บทที่ 3 จางเจี้ยนกั๋ว
ความยากจนไร้ซึ่งเงินทองจับจ่ายใช้สอยสำหรับฉันแล้วนับว่าเป็นเรื่องที่ไกลตัวเป็นอย่างมาก แต่ฉันในตอนนี้เงินสักเหมาก็ยังไม่มีอยู่ในมือ ด้วยบรรดาบุตรชายสกุลเฉินยังไม่ได้แยกบ้านกันอย่างเป็นทางการ การใช้จ่ายยังคงต้องเบิกจากส่วนกลางซึ่งคนดูแลก็คือคุณย่าเฉิน แน่นอนว่ายิ่งลูกสาวบ้านสามอย่างฉันสร้างเรื่องงามหน้าอย่างเช่นการตั้งท้องโดยที่ยังไม่ได้แต่งงานขึ้น การเงินของบ้านสามก็ยิ่งติดขัด
“ทำไมคุณแม่จึงได้ทำเช่นนี้ ฉันกังวลแทบจะตายอยู่แล้วว่าเจ้าหนุ่มคนนั้นจะไม่ยอมรับผิดชอบลูกสาวของพวกเรา แต่นี่พอเขารับผิดชอบขึ้นมาคุณแม่ยังเรียกสินสอดมากมายถึงขั้นนั้นอีก” เสียงของซ่งอี้เหมยที่ดังขึ้นทำให้ฉันที่กำลังจะเดินผ่านไปต้องหยุดชะงัก คุณแม่ของร่างนี้น้อยครั้งนักที่จะตำหนิแม่สามีของตนเอง คราวนี้เมื่อฟังจากน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะพอใจของคุณแม่แล้วทำให้ฉันรู้ว่าจำนวนเงินที่คุณย่าของร่างนี้ต้องการจากจางเจี้ยนกั๋วจะต้องเป็นเงินที่มีจำนวนมากเป็นแน่
“คุณแม่บอกว่าตอนนี้ชาวบ้านต่างก็เรียกลูกสาวของเราว่าเป็นคนไร้ค่า จำนวนสินสอดก็จะเป็นการช่วยกู้หน้าให้ลูกสาวของเรา” เสียงของคุณพ่อที่เอ่ยออกมาเต็มไปด้วยความอ่อนอกอ่อนใจและปลอบประโลมอยู่ไม่น้อย แต่คุณแม่เฉินกลับมีน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจมากยิ่งขึ้น
“คุณแม่น่ะหรือจะเป็นห่วงชื่อเสียงของลูกสาว ที่ผู้คนต่างรับรู้เรื่องของเอ้อยาไปจนทั่วก็ไม่ใช่เพราะคุณแม่หรอกหรือ ฉันเริ่มจะทนไม่ไหวแล้วนะ บ้านสามของพวกเราทั้งคุณและฉันต่างก็หาเงินได้มากกว่าบ้านอื่น แต่คุณแม่กลับลำเอียงแบ่งเงินและของกินของใช้น้อยกว่าบ้านอื่นเพียงเพราะว่าคุณเป็นลูกชายคนเล็ก แล้วตอนนี้เกิดเรื่องกับเอ้อยาของพวกเราอีกคุณแม่ก็ยิ่งมีข้ออ้างที่จะลดเงินของบ้านเรา คุณคะข้อเสนอเรื่องแยกบ้านของฉันมันควรถึงเวลาแล้วนะคะที่คุณจะต้องหยิบยกขึ้นมาคุยกับคุณพ่อคุณแม่”
“แต่ถ้าผมนำมาพูดในตอนนี้คุณแม่จะต้องคิดว่าพวกเราไม่อยากแบ่งเงินสินสอดที่ได้จากเอ้อยา แล้วจะต้องยกคำว่าอกตัญญูมาตำหนิผมแน่ ถึงตอนนั้นขั้นตอนการแยกบ้านก็คงจะยิ่งยุ่งเหยิงอีกทั้งพวกเราก็อาจจะไม่มีเงินสำหรับสร้างบ้านใหม่อีกด้วย” น้ำเสียงเป็นกังวลของคุณพ่อเฉินทำให้ฉันต้องทอดถอนใจออกมา แล้วเดินหลบเลี่ยงคนทั้งคู่ออกไปทางประตูที่อยู่ทางด้านหลังบ้านแทน
ฉันเดินออกจากบ้านโดยเลือกเส้นทางในความทรงจำที่คิดว่าน่าจะหลบเลี่ยงผู้คนได้ ด้วยสภาพของฉันในตอนนี้ไม่เหมาะที่จะพบกับผู้อื่นมากนัก จวบจนเดินมาถึงลำธารทางด้านหลังแล้วจึงได้ทรุดตัวนั่งลงเพื่อใช้ความคิด ตอนนี้ชีวิตของฉันผูกติดอยู่กลับครอบครัวนี้แล้ว ทำให้จิตใจของฉันอดเป็นห่วงพวกเขาไม่ได้
