บทที่ 2 คุณหนูรองเพ่ยเพ่ย
สี่ปีต่อมา
ภายในจวนเซียวโหว ที่ตั้งตระหง่านในเมืองหลวง เทพธิดาน้อยเซียวเพ่ยเพ่ย ใช้ชีวิตอย่างรื่นรมย์ในฐานะคุณหนูรองแห่งจวนเซียวโหว แม้นางจะไม่ได้เติบโตภายใต้การดูแลของมารดา แต่ก็มีเซียวเหยียนหลงบิดา ท่านย่า ทั้งแม่นมอิ๋นและสาวใช้คอยดูแลเป็นอย่างดี และที่สำคัญ นางมีพี่สาวที่รักและเชื่อฟังนางที่สุดนาม เซียวซินเอ๋อร์
เซียวซินเอ๋อร์เป็นบุตรสาวของท่านป้าของเซียวเพ่ยเพ่ย ปีนี้นางอายุสิบขวบแล้ว
ท่านป้าผู้ซึ่งหย่าขาดจากสามีแล้วพาบุตรสาวกลับมาอยู่ที่บ้านเดิมพร้อมบุตรสาว
เทพธิดาน้อยเซียวเพ่ยเพ่ยถึงจะอายุใกล้ครบสี่ขวบแล้ว ทว่าเด็กน้อยก็ยัง พูดจาไม่ชัดนักด้วยฟันหน้าเจ้ากรรมที่หายไปสองซี่เพราะยังขึ้นไม่เต็มที่ ทว่าเด็กน้อยกลับมีบางอย่างที่ผิดปกติมากไปกว่าเด็กผู้อื่น
นั่นก็คือยิ่งเติบโตนางก็ยิ่งสามารถใช้พลังเวทย์ได้อย่างน่าอัศจรรย์
เซียวเหยียนหลงผู้เป็นบิดาย่อมรู้เรื่องนี้ดีจึงได้ปิดบังความสามารถของบุตรสาวเอาไว้ไม่ให้ผู้ใดเข้าใจผิดคิดว่านางเป็นปีศาจร้าย
เมื่อตอนเด็กน้อยอายุสามขวบนางร้องขอสัตว์เลี้ยงสักตัว เซียวเหยียนหลงบิดาจึงหาสุนัขขนสีขาวฟูเหมือนก้อนเมฆนุ่มนิ่มให้กับเด็กน้อย
ตั่งแต่นั้นมา พี่น้องอีกผู้หนึ่งก็คือเจ้าสุนัขตัวน้อย ที่เซียวเพ่ยเพ่ยตั้งชื่อให้ว่า เสี่ยวไป๋ ในเวลาต่อมานางก็สามารถพูดคุยกับเสี่ยวไป๋รวมทั้งสัตว์ต่าง ๆ ได้โดยไม่รู้ตัว
วันนี้อากาศดียิ่งนักเซียวเพ่ยเพ่ยกำลังวิ่งเล่นกับเสี่ยวไป๋โดยมีสาวใช้คอยดูแลในสวนดอกไม้ภายในจวนเซียวโหว
ในเวลานั้นผีเสื้อหลายตัวก็บินมาบอกกับเซียวเพ่ยเพ่ยว่า คุณหนูลี่ฮวามาที่จวน ท่านย่ากำลังให้คนมาตามให้เซียวเพ่ยเพ่ยไปพบกับสตรีนางนั้น
ส่งข่าวจบผีเสื้อก็จากไป และตั้งแต่ยามนั้นเซียวเพ่ยเพ่ยก็หายไปโดยไร้ร่องรอยกระทั่งสาวใช้ยังหาเด็กน้อยไม่พบจึงไปตามแม่นม
แม่นมเองก็รู้ว่าเซียวเพ่ยเพ่ยเป็นเด็กมีพลังเวทย์ การที่หาไม่พบเช่นนี้คงจะหลบซ่อนอยู่ที่ใดที่หนึ่ง สาวใช้ซึ่งเป็นคนธรรมดาย่อมหานางไม่พบ
บัดนั้นฮูหยินชราก็ให้คนมาตามเซียวเพ่ยเพ่ยพอดี
“เมื่อครู่ใหญ่ คุณหนูรองยังกระโดดเล่นอยู่ตรงนี้กับเสี่ยวไป๋มิใช่หรือ”
