เหลียงหลินฮวา
เนื่องจากเรือนใหญ่ตั้งอยู่ข้างหน้าสุดของจวนดังนั้นซ่งเจียซินจึงใช้เวลาเล็กน้อยในการเดินทางไปถึงที่เรือนดังกล่าว หลังจากเดินไปถึงพบว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญไปถึงก่อนนางหลายคนแล้ว
หนึ่งคือสตรีที่แม้อายุย่างเลขสามสิบหนาวทว่าด้วยความตั้งใจดูแลผิวพรรณตัวเองเป็นอย่างดีทำให้นางคงความงดงามเสมือนสตรีวัยสาวไว้มัดใจสามีได้อยู่
เหลียงหลินฮวา หรือเหลียงอี๋เหนียง สตรีผู้แม้มีสถานะเป็นเพียงอนุทว่าหลังจากฮูหยินใหญ่ของตระกูลซ่งสิ้นชีพลง ตำแหน่งนายหญิงของจวนว่างเปล่านางได้รับความไว้วางใจจากประมุขตระกูลซ่ง...ซ่งเข่อหาน บิดาของร่างเดิมให้ถือป้ายทำหน้าที่เสมือนนายหญิงของจวนดูแลเรื่องต่างๆภายในจวนตลอดหลายปีได้อย่างมั่นคง
ส่วนถัดมาสตรีอ่อนเยาว์ผู้มีหน้าตาน่ารักสมวัยสิบสามย่างสิบสี่ ถอดแบบทุกระเบียบนิ้วมาจากมารดาตนเองนามว่า
ซ่งเจิ้งเหม่ย
คุณหนูรองของจวนยืนอยู่ข้างมารดาของตนเอง นางกำลังยืนถือผ้าเช็ดหน้าท่าทางมีเรื่องเป็นกังวลกับอันใดสักอย่างที่น่าจะเกี่ยวกับ....
แขกรับเชิญคนสุดท้ายอย่าง...นางเอง
ซ่งเจียซินเดินเข้าไปข้างในเรือนใหญ่ด้วยท่าทีสงบนิ่ง ช่างเป็นท่าทีที่แตกต่างจากเมื่อก่อนราวฟ้ากับเหว
มวลอากาศรอบกายของซ่งเจียซินดูเยียบเย็น พอนางเดินเข้ามาในเรือนแล้วทำให้คนพากันหยุดสนทนาลงโดยไม่ได้นัดหมาย
โดยเฉพาะซ่งเจิ้งเหม่ยที่โดนสายตาสงบนิ่งนั้นตวัดมองมาตั้งแต่หน้าประตู หญิงสาวรู้สึกขนลุกชันจนเท้าเดินเข้าไปหามารดาของตนเองราวกับต้องการที่พึ่งพิงโดยไม่รู้ตัว
“คารวะท่านพ่อเจ้าค่ะ” ซ่งเจียซินน้อมตัวลงให้ชายชราที่ยืนทำหน้าทะมึงทึงอยู่
“มาแล้วหรือ เจ้าออกจากบ้านไปไหนมาไม่รู้หรืออย่างไรว่าสตรีในห้องหอไม่ควรออกจากบ้านไปเที่ยวเล่นโดยไม่ได้รับอนุญาต”
“ท่านพ่อหมายความว่าอย่างไร ลูก….”
“นายท่านได้โปรดใจเย็นก่อนเจ้าค่ะ เรื่องมีค่อยๆเจรจากันดีกว่าเจ้าค่ะ”
“ฮึก พี่หญิงใหญ่ ฮึก นะ….น้องบอกท่านพ่อแล้วเจ้าค่ะเรื่องที่พี่หญิงพาน้องออกไปเล่นข้างนอกจวน ตะ แต่ น้องไม่ได้ตั้งใจผิดคำสัญญากับพี่หญิงใหญ่ที่ห้ามไม่ให้น้องแจ้งท่านพ่อนะเจ้าคะว่าพี่หญิงใหญ่อยากออกไปเที่ยวตามลำพังทั้งที่น้องห้ามแล้วก็ไม่ฟัง ฮึก แต่น้องกลัวว่าพี่หญิงใหญ่จะเจออันตรายจึงจำเป็นต้องบอกท่านพ่อจะได้ให้คนไปตามพี่หญิงกับจวนของเราอย่างปลอดภัย”
“เจ้ามีต้องโทษน้อง นางทำถูกต้องแล้ว สตรีบ้านใดออกจากบ้านโดยไม่ขออนุญาตบิดาบ้าง หายไปเกือบหนึ่งวัน เจ้ายังมีหน้ายืนต่อหน้าข้าอีกหรือ”
“คุณหนูใหญ่คุกเข่าเถอะเจ้าค่ะ แม้คุณหนูใหญ่ทำความผิด แต่อาจเป็นเพราะว่าคุณหนูยังเด็ก จะ….”
