บทที่ 4 แสงสว่างเดียวที่เคยสัมผัส
ท้องฟ้ายามราตรีดำสนิทราวกับถูกหมึกเข้มแต้มไว้ ไร้แม้แต่แสงจันทร์หรือดวงดารา สายลมเย็นพัดผ่านแนวต้นไม้ บรรยากาศรอบด้านเงียบสงัดราวกับเวลาทั้งหมดหยุดลง
เสียงเกือกม้ากระทบพื้นดังสะท้อนท่ามกลางความเงียบ เซียวเหยียนหลงมิได้ให้ทหารติดตามมา เพราะไม่ต้องการให้เกิดความเอิกเกริก เขาควบม้าฝ่าความเงียบแห่งราตรี มุ่งหน้าสู่จวนสกุลเซียว พร้อมสตรีร่างบอบบางที่ซบอยู่ในอ้อมแขนของเขา
เขาใช้ผ้าคลุมใบหน้าของนางจนมิด ไม่ให้ผู้ใดเห็น แม้นางจะอยู่ในสภาพอ่อนแอและบาดเจ็บ แต่กลิ่นหอมจาง ๆ จากเรือนกายนางกลับแทรกซึมเข้าสู่ประสาทสัมผัสของเขาโดยไม่รู้ตัว
ร่างกายของนางชุ่มนุ่มนิ่มและอบอุ่น แปลกนักที่เขารู้สึกผ่อนคลายชั่วขณะหนึ่ง
ตลอดเส้นทางที่ขี่ม้าไปด้วยกัน นางมิได้เปล่งเสียงใดออกมา มีเพียงเสียงลมหายใจของนางที่แผ่วเบา นางดูราวกับสิ่งมีชีวิตที่เปราะบางที่สุด แต่กลับพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่แสดงความอ่อนแอ
เซียวเหยียนหลงเหลือบมองร่างในอ้อมแขนแวบหนึ่ง ไม่รู้เพราะเหตุใด การได้กอดนางไว้เช่นนี้ กลับทำให้หัวใจที่เย็นชาของเขาสั่นไหวเล็กน้อย
เมื่อเขาเอื้อมมือไปดึงผ้าคลุมขึ้นคลุมศีรษะของนางให้มิดชิด แวบหนึ่งเขากลับสังเกตเห็นบางสิ่งที่ต้นคอขาวผ่องของนาง—ปานสีแดงรูปดอกไม้ที่สะดุดตา
คิ้วเข้มของเซียวเหยียนหลงขมวดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว เพราะตัวเขาเองก็มีปานเช่นนี้เช่นกัน ทว่าเมื่อยิ่งเติบใหญ่ปานนั้นกลับลางเลือนแทบมองไม่เห็น
เขาไม่เอ่ยสิ่งใดออกไป เพียงแต่ลอบจดจำไว้ในใจ
ในขณะที่ซูเหม่ยเองก็มิอาจห้ามใจได้ นี่เป็นครั้งแรกที่นางอยู่ในอ้อมแขนของบุรุษผู้หนึ่งที่ช่วยชีวิต แม้จะรู้ว่าเขากับนางต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่ก็อดที่จะรู้สึกหวานล้ำในใจอย่างประหลาด
บุรุษผู้นี้ช่างแข็งแกร่งนัก อ้อมแขนของเขามั่นคงให้ความรู้สึกปลอดภัย
กระทั่งนางบอกทางให้เขามาจนถึงหน้าประตูจวนหลังหนึ่งราวยามโฉ่ว เซียวเหยียนหลงดึงบังเหียนม้าหยุดลงตรงหน้าคฤหาสน์ เสียงฝีเท้าของม้าหนักแน่นและสงบนิ่ง เขายังคงประคองร่างของนางไว้ครู่หนึ่ง ก่อนจะอุ้มนางลงจากหลังม้า
แม้ท่าทีของเขาจะไม่อ่อนโยน ทว่าก็มิได้รุนแรงอันใด
นางพยายามกดความสั่นไหวในหัวใจ เมื่อเท้าสัมผัสพื้นซูเหม่ยต้องพยายามอย่างยิ่งที่จะยืนให้มั่นคง
เซียวเหยียนหลงมิได้กล่าวสิ่งใด เพียงแต่ดึงขวดยาเล็ก ๆ ออกจากอกเสื้อ มอบให้นางด้วยสีหน้าราบเรียบ