“เจ้าค่ะ”
แม่นมถอนหายใจยาว
“คงไม่อยากพบคุณหนูลี่เป็นแน่ จึงไปซ่อนตัวเช่นนั้น เร็วเข้ารีบช่วยกันตามหาให้เจอ”
สั่งสาวใช้เสร็จแม่นมก็เร่งเดินกลับไปที่เรือนของฮูหยินชรา เมื่อไปถึงก็กระซิบเบา ๆ ข้างหู
ฮูหยินชรามองมาที่เซียวซินเอ๋อร์ ที่กำลังตั้งใจเล่นฉิน โดยมีลี่ฮวาช่วยสั่งสอน
ถึงแม้ว่าความสามารถด้านอื่นจะไม่โดดเด่น แต่ลี่ฮวากลับเล่นฉินได้ไพเราะและหาตัวจับยาก นับว่าเป็นความสามารถเดียวที่นางมี
ท่านป้าเซียวชิงหรงกำลังโบกพัดไปมา มองบุตรสาวเล่นฉินด้วยสายตาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เห็นฮูหยินชรามองที่ตนเองจึงเอ่ยถาม
“ท่านแม่ มีสิ่งใดหรือเจ้าคะ”
ฮูหยินชราเอ่ยว่า
“จะมีสิ่งใดเล่า หลานสาวตัวแสบของเจ้าหายไปแล้ว คนที่รู้ว่านางอยู่ที่ใดก็คงมีเพียงซินเอ๋อร์”
เซียวชิงหรงยกมุมปากขึ้นยิ้มอ่อนใจ จากนั้นก็ใช้พัดปิดใบหน้าของตนเอง รู้สึกขบขันไม่น้อยเมื่อเห็นสีหน้าลำบากใจของมารดา ทั้งยังมองไปที่แม่นมของเซียวเพ่ยเพ่ยก็เห็นว่าสีหน้าไม่ต่างกัน
เซียวชิงหรงจึงเอ่ยว่า
“เช่นนั้นก็ให้ซินเอ๋อร์ไปตามน้องสาวของนางเถิดเจ้าค่ะ มีแค่ซินเอ๋อร์เท่านั้นที่รู้จริง ๆ”
ฮูหยินชราสั่งความ
“ซินเอ๋อร์ไปตามตัวน้องสาวมาให้ได้ บอกเด็กไม่รู้ความผู้นั้นว่า ยายให้บ่าวไปพาคนขายขนมน้ำตาลปั้นเข้ามาในจวนแล้ว หากอยากกินก็จงออกมา”
“เจ้าค่ะ ท่านยาย”
เซียวซินเอ๋อร์รับคำอย่างว่าง่ายเด็กน้อยหยุดเล่นฉิน และค่อยขยับยืนขึ้นด้วยท่าทางงดงามจากนั้นยอบกายแล้วหันหลังเดินออกไป
ลี่ฮวามองตามให้รู้สึกว่า เซียวซินเอ๋อร์เด็กคนนี้ท่าทางไม่เลวเลยจริง ๆ แม้ว่าจะมีอายุเพียงสิบขวบแต่ก็เห็นเค้าความงามได้อย่างชัดเจน
สกุลเซียวช่างน่าอิจฉา ลูกหลานสกุลนี้ล้วนหน้าตาดีทั้งนั้น กระทั่งเด็กแก่นแก้วไม่ฟังความเช่นเซียวเพ่ยเพ่ย ก็ยังมีใบหน้ากลมดวงตากระจ่างใส ผิวพรรณของนางนั้นไม่ต้องเอ่ยถึง ราวกับว่าจะเรืองแสงได้อย่างไรอย่างนั้น
ลี่ฮวาย่อมเคยเห็นมารดาของเซียวเพ่ยเพ่ย ก็เห็นว่าไม่ได้งดงามโดดเด่นเพียงนี้ ยังดูเป็นสตรีใบหน้าจืดชืดขี้โรคคนหนึ่งเท่านั้น
