บทที่ 2 คนเสเพล
ข่าวการตั้งท้องของฉันแค่เพียงไม่กี่วันก็ล่วงรู้กันไปหมดทั้งหมู่บ้าน แต่ฉันไม่ได้สนใจถ้อยคำที่พวกเขาพูดถึงฉันเท่าไหร่นักไม่ว่าอย่างไรคำพูดก็ไม่สามารถทำร้ายเราได้ถ้าเราไม่ได้เก็บคำพูดไร้สาระเอามาใส่ใจมากจนเกินไป แต่ถึงอย่างนั้นในยุคสมัยที่แตกต่างไปจากยุคที่ฉันคุ้นเคยแห่งนี้ คำพูดของชาวบ้านก็ยังสามารถส่งผลต่อการใช้ชีวิตของฉันอยู่ดี
“พี่เอ้อยา นี่พี่ยังกินข้าวลงอีกหรือฉันล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคนอย่างพี่ทำไมยังสามารถใช้ชีวิตด้วยสีหน้าระรื่นอย่างนี้ได้” ซานยาหลานสาวคนที่สามของบ้านและซื่อยาหลานสาวคนที่สี่ของสกุลเฉินกำลังจ้องมองฉันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง คำพูดของสองคนนี้ทำให้ฉันวางชามโจ๊กธัญพืชและหมั่นโถวแข็งๆ ที่แสนจะฝืดคอลง ฉันอุตส่าห์เก็บตัวอยู่แต่ในห้องเพื่อคิดทบทวนถึงความทรงจำของร่างนี้ว่ามีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้ฉันสามารถออกไปหาเงินมาเลี้ยงดูตัวเองและลูกในท้องได้ ไม่ใช่ว่าฉันเป็นคนดีมีคุณธรรมอะไรหรอกนะแต่ฉันคิดว่าเด็กในท้องไม่ได้ทำความผิดอะไรอีกทั้งด้วยความเป็นอยู่ในตอนนี้ของฉันการทำแท้งก็เท่ากับการพยายามฆ่าตัวตายชัดๆ
“พวกเธอเข้ามาในห้องของฉันก็เพียงเพื่อห้ามไม่ให้ฉันกินข้าวอย่างนั้นหรือ” เมื่อได้ฟังคำพูดของฉัน ซานยาก็จ้องมองฉันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความต้องการที่จะเชือดเนื้อเถือหนังของฉัน เธอเดินมาหาฉันด้วยท่าทีที่เต็มไปด้วยการคุกคามแต่กลับถูกซื่อยาห้ามเอาไว้
“อย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเหลือเลย พี่ดูสภาพของพี่เอ้อยาสิอีกไม่กี่วันเมื่อจางเจี้ยนกั๋วกลับมาก็คงจะไม่สามารถเหลือชีวิตรอดได้แล้ว” คำพูดนี้ของน้องสาวคนที่สี่ทำให้ฉันต้องจ้องมองเธอด้วยสายตายิ้มเยาะ
“ฉันจะถูกเขาเล่นงานหรือฉันจะเล่นงานเขาก็ยังไม่มีใครสามารถรู้ได้ แต่พวกเธอสองคนถ้ายังไม่ออกไปจากห้องของฉันพวกเธอเป็นได้ถูกฉันเล่นงานเป็นแน่” คำพูดพร้อมด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความจริงจังของฉันทำให้สองคนพี่น้องจากบ้านใหญ่และบ้านรองต้องขยับตัวถอยหลัง
จากความทรงจำของร่างนี้ทำให้ฉันรู้ดีว่าสาวน้อยสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นพวกขอบรังแกคนอ่อนแอแต่กลับกลัวคนที่แข็งแรง เป็นพวกดีแต่ปากที่ไม่มีความกล้าหาญใดๆ ทั้งสิ้น เพราะรูปร่างหน้าตาที่โดดเด่นและความเป็นคนอ่อนแอของร่างนี้มักทั้งให้ญาติสาวทั้งสองหาเรื่องกลั่นแกล้งและข่มขู่อยู่บ่อยครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นกันคงคิดว่าฉันคงจะไร้หนทางตอบโต้คำพูดของพวกเธอ คนที่เต็มไปด้วยความขี้อิจฉาริษยาสองคนจึงได้จับมือกันร่วมแรงร่วมใจมาหาเรื่องฉันได้ถึงในห้องเช่นนี้
“พี่ซานยาพวกเรารีบไปกันเถิด อย่าอยู่ในห้องนี้อีกเลย เพียงเท่านี้ชื่อเสียงของเราสองคนก็ได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวงแล้วหากคนอื่นรู้ว่าพวกเราเคยใกล้ชิดสนิทสนมกับคนไร้ค่าและไร้ยางอายคนนี้อีก พวกเราคงได้แต่งไม่ออกไปตลอดชีวิตเป็นแน่” คำพูดของซื่อยาทำให้ฉันอดจ้องมองหล่อนไม่ได้
“อืม แม่คนวางตัวดี เอาไว้ฉันจะคอยดูว่าพวกเธอจะสามารถคว้าการแต่งงานที่ดีกว่าฉันได้หรือไม่”