“กินยาพร้อมอาหารของเจ้าทุกมื้อ จะช่วยให้หายดีเร็วขึ้น”
ซูเหม่ยมองขวดยาในมืออย่างลังเล
เขาเห็นนางยังมิได้รับไป จึงเอ่ยเสียงเรียบ “รับไปเถิด ข้าช่วยเจ้าได้เท่านี้”
นางก้มหน้ารับยาไว้ในมือเงียบ ๆ จากนั้นเขายังหยิบไม้เท้าที่ทำจากไม้ธรรมดาซึ่งสั่งให้ทหารทำอย่างลวก ๆ แล้วยื่นให้นาง
“ใช้นี่แทนไม้เท้า ระยะนี้เจ้าก็อย่าออกแรงขาให้มาก รีบให้ท่านหมอมารักษาเถิด ข้าลาก่อน”
ซูเหม่ยมองไม้เท้าในมืออย่างตกตะลึง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า ระหว่างที่พานางออกจากรังโจร เขาได้สั่งให้ทหารทำไม้เท้านี้ขึ้นมาให้
เขาดูเป็นบุรุษที่เย็นชา แต่กลับใส่ใจแม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อย
ซูเหม่ยเงยหน้าขึ้นมองบุรุษตรงหน้า นางอยากจะถามว่าเขาเป็นใครกันแน่ โอกาสหน้านางอยากจะตอบแทนบุญคุณจะพบเขาได้ที่ใด
แต่ก่อนที่นางจะทันได้เอ่ยสิ่งใด เขากลับหันหลังขึ้นไปบนหลังม้า แล้วควบออกไปในความมืดราวกับเงา
ซูเหม่ยมองแผ่นหลังของเขาที่ค่อย ๆ เลือนหายไปในราตรี นางรู้สึกเหมือนแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวที่วาบเข้ามาในชีวิตของนางได้ดับหายไปอย่างรวดเร็ว
ทิ้งให้นางจมดิ่งอยู่ในโลกอันมืดมิดเช่นเดิม
ริมฝีปากซีดขาวของซูเหม่ยขยับเบา ๆ พึมพำเสียงแผ่ว
“ลาก่อน...”
แม้ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่นางก็ไม่มีวันลืมเขาได้
รุ่งเช้า ลานกลางเรือนสกุลซู
ซูเหม่ยคุกเข่าอยู่กลางลานกว้างของจวนสกุลซูด้วยถูกลากออกมาที่ลานกว้างเพื่อสอบสวนตั้งแต่เช้าหลังจากที่อาสะใภ้รู้ว่านางกลับมาแล้ว
ซูเหม่ยเล่าให้ทุกคนฟังว่านางถูกปล้น แต่กลับไม่มีผู้ใดเชื่อ เพราะบ่าวไพร่ที่ร่วมขบวนไปค้าขาย ล้วนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่านางหายไปในยามเช้าจากที่พักแรมระหว่างเดินทางกลับเมืองหลวงพร้อมด้วยตั่วเงินทั้งหมด
ในตอนนั้นมีสาวรับใช้ผู้หนึ่งเห็นนางหนีไปกับบุรุษผู้หนึ่ง ขึ้นม้าหายไปด้วยกันกระทั้งบัดนี้นางกลับมาแล้ว และเล่าความจริงให้ทุกคนฟังทว่าบัดนี้กลับไม่มีผู้ใดเชื่อนาง
ป้าสะใภ้ของนางนามเฉินซิ่ว สตรีร่างบอบบางใบหน้างดงามทว่ากลับมีจิตใจหยาบช้ายิ่งนัก เอ่ยเบา ๆ ว่า
“เหม่ยเอ๋อร์จะให้ทุกคนเชื่อได้อย่างไร พยานล้วนบอกว่าเจ้าหนีตามบุรุษไป คงเป็นเพราะว่าระหว่างหนีเจ้าถูกโจรจับตัวไปใช่หรือไม่ จึงได้ซมซานกลับมาเช่นนี้”
