2 คืนพายุและอ้อมแขนเขา
ตอนที่ 2
คืนพายุและอ้อมแขนเขา
เสียงฟ้าร้องคำรามกึกก้องเหนือไร่ส้ม ดังก้องราวกับเป็นคำเตือนของธรรมชาติที่กำลังจะโหมกระหน่ำ ความมืดมิดเข้าบดบังท้องฟ้าจนไม่เห็นแม้แต่เงาจันทร์ หรือแม้แต่ดวงดาวเล็กๆ สักดวงก็ยังแอบหลบซ่อนอยู่หลังม่านเมฆหนาทึบ
แล้วสายฝนก็เริ่มเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เพียงชั่วพริบตาเดียว เม็ดฝนก็กลายเป็นสายน้ำที่สาดซัดทุกสิ่ง
“คุณน้ำขิง! คุณน้ำขิงคะ!” เสียงป้าสาเคาะประตูห้องน้ำขิงรัวๆ อย่างร้อนรน เสียงฝนที่กระหน่ำลงบนหลังคาบ้านไม้ดังโครมครามจนแทบกลบเสียงเรียกของป้าสา
“มีอะไรคะป้าสา” หญิงสาวขานตอบจากด้านใน
“พายุเข้าแล้วค่ะคุณหนู! ต้นไม้โค่นหลายจุด ถนนโดนปิด ทางหลังบ้านน้ำท่วมเร็วมากเลยค่ะ คุณหนูต้องย้ายลงไปพักด้านล่างก่อนนะคะ มันอันตรายมากเลยค่ะ”
“แล้วจะให้ใครมารับล่ะคะ” น้ำขิงถามกลับด้วยความสงสัย
“คุณภูผาค่ะ”
หัวใจของหญิงสาวสะดุดวูบในอก ความรู้สึกร้อนวูบวาบประหลาดตีตื้นขึ้นมาจนเธอไม่กล้าตอบในทันที ชื่อของเขาที่หลุดจากปากป้าสา ทำให้ ความเย็นชาที่เคยสัมผัสในตอนกลางวันกลับแปรเปลี่ยนเป็นความร้อนระอุที่ซ่านไปทั่วร่างกาย
ไม่นาน เสียงฝีเท้าหนักแน่นที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นตามบันไดไม้เก่าแก่ที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด โยกเล็กน้อยเพราะแรงลมที่ปะทะเข้ามายังตัวบ้าน
ประตูไม้สักบานใหญ่เปิดออก พร้อมกับปรากฏร่างสูงของชายคนหนึ่งที่เปียกปอนไปทั้งตัวจากสายฝนที่ยังคงกระหน่ำลงมาไม่หยุด แต่กระนั้น เขาก็ยังคงยืนสงบนิ่งราวกับ หินผา ที่ไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งใด
“ตามผมมา เดี๋ยวนี้” เสียงทุ้มต่ำของเขาแทบไม่ต้องตะโกนแข่งกับเสียงลมฝน แต่กลับดังก้องสะท้านเข้าไปถึงกลางใจของหญิงสาว
น้ำขิงคว้าเสื้อคลุมขนหนูหนานุ่มมาพาดบ่าอย่างรวดเร็ว แล้วก้าวเดินตามเขาออกจากบ้านไปทันที ลมพายุที่โหมกระหน่ำแรงจนเสื้อผ้าพลิ้วไหวหวือ ปะทะเข้ากับผิวกายจนรู้สึกเย็นยะเยือก กลิ่นดินชื้นๆ กลิ่นฝนฉ่ำๆ และกลิ่นเหงื่อจางๆ ของเขาที่ผสมปนเปกันอยู่รอบตัว ชวนให้เธอรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย ทว่าลึกๆ ลงไปกลับรู้สึก ตื่นเต้นอย่างประหลาดและไร้เหตุผล
ทั้งสองวิ่งฝ่าสายฝนที่สาดซัดไม่หยุดไปยัง บ้านพักไม้ขนาดเล็กกลางไร่ ที่ถูกใช้เป็นที่พักสำหรับคนงาน มันดูทึบ แคบ และเปียกชื้นไปทุกซอกมุมจากความชื้นในอากาศ...แต่กลับให้ความรู้สึกปลอดภัยอย่างน่าประหลาด ราวกับเป็นที่หลบภัยที่ซ่อนตัวจากโลกภายนอกได้อย่างมิดชิด