“เชอะ หากไม่เพราะได้ชื่อว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของพี่พวกเราสองคนย่อมจะต้องคว้าการแต่งงานที่ดีเอาไว้ได้เป็นแน่ แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเราสองคนก็ย่อมจะต้องได้แต่งงานกับคนที่ดีกว่าพี่อยู่แล้ว ส่วนพี่ก็รอวันที่จางเจี้ยนกั๋วจะกลับมาแต่งงานกับพี่ได้เลย ได้ยินว่าเขายอมรับปากว่าจะแต่งงานเพื่อรับผิดชอบในตัวพี่แล้วนี่ หึหึ ได้แต่งกับคนเสเพลไม่เอาอ่าวเช่นนั้น ไม่รู้ว่าวันหน้าพี่ยังจะปากดีได้เช่นนี้อีกหรือไม่” ซานยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเยาะเย้ยก่อนที่จะจูงมือของซื่อยาแล้วเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้ฉันได้แต่จ้องมองประตูเก่าๆ ที่ถูกปิดลงแล้วก็นั่งใช้ความคิดอยู่กับตนเองเพียงลำพัง
จางเจี้ยนกั๋ว เขาคนนี้อยู่ในความทรงจำอันเลวร้ายในร่างนี้ ในกาลก่อนเขาคืออันธพาลอันดับหนึ่งของหมู่บ้าน เป็นหลานชายคนโตของบ้านสกุลจาง เป็นเพราะพ่อแม่ต้องตายจากไปตั้งแต่เด็กทำให้คนที่ต้องเติบโตภายใต้ความดูแลของลุงกับป้ากลายเป็นเด็กที่เต็มไปด้วยความก้าวร้าวและเกเร
เขามีอายุมากกว่าร่างนี้ถึงสิบปีทำให้แทบจะไม่ค่อยได้พบกัน เมื่อร่างนี้เริ่มแตกเนื้อสาวจางเจี้ยนกั๋วก็เข้าไปเป็นทหารนานหลายปีแล้ว ได้ยินว่านอกจากจะส่งเงินมาให้ในแต่ละเดือนแล้ว จางเจี้ยนกั๋วก็แทบจะไม่ได้กลับมาที่หมู่บ้านแห่งนี้อีกเลย ปีหนึ่งมีเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่เขาจะกลับมาเยี่ยมเยียนลุงและป้าของเขา
แต่แล้วความซวยซับซวยซ้อนก็บังเกิดขึ้นกับร่างนี้ ในคืนวันที่เธอไปร่ำลาคนรักที่จะต้องกลับไปเมืองหลวงซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา ดันเกิดฝนตกหนักระหว่างทางที่เธอกำลังเดินทางกลับบ้าน หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ในหุบเขายามที่ฝนตกหนักก็มักจะเกิดดินถล่มและน้ำป่าไหลหลาก ด้วยความเกรงกลัวภัยธรรมชาติทำให้เธอหลบอยู่ในกระท่อมร้างเพื่อรอให้ฝนซาและหลีกเลี่ยงภัยจากการถูกดินถล่มทับ
อันที่จริงแล้วจะบอกว่าเป็นคราวซวยก็ไม่ถูกต้อง ด้วยสภาวะเช่นนี้ของหมู่บ้านเด็กสาวตัวน้อยอย่างเช่นเจ้าของร่างนี้ก็ไม่ควรจะหลบหนีพ่อแม่ไปพบชายหนุ่มในยามค่ำคืนอยู่แล้ว หากไม่ถูกคนรักล่วงเกินก็เสี่ยงต่อการได้พบกับคนไม่ดีที่มักจะฉวยโอกาสกับเด็กผู้หญิงที่ออกข้างนอกในยามค่ำคืน เจ้าของร่างนี้เคราะห์ดีที่คนรักเป็นคนดีและหล่อนไม่ได้พบกับกลุ่มโจรชั่วอันน่ากลัว แต่ดันเคราะห์ร้ายที่ยังไม่อาจจะหลบหนีเจ้าจอมเสเพลที่เมามายและเข้ามาหลบฝนในสถานที่เดียวกับเธอเข้า คนชั่วผู้เมามายกับเด็กสาวผู้งดงามหลบฝนอยู่ด้วยกันเพียงสองต่อสองในยามค่ำคืนไม่ต้องบอกก็รู้ได้ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น
หลังจากถูกเจ้าคนชั่วล่วงเกินเจ้าของร่างนี้ก็รีบฝ่าสายฝนกลับมานอนที่บ้านในทันที เพราะความไร้เดียงสาและเกรงกลัวว่าจะมีความผิดทำให้ไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับผู้ใหญ่ เจ้าชั่วนั่นเคยพยายามจะเข้ามาพูดคุยกับเธออยู่หลายครั้ง แต่เพราะความกลัวเธอจึงได้พยายามหลบลี้หนีหน้าและไม่ยอมออกจากบ้านอีกเลยจวบจนได้ยินว่าเขากลับเข้ากองทัพไปแล้ว เพียงแต่เรื่องในคืนนั้นไม่เพียงฝากตราบาปเอาไว้ในจิตใจแต่ยังมีหนึ่งชีวิตน้อยๆ ถือกำเนิดขึ้นมาด้วย เพราะตัดสินใจไม่ได้และกลัวความผิดเจ้าของร่างนี้ก็เลยคิดสั้น ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุให้เฉินหว่านถิงได้เข้ามาอยู่ในร่างนี้ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
“เจ้าคนชั่วนั่นคิดจะรับผิดชอบด้วยการแต่งงานหรือ อืม..”
เฉินหว่านถิงได้แต่พึมพำเพียงคนเดียว พลางคิดว่านับว่าเป็นเรื่องดีถึงแม้จะต้องแต่งให้กับคนที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นคนไม่ดี แต่อย่างน้อยเธอก็จะได้ย้ายออกจากบ้านหลังนี้ได้ เธอวางแผนเอาไว้แล้ว รอให้เธอคลอดลูกและสามารถหาเงินเลี้ยงดูตนเองและลูกได้ แล้วเธอค่อยหาหนทางหย่าขาดจากเจ้าคนเสเพลผู้นั้นก็แล้วกัน
