บทที่ 5 ครอบครัวของบ้านสาม
เมื่อฉันเดินออกจากบ้านมาท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็น เสียงซุบซิบนินทาล้วนกระทบเข้ากับประสาทการรับรู้ของฉัน เพียงแต่ฉันคนนี้ไม่ได้สนใจคำพูดของคนพวกนั้นเท่าใดนัก คนที่สามารถดึงดูดสายตาของฉันได้ก็คือคนที่กำลังยืนมองฉันอยู่ไกลๆ คนนั้นต่างหาก เขาคือจางเจี้ยนกั๋วคนที่ทำให้คุณย่าโมโหอยู่ในบ้าน คิดไม่ถึงว่าเขาจะยังคงวนเวียนอยู่แถวนี้โดยที่ไม่ได้สนใจสายตาของชาวบ้านเลยสักนิด ที่จริงแล้วฉันก็อยากจะเดินเข้าไปคุยกับเขาแต่เมื่อหันไปเห็นว่าคุณแม่กำลังเดินเช็ดน้ำตาติดตามฉันมา ทำให้ฉันไม่อาจจะทิ้งคุณแม่ไปพูดคุยกับเขาในตอนนี้ได้
“แยกบ้านกันก็ดีเหมือนกัน เพียงแต่ครั้งนี้พวกฉันคงจะต้องเสียเปรียบคุณพี่อยู่บ้าง ฉันหวังว่าคุณพ่อจะต้องคำนึงถึงเรื่องที่บ้านรองและบ้านสามต้องย้ายออก มอบเงินให้พวกฉันมากขึ้นสักหน่อยเพื่อที่ว่าพวกฉันจะสามารถมีเงินเพื่อไปสร้างบ้านใหม่” คำพูดนี้ของป้าสะใภ้รองทำให้ป้าสะใภ้ใหญ่หัวเราะออกมาด้วยสีหน้าเย็นชา
“แต่น้องสะใภ้รองอย่าลืมว่าบ้านหลังนี้ก็ต้องซ่อมแซมแล้วเช่นกัน พวกเธอจะย้ายไปสร้างบ้านใหม่แต่ก็ควรคิดว่าบ้านใหญ่ของฉันมีคุณพ่อคุณแม่อยู่ด้วย ซึ่งก็หมายความว่าจะต้องเลี้ยงดูคนมากกว่า แล้วจะได้เงินน้อยกว่าบ้านอื่นได้อย่างไร” คำพูดนี้ของป้าสะใภ้ใหญ่ทำให้ป้าสะใภ้รองมีสีหน้าไม่พอใจในทันที ฉันรีบเดินไปจูงมือคุณแม่ออกมาด้วยเกรงว่าแรงปะทะของคนทั้งสองจะลุกลามมาถึงคุณแม่เฉินของฉันด้วย คิดแล้วก็น่าขำแต่ฉันรู้สึกว่าคุณแม่เฉินคนนี้มีความผูกพันกับฉันมากกว่าแม้แท้ๆ ในชาติก่อนของฉันเสียอีก
“แต่คิดไปคิดมาก็คงไม่มีใครสามารถฉกฉวยโอกาสได้ดีเท่าบ้านสามหรอก คงคิดว่าเมื่อแยกบ้านไปแล้วตอนนี้เอ้อยาแต่งงานก็จะได้ไม่ต้องมอบเงินค่าสินสอดเข้าส่วนกลางสินะ เฮอะ! อย่าว่าแต่จะได้แต่งงานไหม แค่เขาจะยอมแต่งแต่โดยดีหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย ประเคนตัวเองให้เขาจนท้องไส้ขึ้นมาแล้วอย่างนี้ก็แทบจะไม่เหลือคุณค่าอะไรให้คนอื่นเขาอยากแต่งเข้าบ้านแล้ว” คำพูดนี้ของป้าสะใภ้รองทำให้คุณแม่เฉินที่ไม่ค่อยชอบมีปากเสียงกับคนอื่นหันไปจ้องมองป้าสะใภ้รองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“จะได้แต่งไม่ได้แต่งมันก็เรื่องของบ้านสามของพวกเราแล้ว ต่อไปเวลาลูกสาวของพี่จะแต่งงานก็ไม่ต้องแบ่งสินสอดเข้าส่วนกลางเช่นเดียวกัน เอ้อยาของฉันนั้นเป็นคนมีกรรมไม่ได้แต่งก็ไม่เป็นไร ลูกและหลานฉันเลี้ยงเองได้ ส่วนลูกสินสอดอะไรนั่นฉันไม่ได้สนใจหรอกฉันเลี้ยงลูกมาก็ไม่ได้หวังว่าจะขายลูกสาวกินอยู่แล้ว”
“สะใภ้สามเธอพูดอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร”
“คุณพี่คิดว่าฉันหมายความว่าอย่างไรเล่าคะ” เมื่อคุณแม่เฉินพูดอย่างนี้ป้าสะใภ้รองก็เดินตรงดิ่งเข้ามาหาคุณแม่ในทันที
“อย่าคิดว่าฉันจะไม่กล้าฉีกปากเธอนะ”
“เอาเลยค่ะ คิดว่าฉันไม่มีมือสู้หรือคะ” เมื่อคุณแม่มีท่าทาไม่ยอมแพ้เช่นนี้ป้าสะใภ้รองก็ชะงักไปในทันที
“เอาล่ะๆ พวกเธอจะมาตบตีอะไรกันตรงนี้ แค่แยกบ้านกันตอนที่พ่อแม่ยังอยู่ก็ขายหน้าคนอื่นมากพอแล้ว หากพวกเธอตบตีกันต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้อีกจะไม่ยิ่งน่าอับอายขึ้นไปอีกหรือ” คำพูดของป้าสะใภ้ใหญ่ทำให้ป้าสะใภ้รองหันตวาดใส่เพื่อนบ้านในทันที
