บทที่ 6 ย้ายที่อยู่
เมื่อคุณพ่อออกมาจากห้องของคุณปู่ ฉันจึงได้รู้ว่าคุณปู่ให้เวลาครอบครัวของฉันและครอบครัวรองเป็นระยะเวลาสามเดือนเพื่อที่จะย้ายออก ที่ดินว่างเปล่าที่อยู่ติดกับบ้านเดิมถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน เพื่อให้บ้านรองและบ้านสามสร้างบ้านขึ้นมาใหม่ เงินถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนเท่าๆ กัน แน่นอนว่าคุณปู่ย่อมจะต้องปันเงินส่วนหนึ่งเอาไว้สำหรับตนเองและคุณย่าเรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็หมายความว่าบ้านใหญ่นั้นได้ครอบครองทั้งบ้านและได้รับเงินส่วนแบ่งมากกว่าคนอื่นซึ่งก็สมเหตุสมผลดี
หลังจากนี้แต่ละบ้านเมื่อได้รับเงินมาไม่ต้องนำไปให้คุณย่าอีก แต่เนื่องจากยังต้องกินข้าวร่วมกันอยู่ คุณปู่จึงขอให้ทั้งสามบ้านช่วยกันออกค่าอาหารและช่วยกันลงแรงสำหรับการกักตุนถ่านไม้เอาไว้สำหรับใช้หุงต้มในครัวเรือน เมื่อบ้านรองและบ้านสามสร้างบ้านได้เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ให้ย้ายออกกันไปเสีย
“สรุปแล้วคุณพ่อแบ่งเงินให้พวกเราเท่าไหร่หรือ” เอ่ยหลังจากที่พวกเรากลับเข้ามาอยู่ในห้องของคุณแม่ ตามปกติแล้วหากเป็นเจ้าของรางนี้เธอคงจะไม่ติดตามมา แต่ฉันคนนี้รู้สึกเป็นห่วงเรื่องการเงินของบ้านมากเป็นพิเศษเรื่องมารยาทอะไรฉันล้วนไม่สนใจทั้งสิ้น ขอแค่เพียงรู้ว่ามีเงินเพียงพอต่อการใช้ชีวิตหรือไม่และยังพอจะเหลือทุนให้ฉันคนนี้นำไปตั้งต้นเพื่อหาเงินได้หรือไม่เพียงเท่านั้น
“คุณพ่อแบ่งให้บ้านเรา 300 หยวน 40 เฟิน มากกว่าบ้านรองแต่น้อยกว่าบ้านใหญ่” เมื่อคุณพ่อพูดเช่นนี้ ฉันก็นั่งทบทวนความทรงจำของร่างนี้ คุณพ่อเป็นช่างไม้หลังจากรับจ้างต่อตู้ต่อโต๊ะให้ลูกค้าเมื่อหักทุนแล้วก็จะเหลือเงินเพียงครั้งละ 4 ถึง 5 หยวนเท่านั้น เงินสาม 300 หยวนนี้ถือว่ามากทีเดียวเพียงแต่เมื่อคิดว่าจะต้องสร้างบ้านหลังหนึ่งขึ้นมาก็คงจะก่อให้เกิดความขัดสนในภายหน้าอยู่บ้าง
“ถ้าพวกสร้างบ้านหลังเล็กๆ ก็คงจะเพียงพอสำหรับเอาไว้ใช้จับจ่ายอยู่บ้าง ไม่ต้องกลัวนะหลังจากที่ทำบ้านเสร็จแล้วผมจะพยายามรับงานให้มากขึ้น ไม่ทำให้คุณกับลูกต้องลำบากอย่างแน่นอน” คุณพ่อรีบพูดทันทีเมื่อเห็นว่าคุณแม่มีสีหน้ากังวล
“คุณทำงานอย่างหนักมานานหลายปี ส่วนฉันก็หลังขดหลังแข็งรับจ้างตัดเย็บเสื้อผ้าให้คนอื่นมานานหลายปีเช่นเดียวกัน เงินที่พวกเราสองคนหาหากเก็บหอมรอมริบก็คงจะได้มากกว่านี้” คุณแม่เฉินพูดพลางก้มหน้าลงเพื่อเช็ดหยาดน้ำตา