หากแยกบ้านไม่สำเร็จคุณพ่อคุณแม่ก็คงจะต้องอยู่ในวังวนแห่งการแบ่งรายได้อย่างไม่ยุติธรรม ยิ่งคิดว่าทั้งเสื้อผ้าและของกินของใช้ของทั้งสามบ้านช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเช่นนี้ฉันก็ยิ่งรู้สึกปวดใจ คุณพ่อเฉินเป็นคนซื่อตรงเงินที่ได้จากการทำงานล้วนถูกส่งให้คุณย่าทั้งหมด ในขณะที่คุณลุงทั้งสองของฉันนั้นไม่ค่อยจะมีความซื่อตรงเท่าใดนัก หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปบ้านสามก็จะต้องถูกเอาเปรียบตลอดไปเป็นแน่ สิ่งสำคัญก็คือจะต้องรีบแยกบ้านเท่านั้นความเป็นอยู่ของบ้านสามของฉันจึงจะดีขึ้น ฉันนั่งครุ่นคิดพลางจ้องมองลำธารด้วยสายตาอันเหม่อลอย โดยไม่รู้ตัวสักนิดว่าในตอนนี้กำลังมีสายตาของคนผู้หนึ่งกำลังจับจ้องท่าทีของฉันอยู่
“ต่อให้รู้สึกว่าไม่ได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างไร คุณก็ไม่ควรที่จะคิดสั้น” น้ำเสียงนุ่มทุ้มที่ดังขึ้นทำให้ฉันตื่นจากภวังค์ความคิดและหันกลับไปมองทางด้านหลัง
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่แต่งกายแตกต่างจากชายหนุ่มในหมู่บ้าน คิ้วหนา จมูกโด่ง สายตาอันคมดุของเขากำลังจับจ้องฉันอยู่ เป็นเจ้าคนเสเพลที่เคยล่วงเกินร่างนี้ แต่ท่าทีและคำพูดที่คล้ายจะตำหนิฉันอยู่นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน คนที่ควรจะถูกตำหนิไม่ควรจะเป็นฉันนะ
“บางคนหากหาทางออกไม่เจอ ก็ล้วนจะต้องทำอย่างฉันกันทั้งนั้น” ฉันหันไปเผชิญหน้ากับเขาด้วยสีหน้าเย็นชา
ยามนี้ฉันกำลังนังบนโขดหินส่วนเขากำลังยืนอยู่ทำให้ตำแหน่งที่นั่งของฉันนั้นเสียเปรียบอยู่ไม่น้อย แต่ฉันก็ไม่ได้กังวลในเรื่องนี้ สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของฉันก็คือ เจ้าคนเสเพลตรงหน้ามีรูปร่างหน้าตาที่ดีและมีความโดดเด่นไม่น้อยเลย ถ้าเขาอยู่ในโลกที่ฉันจากมาบอกได้เลยว่าเขาสามารถรับงานในวงการบันเทิงได้อย่างสบาย
“หนทางย่อมมี แค่คุณก็น่าจะหาวิธีติดต่อผมก่อน ก่อนที่เรื่องราวจะลุกลามใหญ่โตจนโด่งดังไปทั่วทั้งหมู่บ้านเช่นนี้” คำพูดของเขาทำให้ฉันต้องทอดถอนใจออกมา
“ด้วยชื่อเสียงอันโด่งดังของคุณ ทำให้ครอบครัวของฉันคิดว่าฉันสมควรที่จะเอาเด็กออกหรือไม่ก็ตายให้พ้นๆ ไปเสีย” คำพูดนี้ของฉันทำให้เขาขมวดคิ้ว
ฉันจ้องมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยการประเมิน คนผู้นี้ไม่เหลือท่าทางเมามายเสเพลแบบที่ร่างนี้เคยได้พบเจอในค่ำคืนนั้น ในตอนที่สติสัมปชัญญะครบครันเช่นนี้นับได้ว่าจางเจี้ยนกั๋วดูเป็นคนที่ดูมีความน่าเชื่อถือมากคนหนึ่ง ท่าทางที่เต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเองสูงและสีหน้าที่เต็มไปด้วยความดุดัน รังสีโดยรอบร่างกายของเขาเมื่อรวมเข้ากับใบหน้าอันคมเข้มของเขา ไม่น่าประหลาดใจเลยที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกเกรงกลัวที่จะมีเรื่องกับเขา
“ผมขอโทษ คืนวันนั้นเป็นผมเองที่ผิด” เขาเอ่ยพลางจ้องมองฉันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดอย่างจริงใจ เอาล่ะอย่างน้อยเจ้าคนผู้นี้ก็ไม่ใช่อันธพาลอย่างที่ฉันเคยคิดเอาไว้ ฉันจ้องมองเขาแล้วก็พลันคิดถึงเรื่องการแยกบ้านของบ้านสามของฉันขึ้นมาได้