ในยามนั้นเจ็บใจยิ่งที่ตนเองไม่ได้แต่งเข้าจวนโหว เพราะว่าสมรสของเซียวโหวกับอดีตฮูหยินนั้นเป็นสมรสพระราชทาน ยามนี้อดีตฮูหยินตายจากไปแล้วจึงเป็นโอกาสของนางอีกครั้ง
พ่อหม้ายฐานะสูงส่งใบหน้าหล่อเหลาสง่างาม เช่นเซียวเหยียนหลง ย่อมเนื้อหอมไม่น้อย นอกจากนางที่มารดาสนิทกับท่านแม่ของเซียวโหวแล้ว ก็ไม่มีสตรีใดที่จะได้เข้ามาจวนโหวแห่งนี้อีก
ภายในสวนดอกไม้ของจวนเซียวโหว
สายลมเย็นยามบ่ายพัดเอื่อย กลิ่นหอมของดอกเหมยลอยคละคลุ้งไปทั่วสวน ใต้พุ่มไม้เขียวขจี เงาร่างเล็ก ๆ ของเด็กน้อยวัยใกล้สี่ขวบกำลังกอดเข่าซ่อนตัวเงียบ ๆ
ใบหน้ากลมราวก้อนแป้งน้อยโผล่พ้นจากพุ่มไม้เพียงเล็กน้อย นัยน์ตากลมโตสุกใสราวกับดวงดารากำลังสอดส่องไปรอบ ๆ
ผมมวยสองข้างยุ่งเหยิง เต็มไปด้วยเศษใบไม้ ราวกับกลิ้งไปทั่วสวนก่อนจะตัดสินใจซ่อนตัวอยู่ที่นี่
ข้างกายนาง เจ้าหมาน้อยขนฟูสีขาว ‘เสี่ยวไป๋’ กำลังหมอบแนบชิดติดเจ้านายตัวเล็ก
ขนนุ่มของมันก็เต็มไปด้วยเศษใบไม้เช่นกัน ไม่รู้ว่า หนึ่งเด็กหนึ่งสุนัขซ่อนตัวอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้ว
ข้าง ๆ กัน มีถุงหนังใส่น้ำ และตะกร้าเล็ก ๆ วางอยู่ แน่นอนว่าเด็กน้อยรอบคอบนัก ยังแอบเข้าไปเรือนครัวคว้าของกินติดมือมาหลบซ่อนตัวเองกับสุนัขเช่นนี้ราวกับกำลังหนีโจรร้ายที่น่ากลัว
ภายในตะกร้าไม่มีขนมเหลือแล้ว มีเพียงเศษขนมตกอยู่บ่งบอกว่า เซียวเพ่ยเพ่ยรู้สึกเสียดายที่นำขนมมาน้อยไปหน่อย
"โฮ่ง!"
เสียงเห่าแผ่วเบาราวเสียงกระซิบดังขึ้นจากเจ้าหมาน้อยทั้งยังกระดิกหู พลางใช้จมูกดุนแขนเสื้อของเซียวเพ่ยเพ่ยเบา ๆ
ดวงตากลมมองมาที่เจ้านายถามว่า
เพ่ยเพ่ย พวกเราต้องซ่อนตัวอีกนานแค่ไหนหรือ
เพ่ยเพ่ยยกนิ้วป้อมปิดปากเสี่ยวไป๋ ดวงตากลมโตเหลือบมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง
"ชู่! เงียบเฉี่ยวไป๋ มิเช่นนั้นท่านย่าจะหาพวกเยาเจอ ต้องแอบจนกว่าฉีดำจะกลับ เพ่ยเพ่ยไม่อยากพบฉีดำ"
เพราะฟันหน้าของเด็กน้อยยังขึ้นไม่ครบทั้งยังขาดหายไปถึงสองซี่ บัดนี้นางจึงพูดไม่ชัดในหลายคำซึ่งคนในจวนล้วนคุ้นชินกันแล้ว