ฉันรู้ดีถึงความรู้สึกของคุณแม่ จากความทรงจำของร่างนี้ทำให้ฉันรู้ว่าหลายปีมานี้เพราะอยากให้ลูกๆ มีชีวิตที่ดี คุณแม่จึงพยายามอย่างมากที่จะตัดเย็บเสื้อผ้าให้ลูกค้าอย่างไม่เกี่ยงงาน เพียงแต่ต่อให้คุณแม่เฉินพยายามมากเพียงใดเงินที่เธอหามาได้ก็จะต้องนำไปมอบให้แม่สามีบริหารจัดการอยู่ดี ตอนแยกบ้านคุณแม่จึงแอบคิดว่าบ้านสามสมควรจะได้มากสักหน่อย แต่ผลกลับเป็นเช่นนี้ทำให้คุณแม่เฉินอดรู้สึกหดหู่ใจไม่ได้
“คุณแม่ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ ได้มาเท่านี้เราก็ใช้เท่านี้ ด้วยความสามารถของคุณแม่และคุณพ่อ บ้านสามของพวกเราวันหน้าจะต้องสามารถหาเงินได้มากเป็นแน่ ฉันก็จะเป็นอีกหนึ่งเรี่ยวแรงที่จะช่วยคุณพ่อกับคุณแม่หาเงินด้วย” เมื่อฉันพูดเช่นนี้คุณพ่อเฉินจึงได้หันมามองที่ฉัน
“ต่อไปลูกก็ต้องแต่งงาน จะยังมามัวคิดถึงปากท้องของที่บ้านได้อย่างไร อีกทั้งตอนนี้ยังมีอีกหนึ่งชีวิตของลูกอีก” เมื่อคุณพ่อเฉินพูดเช่นนี้คุณแม่ก็รีบพยักหน้าอย่างเห็นด้วยจนฉัน
“ถูกต้องๆ ถึงแม้ว่าแม่กับพ่อจะสามารถเลี้ยงดูลูกและหลานในท้องได้แต่ไม่ว่าอย่างไรผู้หญิงเราก็ควรจะต้องแต่งงานมีสามี หากเจ้าหนุ่มสกุลจางไม่คิดจะรับผิดชอบ แต่แม่ก็ยังคิดว่าลูกสาวของแม่ไม่มีทางไม่เป็นที่ต้องการของคนอื่นหรอก” เมื่อได้ยินคุณแม่พูดเช่นนี้ฉันก็ได้แต่จำต้องหัวเราะออกมา ผู้หญิงในยุคนี้ยังคงเชื่อเรื่องสตรีควรมีสามีเดียวแต่คุณแม่เฉินกลับพูดออกมาเช่นนี้นับได้ว่าเป็นคนที่มีความคิดทันสมัยมากทีเดียว
“อย่าได้คิดกันเกินเลยไปไกลนัก หากตัดเรื่องสินสอดออกไปเขาก็ไม่ได้ไม่อยากจะรับผิดชอบหรอก” คุณพ่อเฉินพูดขัดคุณแม่ด้วยสีหน้าเงียบขรึม
“แต่เขาพูดว่าลูกสาวของพวกเราเป็นคนของเขาแล้ว ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องให้เงินคุณแม่มากมายถึงขนาดนั้น นี่ไม่นับว่าเป็นการบ่ายเบี่ยงไม่ยอมรับผิดชอบหรอกหรือ” คำพูดนี้ของคุณแม่ทำให้ฉันนิ่งงันไป อันที่จริงตัวฉันก็เป็นคนบอกให้เขาปฏิเสธแต่พอได้ยินคุณแม่พูดเช่นนี้ในใจก็อดรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
“เรื่องนั่นช่างเถิดคุณแม่ ไม่สู้พวกเรามาช่วยกันคิดดีกว่าว่าทำอย่างไรจึงจะสามารถสร้างบ้านได้เสร็จเร็วๆ แยกบ้านกันแล้วแต่ยังอยู่ร่วมกันอย่างนี้ปัญหาเรื่องการกระทบกระทั่งกันในบ้านอาจจะรุนแรงมากขึ้นเป็นแน่” เมื่อฉันพูดเช่นนี้ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ก็ต่างนิ่งงันไป
“ช่วงนี้ลูกพยายามหลบหน้าคุณย่าเข้าไว้ และพยายามอย่าได้ไปต่อปากต่อคำกับคนในบ้าน กำลังท้องกำลังไส้มีเรื่องทะเลาะตบตีกันขึ้นมาไม่ว่าอย่างไรคนที่เสียเปรียบก็คือลูก” เมื่อได้ยินคุณพ่อพูดเช่นนี้ฉันก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
