานั้นทำเอาเจ้าทับทิมน้อยหรืออาจารย์พิลา อาจารย์สาวคนใหม่ยืนยิ้มแหยอยู่คนเดียว ร่างสูงสะบัดหน้าเดินขึ้นตึกไปอย่างไม่ใยดีส่งผลให้อาจารย์สาวต้องรีบกระหืดกระหอบตามให้ทัน เสียงหัวเราะคิกคักของนักศึกษาทั่วบริเวณทำให้แก้มนวลแดงระเรื่อทั้งอายทั้งโกรธระคนกัน
“นายนะนาย ทำเรื่องให้ฉันอีกจนได้”
น้ำเสียงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันบ่นอุบอิบอยู่คนเดียว เจ้าคนแสนงอนที่ชักจะกรุ่นโกรธเจ้าของร่างสูงขึ้นมารีบสาวเท้าตามร่างสูงให้ทัน
ร่างสูงใหญ่ยืนกอดอกพิงบานหน้าต่างที่เปิดค้างไว้เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้อย่างสะดวก โลกทัศน์ภายนอกดูเจาะแจะจอแจ สายตาดุคมทอดมองสถานที่ด้านล่างที่เป็นบริเวณสวนหย่อมนั่งพักสำหรับนักศึกษามานั่งจับกลุ่มพูดคุยหรือทำงานที่ค้างคาให้เสร็จ แม้จะรับรู้ได้ถึงผู้ที่เข้ามาใหม่แต่สายตายังคงมองดูเหล่านักศึกษาทำกิจกรรมช่วงบ่ายอยู่อย่างนั้น ไม่ใคร่สนใจกับผู้ที่รีบรุดเข้ามารายงานตัวตามทำสั่งเฉยชานั้น
ชายหนุ่มที่ยืนหันหลังให้พิงบานหน้าต่างอยู่นั้นในวันนี้ไม่เหมือนคนที่คุ้นเคย ความหมางเมิน ความเย็นชาที่แสดงออก ทำให้หัวใจน้อยๆ ของเจ้าทับทิมรู้สึกแปลกปร่ายิ่งนัก ความน้อยอกน้อยใจในท่าทีที่แสดงออกนั้นวิ่งเร้ารุมเข้าสู่หัวใจดวงน้อย เจ้าคนแสนงอนกอดกระชับหนังสือหอบใหญ่ในมือแน่น สูดลมหายใจลึกๆ เข้าปอดขับไล่ความน้อยเนื้อต่ำใจที่พาลจะวิ่งเร้าเข้าสู่หัวใจไหวๆ นั้นท่าเดียว จมูกรั้นอดจะแดงระเรื่อขึ้นมาไม่ได้ สายตาหวานหลุบต่ำสะกดกลั้นความรู้สึกของตนเอง กล้ำกลืนความสั่นไหวเข้าสู่ใจที่เริ่มจะบอบช้ำนั้น
สายตาคมดุที่ทอดมองสิ่งรอบด้านภายนอกหน้าต่างสั่นพร่าด้วยความเสียใจเช่นเดียวกัน ความสั่นไหวเจ็บปร่าที่สัมผัสได้นั้นเรียกความรู้สึกผิดมากมายได้จากร่างสูงใหญ่นี้ ฝ่ามือแข็งแกร่งวาดวงไปในอากาศรอบบริเวณ ก่อนร่างสูงใหญ่จะเข้าประชิดตัวกอดกระชับร่างบางแนบอกอุ่น ลูบไล้แผ่นหลังแผ่วเบาปลอบประโลมจิตใจที่บอบช้ำแค่เพียงคำหมางเมินนั้น ร่างบางแข็งขืนตื่นกลัวผู้อื่นมองเห็นด้วยมิใช่สถานที่ที่สมควร หญิงสาวเหลียวมองผู้คนที่เดินผ่านไปมาแต่ไม่ยักเห็นผู้ใดให้ความสนใจผู้ที่กอดกระชับกันไว้ในขณะนี้ บรรยากาศโดยรอบตัวตนคล้ายมีม่านน้ำสั่นไหวล่องลอยในอากาศรอบบริเวณเสมือนเป็นเกราะกำบังการรับรู้มองเห็นจากคนภายนอก
“ปล่อยนะ..”
“อืม...อยู่เฉยๆ เถอะน่า”
“ปล่อย...ไม่ต้องมายุ่ง ไม่ต้องมากอด ตบหัวแล้วลูบหลังเหรอ ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ”
เสียงหวานแว้ดขึ้นปะปนกันระหว่างความโกรธความอาย เมื่อร่างบางอยู่ภายใต้วงแขนแข็งแกร่งนี้
“ปล่อยนะ!”
“พี่ขอโทษ...”
นิ้วมือแข็งแกร่งเชยคางน้อยให้เงยสบสายตาคมดุซึ่งบัดนี้หวานเชื่อมไปด้วยละอองแห่งรัก แววโกรธกรุ่นกระจายอยู่เต็มใบหน้าหวาน ริมฝีปากกระจับเชิดขึ้นแสนงอน สายตาคมดุหลุบต่ำลงเผลอมองริมฝีปากนุ่มชื้นนั้นด้วยความถวิลหา คนแสนงอนรู้ตัวรีบตะครุบริมฝีปากตนเองไว้ในทันทีแววกรุ่นโกรธหายเป็นปลิดทิ้ง