“ในเมื่อคุณรู้สึกผิดจริงๆ ก็มีอยู่หลายเรื่องที่คุณจะสามารถช่วยเหลือฉันได้ แต่ไม่รู้ว่าคุณเต็มใจที่จะช่วยเหลือฉันหรือไม่” เมื่อฉันพูดเช่นนี้เขาก็ขมวดคิ้วแล้วจ้องมองฉันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยการพินิจพิเคราะห์อย่างเต็มที่
“คุณดูไม่เหมือนเด็กสาวที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวในตอนนั้นเลยสักนิด”
“ฮึ! ติดฝนกับคนที่มีท่าทางแปลกๆ ตามลำพังต่อให้มีความกล้ามากแค่ไหนย่อมจะต้องรู้สึกหวาดกลัวเป็นธรรมดา” เมื่อฉันพูดอย่างนี้ก็ได้เห็นคนหน้าดุตรงหน้าทำสีหน้าไม่ถูก ใบหูที่แดงก่ำของเขาทำให้ฉันได้รับรู้ว่าฉันไปสะกิดถูกจุดที่ทำให้เขารู้สึกอับอายได้แล้ว
“คืนนั้น ผมไม่ได้เมามายอย่างเดียว มีบางคนใส่ยาบางอย่างให้ผมกิน” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันเบาหวิว ส่วนฉันก็ได้แต่พยักหน้าพลางคิดในใจว่าถ้าฉันไม่ออกนอกบ้านฉันก็คงจะไม่ได้เจอกับเขาและเรื่องราวก็คงจะไม่เกิด แต่ฉันจะให้เขาคิดขึ้นมาได้อย่างไรกันเล่าว่าตัวฉันเองก็มีส่วนผิด
“เอาเป็นว่าในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นมาแล้วพวกเราก็ควรที่จะต้องแก้ไข ได้ยินว่าคุณย่าของฉันเรียกสินสอดเป็นจำนวนมากใช่หรือไม่” เมื่อฉันถามเช่นนี้เขาก็พยักหน้า
“บอกกับคุณย่าของฉันว่าคุณไม่ตกลง ฉันในตอนนี้ไม่มีความจำเป็นที่คุณจะต้องเสียเงินมากมายขนาดนั้นเพื่อที่จะได้แต่งงานด้วย” เมื่อฉันเอ่ยเช่นนี้เขาก็ขมวดคิ้วแล้วพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“คุณไม่จำเป็นต้องทำให้ตนเองได้รับการดูถูกจากผู้อื่นจนถึงขั้นนี้กระมัง”
“ฟังฉันให้จบก่อน อย่าได้ลืมบอกกับคุณย่าของฉันว่าถ้าหากคุณย่าอยากให้คุณมอบสินสอดให้เป็นจำนวนมากถึงขนาดนั้น ทางคุณย่าของฉันก็จะต้องมอบสินเจ้าสาวเป็นเงินจำนวนเท่ากับสินสอดให้แก่ฉันเมื่อฉันแต่งงานกับคุณ” เมื่อฉันเอ่ยเช่นนี้เขาก็นิ่วหน้าแล้วจ้องมองฉันอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงได้เอ่ยกับฉันเสียงเบา
“คุณคงมีปัญหาภายในบ้านที่จะต้องจัดการสินะ”
“ใช่แล้ว ฉันทนให้คุณพ่อกับคุณแม่ของฉันต้องทนอยู่ในบ้านเดียวกันกับผู้คนที่อยากให้ฉันและลูกตายต่อไปไม่ได้อีกแล้ว และฉันก็หวังว่าคุณจะช่วยเหลือฉันอย่างน้อยก็เป็นการชดเชยความผิดที่คุณเคยบังคับขืนใจฉัน” เมื่อฉันพูดออกมาเช่นนี้เขาก็ทำสีหน้าอึดอัดแล้วรีบตอบตกลงในทันที
“ได้! ผมจะทำอย่างที่คุณว่ามา แต่ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรคุณจะต้องยอมรับมันให้ได้นะ ชื่อเสียงของคุณในตอนนี้ย่ำแย่มากอยู่แล้วถ้าผมทำเช่นนั้นคุณคงแทบจะไม่มีที่ยืนในหมู่บ้านเป็นแน่”
“ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก ชื่อเสียงของฉันย่ำแย่มากอยู่แล้ว มีเรื่องให้คนพูดถึงอีกสักเรื่องก็ไม่เป็นอะไรหรอก”
“..”