“ขอบคุณคุณพ่อที่เป็นห่วง ลูกจะพยายามหลบหน้าพวกท่านนะคะ” เมื่อฉันพูดอย่างนี้คุณพ่อก็พยักหน้า
“เรื่องบ้านลูกไม่ต้องห่วง ในฐานะที่เป็นช่างไม้เรื่องการสร้างบ้านไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับพ่อ ช่วงนี้ก็ดูแลตัวเองให้ดีเถิด” เมื่อคุณพ่อเฉินพูดอย่างนี้ฉันก็อดรู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจไม่ได้ ร่างนี้โชคดีที่มีพ่อกับแม่ที่ดีเช่นนี้
ฉันคิดว่าคุณพ่อกับคุณแม่น่าจะมีเรื่องที่จะต้องปรึกษากันจึงได้ขอปลีกตัวออกมาก่อนโดยใช้ข้ออ้างว่าจะไปตามน้องชายทั้งสองกลับบ้าน
เมื่อออกจากห้องมาก็ได้ยินเสียงไม่พอใจของป้าสะใภ้รอง ทางฝั่งของบ้านรอง และเสียงก่นด่าของคุณย่าที่อยู่ในตัวบ้านด้านในทำให้ฉันต้องรีบปลีกตัวออกมาด้วยเกรงว่าจะยิ่งเป็นการกระตุ้นให้สองคนนั้นโมโหมากขึ้นไปอีกจึงรีบเดินออกจากบ้านอย่างเร็ว เมื่อเห็นว่าชาวบ้านที่มาคอยดูเรื่องสนุกล้วนจากกันไปหมดแล้วฉันก็ได้แต่ทอดถอนใจออกมา โชคดีคุณลุงทั้งสองของบ้านเฉินล้วนเป็นลูกกตัญญูและไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยจึงยินดีที่จะยอมรับการตัดสินใจของคุณปู่ จึงไม่จำเป็นต้องใช้ผู้หลักผู้ใหญ่มาคอยเป็นพยานการแยกบ้านในครั้งนี้
“ผลเป็นไปตามความต้องการแล้วใช่หรือไม่” จางเจี้ยนกั๋วเอ่ยถามพลางเดินออกมาจากด้านหลังของต้นไม้ใหญ่ทำให้ฉันอดตกใจไม่ได้ที่อยู่ๆ เขาก็ปรากฏตัวออกมา
“นับว่าได้ผลดีทีเดียว ขอบคุณมากค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเรื่องแต่งงานของเราก็ควรที่จะตกลงกันได้เสียที ผมมีเวลาไม่มากนักอีกไม่กี่วัน วันลาของผมก็จะหมดแล้ว” คำพูดนี้ของเขาทำให้ฉันต้องนิ่วหน้า
“งานแต่งใหญ่โตผมคงให้คุณไม่ได้ แต่เรื่องสินสอดที่คุณย่าของคุณเรียกมาผมสามารถนำมามอบให้คุณได้ เพียงแต่ด้วยสถานการณ์ของผมคุณอาจจะต้องได้รับความลำบากสักหน่อย” เมื่อเขาพูดเช่นนี้ฉันก็อดถามเขาไม่ได้
“คุณหมายความว่าอย่างไรคะ”
“บ้านของผมที่นี่ไม่มีแล้ว คุณจะอาศัยอยู่บ้านเดิมก็คงจะไม่เหมาะ มีทางเดียวก็คือคุณจะต้องไปอยู่กับผม”
“อยู่กับคุณ หมายถึงต้องไปจากหมู่บ้านแห่งนี้นะหรือ” เมื่อฉันถามเช่นนี้เขาก็พยักหน้า ฉันได้แต่สบถอยู่ในใจ อุตส่าห์คิดว่าจะตั้งตัวอยู่ที่นี่ได้แล้วแท้ๆ แต่จากที่ฉันรู้มาฐานทัพของเขาอยู่ในเมืองใหญ่ไม่แน่ว่าที่นั่นอาจจะมีหนทางให้ฉันสามารถหาเงินได้มากกว่านี้ จึงไม่คิดจะเอ่ยแย้งความต้องการของเขา