สีดำ นั้นหมายถึงลี่ฮวา เพราะเซียวเพ่ยเพ่ยมีดวงตาทิพย์ เด็กน้อยสามารถมองเห็นไอสีดำออกมาจากร่างของผู่ที่คิดร้ายกับตนโดยที่คนอื่นมองไม่เห็น
ก่อนหน้านี้ที่พบกับลี่ฮวาครั้งแรก สีดำที่ออกจากร่างดูน่ากลัว จนทำให้เซียวเพ่ยเพ่ยเก็บไปฝันร้าย
เด็กน้อยจึงไม่ค่อยสบายใจที่จะพบกับลี่ฮวาอีก ตั้งแต่นั้นมาเวลาที่ลี่ฮวามาที่จวนจึงมักจะซ่อนตัวเองอยู่เสมอ
เจ้าตัวเล็กนุ่มนิ่มขนสีขาววางหัวปุกปุยของมันแนบลงบนตะกร้า ส่งเสียงครางหงิง ๆ บอกว่า
เข้าใจแล้ว แต่เสี่ยวไป๋เหนื่อยแล้วขอนอนก่อนได้หรือไม่
เซียวเพ่ยเพ่ยพยักหน้า มือเล็กป้อมลูบหัวเสี่ยวไป๋พลางเอ่ยเบา
“อื้อ นอนนะ นอน นอน”
ในระหว่างกำลังพูดคุยกับเสี่ยวไป๋อยู่นั้น เซียวซินเอ๋อร์ก็มุดรูเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารูสุนัขลอดอย่างทุลักทุเลมาหาน้องสาว
“เพ่ยเพ่ย พี่สาวมาแล้ว”
เซียวเพ่ยเพ่ยอ้าปากตกใจเพราะนางรู้ว่าช่วงเวลานี้พี่สาวต้องเรียนดีดฉินกับท่านย่า ไม่มีทางมาเล่นกับนางได้อย่างแน่นอน เสียงเล็กจึงเปล่งออกมาอย่างรู้ทัน
"ที่นี่ไม่มีเพ่ยเพ่ย พี่ฉาวมองผิดแล้ว"
“ไม่ใช่เพ่ยเพ่ยแล้วผู้ใดพูด"
“เฉี่ยวไป๋พูด”
“โฮ่ง โฮ่ง”
เสี่ยวไป๋ส่งเสียงรับคำเจ้านายน้อยของตนเอง ทั้งยังแลบลิ้นออกมาเลียมือของเซียวซินเอ๋อร์เพื่อทักทาย
เซียวซินเอ๋อร์ลูบหัวเล็กนุ่มนิ่มที่เต็มไปด้วยขนสีขาวปนกิ่งไม้ของเจ้าหมาน้อยพร้อมกับช่วยดึงออกไปให้ทั้งเอ่ยว่า
“เสี่ยวไป๋อยากกินขนมหรือไม่ พี่สาวมาตามเสี่ยวไป๋กับเพ่ยเพ่ยไปกินขนม”
เสี่ยวไป๋
“โฮ่ง!” อยาก
เซียวเพ่ยเพ่ยดุเสี่ยวไป๋ ท่าทางเหมือนผู้ใหญ่ตัวน้อยที่กำลังดุเด็ก
“เฉี่ยวไป๋อย่าเห็นแก่กิน ห้ามเห็นแก่กินนะ”
เซียวซินเอ๋อร์อมยิ้ม ดวงตาฉายแววเอ็นดูแกมขบขัน
"เป็นของโปรด ก็ไม่กินหรือ?"
ดวงตากลมโตกะพริบปริบ ๆ หูทั้งสองตั้งชันราวกับเสี่ยวไป๋ก็ไม่ปาน
"ของโปรด?"
"ใช่ ของโปรดของเพ่ยเพ่ย" เซียวซินเอ๋อร์ขยับเข้าไปใกล้ใบหูเล็กแล้วกระซิบเสียงเบา ราวกับกำลังบอกความลับสุดยอดในโลกนี้
"วันนี้ท่านย่าเชิญพ่อค้าขนมน้ำตาลปั้นมาในจวนด้วยล่ะ"
ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ท่าทางตื่นเต้นทั้งยังร้องออกมา
"อ๋า... น้ำตาลปั้น ว๊าว..."