“ไม่มีอะไรทำกันรึไง เรื่องของบ้านคนอื่นมันน่าสนใจมากนักใช่ไหม อย่าให้ฉันรู้นะว่าใครเอาเรื่องของฉันไปพูดไม่อย่างนั้นฉันจะตามไปตบให้ถึงบ้านเลย” คำว่าตบของป้าสะใภ้รองนั้นเธอหันมาส่งสายตาและเน้นน้ำเสียงใส่คุณแม่เฉินเป็นพิเศษ
ฉันได้แต่แอบคันไม้คันมืออยากสั่งสอนเจ้าหล่อนไปสักที เสียดายก็แต่ร่างนี้ไม่ใช่ร่างของฉันอีกทั้งตอนนี้ก็กำลังตั้งท้องอยู่ หากเด็กเป็นอะไรไปตราบาปนี้คงทำให้ฉันทำใจไม่ได้ไปอีกนาน ถึงจะเป็นแค่เพียงวิญญาณที่มาอาศัยในร่างของคนอื่น แต่ฉันก็เป็นวิญญาณที่มีคุณธรรมอยู่บ้างหรอก
“คุณแม่พวกเราไปนั่งรอตรงนั้นกันดีกว่า ประเดี๋ยวคุณพ่อออกมาพวกเราก็จะได้รู้แล้วว่าคุณปู่ตัดสินใจอย่างไร” คำพูดของฉันทำให้คุณแม่พยักหน้า พวกเราสองแม่ลูกจึงได้ไปนั่งลงตรงใต้ต้นไม้หน้าบ้าน โดยมีบรรดาเพื่อนบ้านที่ไม่เกรงกลัวต่อคำขู่ของป้าสะใภ้รองจับตามองอยู่ไกลๆ
“อาจิ้งกับอารุ่ยไม่รู้ว่าไปวิ่งเล่นอยู่ที่ไหน กลับมาเมื่อไหร่เห็นที่ว่าคงจะต้องตำหนิพวกเขาหน่อยแล้ว” คุณแม่เฉินเอ่ยพลางสอดส่ายสายตาหาน้องชายทั้งสองของฉัน
“พวกเขาคงอยู่แถวนี้แหละค่ะ หนูเป็นคนอนุญาตให้พวกเขาออกไปเอง หลายวันมานี้พวกเขาต้องมาคอยจับเจ้าและจำต้องฟังเรื่องที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ของหนู มันทำให้หนูอดรู้สึกสงสารพวกเขาไม่ได้” ฉันพูดพลางคิดถึงน้องชายทั้งสองของร่างนี้ พวกเขาเป็นเด็กที่รู้ความและเป็นผู้ใหญ่เกินกว่าวัย คำด่าว่าของคนในบ้านและคำนินทาของคนข้างนอกทำให้พวกเขาเป็นกังวลเรื่องของฉันมากเป็นพิเศษ อีกทั้งวันนี้ฉันก็คาดเดาเอาไว้แล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องก็เลยอนุญาตให้พวกเขาออกไปเล่นจะได้ไม่ต้องมารับรู้และได้ยินถ้อยคำที่ไม่ค่อยจะน่าฟังเท่าไหร่ของคนในบ้าน
“เอ้อยา ลูกไม่ต้องกังวลนะ หลังจากแยกบ้านไปแล้วถ้าพ่อหนุ่มสกุลจางไม่อยากรับผิดชอบลูกก็ไม่เป็นไร แม่กับพ่อจะช่วยกันดูแลหนูกับลูกของหนูเอง ไม่ต้องคิดมากดูแลตัวเองให้แข็งแรงก็พอแล้ว” คำพูดนี้ของคุณแม่เฉินทำให้ฉันอดรู้สึกทราบซึ้งใจไม่ได้
ในยุคสมัยนี้การตั้งท้องโดยที่ยังไม่ได้แต่งงานนับได้ว่าเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากพอสมควรสำหรับเด็กสาว แต่เฉินหว่านถิงคนนี้กลับโชคดีที่มีพ่อกับแม่ที่รักใคร่เธออย่างจริงใจ และพร้อมที่จะเห็นใจเธอทุกอย่าง เสียดายก็แต่เจ้าของร่างนี้ตัวจริง ที่ในตอนที่ประสบกับปัญหากลับคิดมากจนเกินไป ไม่ใช่สิต้องใช้คำว่าคิดน้อยจนเกินไปจนต้องจบชีวิตของตนเองลงไปด้วยวัยเพียงเท่านี้ แต่ก็นับว่าเป็นโชคดีของฉันถ้าไม่ได้มาอยู่ในร่างนี้ก็ไม่รู้ว่าฉันจะต้องพบกับอะไรบ้าง
โลกหลังความตายคือโลกที่ฉันไม่เคยคิดถึงมาก่อนเลย ด้วยชอบคิดว่าตัวเองอายุยังน้อยและสุขภาพก็ยังสมบูรณ์แข็งแรงอยู่ ตอนนี้เมื่อได้โอกาสมีชีวิตใหม่อีกครั้งฉันจึงตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะใช้ชีวิตให้ดีให้คุ้มกับที่ได้มีโอกาสมาเกิดใหม่ในร่างของเด็กสาวที่ใช้ชื่อเดียวกันกับฉันอีกครั้ง ถึงแม้ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปแต่ฉันก็เชื่อว่าปัจจัยในการดำรงชีวิตก็คงไม่แตกต่างกันมากสักเท่าไหร่หรอก