ซูเหม่ยกัดปากแน่นเพราะบัดนี้รู้สึกเจ็บขาเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้นางจะเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ขาที่ยังเจ็บจากบาดแผลเมื่อคืนทำให้นางแทบทรงตัวไม่อยู่ ทว่ากลับไม่มีผู้ใดเห็นใจ
รอบตัวนางเต็มไปด้วยสายตาของบ่าวไพร่และญาติผู้ใหญ่ของตระกูลซู ท่านอาของนาง ซูจิ้ง นั่งอยู่บนเก้าอี้ใหญ่ตรงกลางลาน ข้างกันนั้นคือฮูหยินเฉินซิ่ว ในขณะที่ท่านย่าของนางนั่งเงียบอยู่ที่มุมหนึ่ง ทั้งไม่กล่าวสิ่งใดแม้แต่คำเดียว
ด้านซูจิ้งที่กำลังนั่งตัดสินซูเหม่ยอยู่ในเวลานี้ เขาเป็นบุตรชายจอมเสเพลคนเล็กของสกุลซู ที่ผ่านมาด้วยความเป็นคนที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจจากมารดาส่วนบิดาที่ตายจากก็เอาแต่เปรียบเทียบเขากับพี่ชาย ทั้งยังมักจะลงโทษเขาอยู่เสมอ เขาจึงเกลียดพี่ชายคนนี้ไม่น้อย ในที่สุดพี่ชายก็ตายไปเสียทีทำให้เขารู้สึกว่าโลกนี้น่าอยู่ไม่น้อย
ทว่าตายไปแล้วกลับยังทิ้งตัวปัญหาเอาไว้ให้เขาอีกสามคน ทำให้เขาไม่อาจครอบครองจวนนี้ได้อย่างที่ตั้งใจ ดังนั้นในสายตาของเขาครอบครัวของซูเหม่ยจึงกลายเป็นตัวปัญหา และแน่นอนว่าเขาคิดจะกำจัดทิ้งไม่ให้อยู่รกหูรกตาเขาอีก
หากไม่ติดว่าท่านแม่ของเขารักใคร่เอ็นดูซูหานบุตรชายคนเล็กของพี่ชายจนหวงเอาไว้ดูแลในเรือนของตนเองไม่ให้ผู้ใดพบหน้าได้ง่าย ๆ ป่านนี้เขาขับไล่คนพวกนี้ไปได้นานแล้ว
น้ำเสียงเย็นชาของซูจิ้งเอ่ยลอดไรฟัน
"ซูเหม่ย! เจ้าคิดว่าทุกคนในเรือนนี้เป็นคนโง่หรืออย่างไรเจ้าหายตัวไปทั้งคืน ขบวนรถม้ากลับมาพร้อมรายงานว่าเจ้าหายตัวไปขณะพักแรมกลางทางพร้อมตั๋วเงินทั้งหมด เจ้าดูแลขบวนการค้า เงินล้วนอยู่กับเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าคิดจะลักลอบหนีไปกับบุรุษใช่หรือไม่"
ซูเหม่ยส่ายหน้า
“ไม่ใช่เจ้าค่ะท่านอา เหม่ยเอ๋อร์ไม่ได้หนีไปกับผู้ใดจริง ๆ เจ้าค่ะ ท่านอา” จากนั้นนางก็หันไปมองฮูหยินชรา “ท่านย่า ได้โปรดเชื่อข้าเถิดนะเจ้าคะ หากข้าหนีไปกับบุรุษจริง ๆ ข้าจะกลับมาทำไมเจ้าคะ”
ซูเจียวบุตรสาวของท่านอาซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของนางที่นั่งอยู่ข้าง เอ่ยกับฮูหยินชราว่า
“ท่านย่า ผู้ใดก็รู้ว่าสองสามวันก่อนมีโจรออกปล้น สงสัยว่าพี่สาวกับชายชู้ผู้นั้นคงถูกปล้นระหว่างทางเป็นแน่ คาดไม่ถึงเลยว่าพี่สาวจะดวงดีรอดกลับจวนมาได้ เช่นนี้หลานก็โล่งอกแล้วเจ้าค่ะ”
หญิงชราถอนหายใจออกมาเอ่ยว่า
“พอเถิด ไม่ต้องสอบสวนนางแล้ว อากาศเย็นเช่นนี้ดูสิหิมะกำลังจะตกลงมาแล้ว...”
