ตอนที่ 6
ร่างบางภายใต้วงแขนแข็งแกร่งหยุดดิ้นรนผลักไสด้วยรู้แล้วว่านี่มิใช่คนไกลแต่เป็นเจ้าของความหอมหวานนี้แต่เพียงผู้เดียว สองมือน้อยวางทาบบนแผ่นอกกว้างอย่างเผลอไผล แรงจุมพิตแผ่วเบาแต่ทว่าหวานลึกล้ำ สองโสตอื้ออึงมิได้ยินยลเสียงใดในหล้ารับรู้เพียงเสียงหัวใจเต้นรัวราวกลองเพลที่ดังกึกก้องอยู่ภายในร่างน้อย
องค์ราชบุตรแห่งนาคพิภพจำใจถอนจุมพิตอ้อยอิ่งด้วยมิอยากให้ถลำลึกลงไปมากกว่านี้ แรงถวิลหาแห่งรักจักนำมาซึ่งกิเลสราคะครอบงำจิตใจตน ความหยักรั้งในความคิดย่อมถูกบิดเบือนให้มืดดับลงและอาจทำให้พระองค์ทำอะไรอะไรไปมากกว่านี้
ร่างสูงใหญ่กอดกระชับร่างบางไว้แนบอกอุ่นก่อนที่จะเอนกายลงประทับเคียง พระนาสิกโด่งสันก้มลงดอมดมความหอมหวานของเรือนผมละเอียด กี่เพลาแล้วหนอที่ร้างไกล นับตั้งแต่กลับขึ้นมาจากหิมพานต์ครานั้นยังมิได้เคียงใกล้สักที เจ้าแสนซนนี้ช่างหวานนักหวานจนเกินหักห้าม แม้ระลึกได้ว่าไม่สมควรแต่ก็ไม่อาจหักใจให้คิดถึงให้ถวิลหาได้ เพียงความคิดคำนึงก็ให้พาพระวรกายแปรพระราชฐานมาที่นี่โดยบัดดล
“ความรักความห่วงหาของใจ อยู่เหนือความรู้สึกนึกคิด จริงฤา....”
เจ้าทับทิมน้อยรู้สึกเหมือนกระแสโลหิตสูบฉีดขึ้นสู่ใบหน้าและทุกส่วนของร่างกาย เหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นไปหาใช่ความฝัน แรงรักแรงคิดถึงมีมากเสียจนให้ลืมอาย หน้านวลเบียดกระชับแนบอกกว้างถวิลหาไออุ่นแม้ในยามพูดจาจะไม่ได้คะ-ขา อ่อนหวาน แต่ทั้งหมดนั้นก็เพื่อสกัดกั้นความเขินอายเมื่อพบหน้า แต่เวลานี้มิมีใคร มีแต่ใจสองดวงที่ผูกเกี่ยวกวัดกันไว้ด้วยความรักอันหอมหวาน
นับแต่องค์นาคาหนุ่มจากไปในค่ำคืนริมน้ำบางปะกงก็ไม่ได้อิงแอบแนบใจอีกเลย ใช่ว่าไม่รู้ข่าว ใช่ว่าไม่เห็นหน้า แต่ทว่าหาใช่เวลาและสถานที่ที่จักแสดงความรักต่อกันและกันได้ เมื่อนึกถึงพาลเรียกรอยชื้นขึ้นที่หางตา ดวงตาหวานกระพริบถี่ไล่หยาดน้ำตาไม่ได้รินไหล จมูกรั้นแดงระเรื่อด้วยกล้ำกลืนก้อนสะอื้น
วงแขนแข็งแกร่งกอดกระชับร่างบางให้แนบแน่นยิ่งขึ้นถ่ายทอดความอบอุ่นแห่งรักให้แก่กันและกัน ใช่ว่าไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยวเหงาของหัวใจภายใต้คนเจ้าแง่แสนงอนนี้ เพราะพระองค์เองก็รู้สึกได้ไม่แพ้กัน ณ วันนี้ เพลานี้ จึงทนไม่ได้ต้องฝืนสิ่งที่ตั้งปณิธานไว้ แค่เพียงเห็นหน้าเจ้าคนแสนงอนในนิมิตพร่าเลือนที่สร้างขึ้น เพียงรับรู้ถึงกระแสความห่วงใยของคนต้นสายก็ทำให้พระหฤทัยองค์นาคาหนุ่มร้อนรุ่ม ความต้องการของหัวใจพาพระวรกายให้ตามหากระแสธาราดับพิษร้อนแห่งรักนั้น ธารธาราชุ่มชื่นที่หลั่งรินสองดวงใจ
คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยชื่อดังของไทย
“อาจารย์เค...จะสรุปว่ายังไงครับ”
ศาสตราจารย์หัวหน้าภาควิชาโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ สวมแว่นสายตายาวกรอบจิ๋ว ร่างอ้วนกลมอยู่ในชุดซาฟารีสีน้ำตาลอ่อนสั้นประมาณเข่า ข้างเอวอ้วนพีเหน็บกระติกน้ำสำหรับเดินป่า ชุดฟอร์มเตรียมพร้อมสำหรับนักเดินป่านี้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของศาสตราจารย์พิสูจน์ ที่ได้รับฉายาจากเหล่านักศึกษาว่า
“ศจ.พิสูจน์ ผู้รู้ไปโม้ดดดดดดด รู้แม้กระทั่งมดเป็นเมนส์”
และเจ้าตัวก็ออกจะชื่นชอบฉายานี้เสียด้วย ศาสตราจารย์วัยใกล้เกษียณแต่ยังขยันมาทำงาน มาสอนทุกวัน เว้นแต่วันใดที่ต้องพานักศึกษาไปออกค่ายหรือออกสำรวจวัตถุโบราณตามสถานที่ต่างๆ ที่มีคนแจ้งเหตุพบเจอ หรือตามแต่เพื่อนฝูงจะไหว้วาน เพราะความรู้ไปหมดทุกเรื่องก็เลยทำให้ชายวัยใกล้ชรายังไม่รู้สึกว่าตนแก่เกินไปสำหรับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เสมอๆ
การออกท่องเที่ยวในโลกกว้างออกไปสัมผัสกับผู้คนรอบด้านทั้งกลุ่มคนเมือง ชนบท หรือยอดดอย ทำให้ชีวิตศาสตราจารย์ดูมีสีสันอย่างเต็มที่ ลูกเต้าที่โตและมีครอบครัวกันหมดแล้วอีกทั้งผู้เป็นภรรยาก็มาด่วนจากไปก่อนวัยอันควรทำให้ศาสตราจารย์ผู้ตกพุ่มม่ายเลิกยึดติดกับสิ่งสะดวกทั้งปวง และหันไปใช้ชีวิตใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด คำพูดติดปากที่มักจะพูดคุยโอ้อวดกับเพื่อนฝูงเสมอนั้นคือ
“เราหาใช่ไม้ใกล้ฝั่ง แต่เราเป็นไม้ที่ละลอยตามธารน้ำใกล้ๆ ฝั่ง ต่างหากเล่า” เพื่อนฝูงวัยเดียวกันก็มักจะเฮโลเออออไปกับศาสตราจารย์ชีพจรลงเท้าเห็นด้วยกับคำบัญญัติความที่เจ้าตัวตั้งให้ตนเอง
“จารย์เค...ครับ สรุปว่าจารย์จะเอายังไง”
น้ำเสียงเง้างอนของชายใกล้ชราเรียกรอยขบขันบนใบหน้าคมเข้มนั้นได้ทันที องค์นาคาหนุ่มรับรู้ได้ว่าศาสตราจารย์นี้เป็นคนดีอยู่มากซื่อสัตย์และจริงจังกับชีวิตหน้าที่การงานไม่ยึดติดกับสิ่งสบายที่พึงมี แต่กลับเอาเวลาที่เหลืออยู่อีกเสี้ยวชีวิตนี้อุทิศให้กับเหล่านักศึกษาและงานด้านวัตถุโบราณที่ตนสนใจ สิ่งที่ทำไปนั้นด้วยใจรักและไม่ต้องหวลให้คิดถึงภรรยาผู้วายชน โดยเฉพาะตัวของพระองค์เองในร่างของชายชาวมนุษย์นี้ ศาสตราจารย์ดูเหมือนจะถูกชะตาเป็นพิเศษต้องแวะเวียนมาพูดมาคุยชวนไปโน่นมานี่ สรรหาของโบราณแปลกๆ มาให้พระองค์ดูอยู่เสมอ นับว่าเป็นเพื่อนชาวมนุษย์ที่พระองค์สนิทเป็นพิเศษในช่วงห้าปีที่ผ่านมานี้