ทันทีที่ประตูไม้เก่าปิดลง เสียงฝนก็ซัดกระหน่ำใส่หลังคาบ้านอย่างบ้าคลั่ง จนเสียงดังคล้ายจะทะลุเข้ามาในห้องได้ทุกเมื่อ
“นั่งตรงนี้”
ภูผาเอ่ยเสียงเรียบพลางโยนผ้าขนหนูผืนหนาให้หญิงสาว เขาไม่ได้มองเธอ แต่สายตาคมกริบของเขากวาดมองไปรอบๆ ห้องคล้ายสำรวจความเรียบร้อย แล้วจึงถอดเสื้อเชิ้ตสีเข้มที่เปียกชุ่มออกอย่างไม่รีบร้อน เผยให้เห็นกล้ามเนื้อแน่นจนแทบจะระเบิดออกมาจากผิวหนัง
น้ำขิงกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ลงคออย่างยากลำบาก...นัยน์ตาเธอนั้นไม่อาจละไปจากแผงอกเปียกน้ำที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อแข็งแกร่งได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว
กล้ามแขนแข็งแน่นเป็นมัด สะท้อนแสงไฟสลัวจากตะเกียงในห้องจนดูราวกับมีชีวิต เป็นภาพลวงตาในฝันเร่าร้อนที่ปลุกเร้าอารมณ์ดิบในกายให้ตื่นขึ้น
“จ้องอะไรนักหนา” เสียงเขาดังขึ้นเย็นชา แต่ทว่าแววตาคมกริบคู่นั้นกลับไม่หลอกใคร
มันเต็มไปด้วย แรงกดดันที่มหาศาล ความอดกลั้น ที่กำลังจะขาดสะบั้นลง และ...ปรารถนา ที่เข้มข้นจนเธอสัมผัสได้ถึงไอระอุที่แผ่ออกมาจากตัวเขา
“ก็...ไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้ทุกวันนี่คะ หัวหน้าคนงานบ้านนี้เขาฟิตกันขนาดนี้เชียว” น้ำขิงแกล้งตอบกลับด้วยน้ำเสียงยียวน ทั้งที่หัวใจกำลังเต้นระรัวราวกลองศึก
“อย่าหาเรื่อง” เขาเอ่ยเตือนเสียงต่ำพลางขยับเข้ามาใกล้เธออีกหนึ่งก้าว ระยะห่างระหว่างพวกเขาลดน้อยลงจนลมหายใจอุ่นร้อนของเขาเป่ารดผิวแก้มของเธอ
“ฉันไม่ได้หาเรื่อง...แต่...ถ้าอยากให้หา ฉันก็พอหาได้นะ” น้ำเสียงของหญิงสาวเริ่มสั่นพร่า ความร้อนวูบวาบก่อตัวขึ้นในอกอย่างรุนแรง เธอไม่อาจควบคุมความปรารถนาที่ซ่อนลึกอยู่ในใจได้อีกต่อไปแล้ว
เขาโน้มตัวลงมา ใบหน้าหล่อเหลาที่เปียกชุ่มไปด้วยหยาดฝนอยู่ห่างจากเธอเพียงคืบ มือใหญ่แข็งแรงยกขึ้นจับปลายคางของเธออย่างไม่บอบบางนัก บังคับให้เธอเชิดหน้าขึ้นรับสายตาคมกริบที่จ้องลึกลงในดวงตาของเธอราวกับจะค้นเข้าไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ
“คุณคิดว่าคุณเล่นกับไฟแล้วจะไม่โดนเผารึไง น้ำขิง” เสียงเขากระซิบถาม ดวงตาเต็มไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้งเกินกว่าคำพูดใดๆ
“แล้วถ้าฉันอยากไหม้ล่ะคะ” เสียงของเธอแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่กลับแฝงไว้ด้วย เปลวไฟร้อนแรง ที่พร้อมจะเผาผลาญทุกสิ่ง
จบประโยค...เขาก็บดจูบเธออย่างดิบเถื่อน!