ซูเหม่ยเบิกตากว้าง ในใจดีใจยิ่งนักเพราะคิดว่าท่านย่ากำลังช่วยตนทว่าที่ไหนได้หญิงชรากลับเอ่ยว่า
“ลงโทษนางเถิด อย่างไรก็อย่าให้หนักหนาจนเกินไป ลงโทษแล้วก็ให้แล้วกันไป ต่อไปก็อย่าให้นางยุ่งเรื่องค้าขายก็แล้วกัน”
ซูเม่ยตกตะลึง
“ท่านย่า เหม่ยเอ๋อร์ไม่ได้โกหกท่านนะเจ้าคะ เหม่ยเอ๋อร์ถูกโจรปล้นจริง ๆ และได้รับการช่วยเหลือจากทหารหลวง ถ้าท่านไม่เชื่อข้าสามารถพาพวกเขามายืนยันได้เจ้าค่ะ เวลานั้นจะได้รู้ว่าข้าพูดจริงหรือไม่"
ถึงผู้มีพระคุณจะไม่ได้บอกนามของเขา ซูเหม่ยยังจดจำตราประจำตำแหน่งของคนผู้นั้นที่ห้อยอยู่ข้างเอวได้ หากตั้งใจหาคนนางคิดว่าต้องพบอย่างแน่นอน
เสียงหัวเราะเย็นชาของท่านอาดังขึ้นอีก
"ทหารหลวงหรือ โธ่ ซูเหม่ย เจ้ายังจะโกหกอีกหรือ”
“ข้าไม่ได้โกหก ท่านอา ท่านดูเถิดสภาพข้าในตอนนี้ ท่านยังคิดว่าข้าโกหกอีกหรือ ข้าถูกพวกโจรทำร้ายตีขาจนแทบจะเดินไม่ไหวแล้วนะเจ้าคะ”
ซูจิ้งกลับเบือนหน้าหนี ท่าทางรังเกียจนางยิ่งนัก จนซูเหม่ยรู้สึกปวดใจ ท่านอาที่เคยแสนดีในตอนที่บิดาของนางยังอยู่บัดนี้หายไปที่ใดแล้ว
นางหันไปมองหน้าท่านย่า ทว่าฮูหยินชรากลับเบือนหน้าหนีพร้อมเอ่ยกับซูเจียวญาติผู้น้องของนางว่า
“เจียวเอ๋อร์ พาย่ากลับเรือนเถิด”
ซูเจียวเป็นบุตรสาวของท่านอา ในตอนที่ท่านพ่อยังมีชีวิต วัน ๆ เอาแต่วิ่งตามซูเหม่ยประจบประแจงไม่หยุด บัดนี้กลับวางท่าหยิ่งยโสจองหองและกดข่มซูเหม่ยเป็นอย่างยิ่ง
น้ำตาของนางไหลลงมา เอ่ยเบา ๆ ว่า
“ท่านย่า ท่านก็รู้ว่าหลานไม่เคยโกหก”
ทว่าซูเจียวกลับหันมาเอ่ยว่า
“ก่อนหน้าข้าก็คิดว่าพี่สาวไม่กล้า ทว่าบัดนี้พยานมากเพียงนี้ว่าท่านหนีตามบุรุษไปพร้อมกับเงิน ข้าที่ไม่อยากเชื่อยังอดคิดไม่ได้เลย ท่านทำให้ท่านย่าที่รักและเอ็นดูท่านมากกว่าผู้อื่นผิดหวังจริง ๆ”
น้ำตาของหญิงสาวไหลลงมาอย่างไม่อาจอดกลั้นแล้ว ในจวนนี้คนที่เคยดีกับนางที่สุดนอกจากท่านพ่อแล้วคือท่านย่า
ทว่าบัดนี้ แม้แต่หน้าของนางท่านย่ายังไม่อยากมองหน้า
เสียงซุบซิบของบ่าวไพร่ดังขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่
"เช่นนั้นคุณหนูใหญ่ก็คงถูกบุรุษผู้นั้นทอดทิ้งแล้วกระมัง อาจจะถูกโจรย่ำยีแล้วโยนทิ้ง..."
"คุณหนูใหญ่ก็ยังไม่ออกเรือน แต่กลับ..."