นี่ของโปรดเพ่ยเพ่ยนี่นา
พี่สาวยังพูดต่อ
"เด็ก ๆ ในจวนกำลังล้อมเขาไว้ คนปั้นเก่งนัก เพ่ยเพ่ยอยากได้ตัวอะไร พวกเขาปั้นให้ได้หมด นก ผีเสื้อ หรือว่าจะเป็นตุ๊กตาหิมะ"
"!!!"
ดวงตากลมโตของเซียวเพ่ยเพ่ยเป็นประกายวาววับ เด็กน้อยเผลอกลืนน้ำลายลงคอโดยไม่รู้ตัว
"จริงหยือ?"
"จริงสิ พี่ใหญ่ไม่โกหก แต่หากไปช้า... เพ่ยเพ่ยอาจไม่ได้ขนมน้ำตาลปั้น..."
"ไปช้าอด แย่แย้ว!!!"
เด็กน้อยตัวแข็งทื่อ ดวงตากลมโตสั่นระริก เสี่ยวไป๋ที่ฟังอยู่ข้าง ๆ เงยหน้าขึ้นมองเจ้านายตัวเล็ก
“โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง” เพ่ยเพ่ย...เสี่ยวไป๋อยากกินน้ำตาลปั้น
เจ้าก้อนแป้งน้อยกัดริมฝีปาก สีหน้าสับสน จะทำเช่นใดดี เด็กน้อยเอ่ยถามพี่สาวเสียงเบา
“ซินเอ๋อร์ ถ้าเพ่ยเพ่ยพบฉีดำแล้ว จะฝันย้าย”
เซียนซินเอ๋อร์ตอบด้วยรอยยิ้มจับมือป้อมขาวอวบราวหัวไชเท้าของน้องสาวเอาไว้ กล่าวหลอกล่อปลอบขวัญ
“ถ้าได้กินของอร่อยจะไม่ฝันร้ายยังจะฝันดีด้วย หากว่าเจอคุณหนูลี่ ก็อยู่ข้างหลังพี่ใหญ่เอาไว้ ดีหรือไม่ มีพี่ใหญ่ปกป้องเพ่ยเพ่ย ไม่ต้องกลัว”
เจ้าก้อนแป้งน้อยชั่งใจและคิดหนัก ดวงตากลมโตไหววูบ จากนั้นก็ลูบหัวของเสี่ยวไป๋ ถามความเห็นอีกครั้ง
"เฉี่ยวไป๋ กินดีหยือไม่"
เสี่ยวไป๋หันไปมองพี่สาวแล้วหันกลับมามองเจ้านายตัวเล็ก
"โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง" กิน กิน กิน
ในที่สุดใบหน้ากลมน่ารักก็พยักขึ้นลง
"เฉี่ยวไป๋บอกว่าควรกินหนม เพ่ยเพ่ยก็อยากกินน้ำตาลปั้น"
เซียวซินเอ๋อร์ยิ้มกว้างแล้วพยักหน้า
“อื้อ ถูกต้องแล้ว โอกาสที่ท่านย่าจะเชิญคนมาไม่ง่าย จึงพลาดไม่ได้ เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถิด เพ่ยเพ่ยอยากได้ตัวอะไร”
"ผีเฉื้อ"
"อื้อ เช่นนั้นก็ให้คนปั้นทำผีเสื้อก่อนเลย เร็วเข้ารีบไป"
“ไปกันเฉี่ยวไป๋ ไปกินหนมน้ำตาลปั้นกัน เฉี่ยวไป๋อยากกินตัวอะไย”
"โฮ่ง โฮ่ง" หมาน้อย
เพ่ยเพ่ยร้องห้ามเสียงดัง
"เฉี่ยวไป๋เอาตัวอื่น กินตัวเองไม่ยี ห้ามกินตัวเองนะ เอาตัวอื่น"
บัดนี้เซียวเพ่ยเพ่ยลืมความกลัวจนหมดสิ้นแล้ว ยังคลานมุดโพรงสุนัขลอด นำหน้าพี่สาวไปกินขนมน้ำตาลปั้นด้วยใจที่เบิกบาน ในขณะที่เซียวชิงเอ๋อร์หัวเราะเบา ๆ กับคำพูดเพ่ยเพ่ยที่บอกว่าเสี่ยวไป๋จะกินตัวเอง