ริมฝีปากหนาของเขาร้อนจัด ลมหายใจกรุ่นกลิ่นเหงื่อของผู้ชายเต็มตัวปะทะกับแก้มเธออย่างหยาบโลน ความรุนแรงของจูบที่เขามอบให้ราวกับจะช่วงชิงลมหายใจเธอไป มือใหญ่เลื่อนลงไปปลดเชือกเสื้อคลุมขนหนูที่เธอสวมอยู่อย่างไม่ลังเล ร่างเปลือยเปล่าขาวผ่องของเธอเผยให้เขาเห็นในพริบตาเดียว แสงสลัวจากตะเกียงยิ่งขับเน้นให้ผิวขาวผ่องดูเย้ายวนใจยิ่งขึ้น
“ภูผา...” เธอครางเรียกชื่อเขาเบาๆ ราวกับกำลังสวดภาวนา วิงวอนต่อเทพเจ้าแห่ง ความปรารถนา
เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก...แค่ดันร่างเธอลงบนที่นอนไม้เตี้ยๆ ในห้องอย่างนุ่มนวล แล้วตามลงไปคร่อมทับเรือนร่างบอบบางของเธอเอาไว้ กล้ามอกแข็งแรงของเขาบดแน่นกับเนินอกอวบอิ่มของเธออย่างเร่าร้อน
เขาใช้ริมฝีปากร้อนผ่าวไล่ดูดเม้มตั้งแต่ไหปลาร้าลงมาอย่างไม่ปรานี ทิ้งรอยแดงช้ำไว้บนผิวขาวเนียน ก่อนจะดูดดึงยอดอกที่แข็งเป็นไตอย่างหิวกระหาย
ทุกสัมผัสของเขาเต็มไปด้วย แรงปรารถนาที่รุนแรง ความดิบเถื่อน และ ความโหยหา ที่ถูกเก็บกดไว้มานานแสนนาน
เสียงลมหายใจหอบถี่ของคนทั้งสองประสานเข้ากับเสียงฝนที่ยังคงกระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่งภายนอก
เสียงครวญครางหวานลึกของน้ำขิง ปะทะเข้ากับ แรงกระแทกจากร่างใหญ่ ที่กำลังเคลื่อนเข้าไปในตัวเธออย่างช้าๆ แต่หนักแน่น
เขา...ใหญ่...แน่น...และลึก...ลึกเกินกว่าที่เธอเคยจินตนาการไว้
จนเธอต้องจิกผ้าปูที่นอนที่เย็นชื้นแน่นเพื่อระบายความร้อนที่กำลังเผาผลาญไปทั่วทั้งกาย
“อ๊า...ภูผา...มันลึก...” เสียงครางกระซิบสั่นเครือหลุดรอดจากริมฝีปากอิ่ม เสียงที่ไม่เคยรู้ว่ามีอยู่ในตัวเอง
“จำไว้...ว่าผมนเป็นคนแรก...และจะเป็นคนเดียวของคุณ...” เสียงเขากระซิบข้างหูในขณะที่เขาเริ่มเคลื่อนไหวหนักขึ้น เร็วขึ้น และรุนแรงขึ้น
ชายหนุ่มรั้งสะโพกมนของเธอไว้แน่นด้วยมือใหญ่ บดกระแทกด้วยแรงอารมณ์ดิบเถื่อนที่ไม่อาจควบคุมได้อีกต่อไป เตียงไม้เก่าๆ สั่นคลอนตามแรงกระทั้นของร่างชายหนุ่มที่ไม่รู้จักคำว่าพอ ความรุนแรงที่ถาโถมเข้ามาปลุกเร้าทุกโสตประสาทของเธอให้ตื่นขึ้น
น้ำขิงรู้เพียงแค่ว่าเธอกำลังจะหลอมละลายไปกับเขา...ร่างกายของเธออ่อนระทวยลงทุกขณะจิต
และเธอก็ปล่อยให้ตัวเอง แตกสลายในอ้อมแขนของเขา อย่างเต็มใจ...ไร้ซึ่งการขัดขืนใดๆ