ซูเหม่ยตะโกนตามหลังหญิงชรา
“ท่านย่า ข้าสงสัยว่าจะเป็นแผนท่านอาเจ้าค่ะ ท่านอาต้องการแย่งทุกสิ่งของซูหาน ทั้งเงินและจวนนี้ที่ท่านพ่อทิ้งเอาไว้ ดังนั้นท่านอาจึงต้องกำจัดข้า กำจัดท่านแม่ เพื่อไม่ให้มีผู้ใดปกป้องซูหานอีก ท่านย่า จวนนี่คือของท่านพ่อนะเจ้าคะ ท่านย่าจะปล่อยให้น้องหานถูกทำร้ายจริง ๆ หรือเจ้าคะ”
“บังอาจ เจ้ากล่าวโกหกแล้วยังกล้าใส่ร้ายข้า หลายปีมานี้ก็ไม่ใช่เพราะข้าหรือสกุลซูจึงยังเชิดหน้าชูตาอยู่ได้”
หญิงชราหยุดเดินแล้วหันมามองซูเหม่ย อาสะใภ้ของนางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
“ท่านแม่ ท่านก็เห็นว่าหลายปีมานี้ตั้งแต่ฮูหยินใหญ่ล้มป่วย ข้าดูแลนางแม่ลูกมาตลอด เงินทองทุ่มเทกับค่ารักษาไปเท่าไหร่ ส่วนหานเอ๋อร์ก็ล้วนเป็นข้าที่ให้หมอมาดูแลไม่ขาด ของบำรุงร่างกายสิ่งใดล้วนมอบให้เขาทั้งหมด ท่านแม่ก็เห็น ไม่คิดว่าเหม่ยเอ๋อร์ เพื่อเอาตัวรอดกลับใส่ร้ายสามีข้าเพียงนี้ นางคิดหรือไม่ว่านี่คือท่านอาของนางนะเจ้าคะ”
ท่านย่าสีหน้าราบเรียบ กัดฟันแล้วเอ่ยว่า
“ลงโทษนางให้สำนึกเถิด”
จากนั้นก็เดินจากไปทันใด
“ท่านย่า...”
ก้อนสะอื้นบัดนี้จุกที่คอของซูเหม่ยแล้ว นางเสียใจจนไม่รู้ว่าตนเองจะกล่าวสิ่งใดได้อีก
ซูจิ้งกระแทกเสียงดังลั่น ดวงตาของเขาทอประกายเย็นเยียบในขณะที่มองหลานสาวของตนเอง
"ตั้งแต่เจ้าถือกำเนิดมาก็เป็นตัวอัปมงคล! มีคำทำนายว่าเจ้าเป็นตัวซวย ดีเพียงใดแล้วที่ข้ายังเลี้ยงเจ้าในจวนนี้ ยังไม่สำนึกอีก ซูเหม่ยอย่าโทษข้าที่ไม่เห็นว่าเจ้าเป็นหลานอีก!"
เขาหันไปสั่งบ่าวผู้หนึ่ง
"ลงโทษโบยสิบแส้ ขังนางไว้ในเรือนจนกว่าจะสำนึกผิด! จากนั้นก็ให้นางมาคอยรับใช้เจียวเอ๋อร์ เทกระโถนเช็ดเรือนให้น้องสาวของนางดูว่าจะสำนึกหรือไม่"
ซูเหม่ยไม่กล่าวสิ่งใดแล้ว เมื่อท่านย่าอนุญาตให้ท่านอาลงโทษ นางก็ไม่อาจร้องขอความเป็นธรรมได้อีก
ร่างบอบบางถูกจับให้นอนคว่ำลงตั้งยาว จากนั้นแส้เส้นใหญ่ที่ทำด้วยหนังสีดำก็ค่อย ๆ ฟาดลงมาที่แผ่นหลังจนเกิดรอยปริแตก
ซูเหม่ยส่งเสียงร้องอย่างทรมาน น้ำตาไหลรินแต่ไม่เอ่ยปากร้องขอชีวิตแล้ว
เอาเถิด หากต้องตายก็ให้มันตายลงไปตรงนี้ ตายไปเสียก็ดี จะได้หลุดพ้นจากความทรมานนี้เสียที!