“เด็กงั้นรึ นางผ่านวัยปักปิ่นมาแล้ว สมควรรู้ว่าสิ่งใดควรปฏิบัติสิ่งใดไม่ควรปฏิบัติ”
“ท่านพ่อเจ้าคะ อย่าโกรธพี่หญิงใหญ่เลย โชคดีขนาดไหนแล้วที่พี่หญิงใหญ่ไม่เป็นอันใด ขณะลูกเดินเข้าจวนเพราะไม่สามารถห้ามพี่หญิงใหญ่ได้ ลูกได้ยินชาวบ้านแถวนั้นคุยกันว่าช่วงนี้ที่เมืองหลวงของเรามีพวกโจรเถื่อนนิยมลักพาตัวสตรีในยามเย็นไปทำไม่ดีไม่ร้ายที่ป่าไม่ไกลจากจวนเรา พี่หญิงใหญ่ไม่ถูกพวกมันกลับตัวไปก็ดีเท่าไหร่แล้วเจ้าค่ะ อุ้ย….ศีรษะของพี่หญิงใหญ่ไปโดนอะไรมาเจ้าคะ ไม่ได้โดนโจรทำร้ายแล้วลักพาตัวไปใช่หรือไม่”
ซ่งเจิ้งเหม่ยเดินเข้าไปเกาะแขนบิดาของตัวเอง หากได้ฟังเพียงผิวเผินอาจเข้าใจว่าน้องสาวกำลังพยายามพูดช่วยเหลือพี่สาวของตนเอง
ทว่าบุตรีของอนุมีหรือจะหวังดีโดยไร้สิ่งแอบแฝงกับพี่สาวซึ่งเป็นบุตรดีของฮูหยินใหญ่ ตำแหน่งที่ซ่งเจิ้งเหม่ยต้องการยิ่งนัก
มือของซ่งเจิ้งเหม่ยค่อยๆบีบนวดท่อนแขนบิดา หากแต่สายตาของนางนั้นมองมาที่พี่สาวต่างมารดาด้วยความเกลียดชังและเต็มเปี่ยมไปด้วยความอิจฉาริษยา
ใครบ้างไม่อยากเกิดเป็นบุตรีสายตรง มีมารดาเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย สามารถเรียกตัวเองว่าเป็นเจ้านายที่แท้จริงของจวนได้อย่างภาคภูไม่
อย่างเวลาออกไปข้างนอก ยามแนะนำมารดาคือใคร บิดาคือใคร
หรือเวลาเข้าร่วมงานสังคมก็ไม่ต้องหดหัว ก้มให้ความเคารพคุณหนูคนอื่นเพราะฐานะต่ำต้อยของตนเอง
ใครบ้างไม่อยากเป็นเช่นนั้น
และที่สำคัญ สาเหตุที่ทำให้ซ่งเจิ้งเหม่ยเกลียดชังอีกฝ่ายขั้นสูงสุดจนตัดสินใจลงมือเหี้ยมโหดหวังให้พี่สาวต่างมารดาผู้นี้ตายตกไปคือ....
นางกำลังจะได้หมั้นกับคุณชายซุนเชาหวา ผู้เป็นถึงคุณชายสามแห่งตระกูลขุนนางชั้นสูง
พี่สาวนางได้หมั้นเพียงเพราะทางตระกูลนั้นต้องการเกี่ยวดองกับท่านพ่อจึงส่งแม่สื่อมาสอบถามถึงบุตรีคนโตสุดที่ยังไม่ได้แต่งงาน
ซ่งเจิ้งเหม่ยบังเอิญได้ยินเรื่องนี้จากห้องหนังสือของบิดาขณะนางกำลังเดินนำแจกันใส่ดอกไม้ไปมอบให้ท่านพ่อ
ตระกูลที่ดีเช่นนั้น
การแต่งงานที่ดีขนาดนี้ ไยจึงต้องตกเป็นของสตรีที่มีดีแค่ชาติกำเนิดอย่างพี่สาวผู้นี้ด้วยเล่า
สตรีที่ทั้งโง่งม ตามคนไม่ทัน พูดแต่ละหนเหมือนกระซิบกับตัวเอง นิสัยอ่อนแอเปราะบางเช่นนั้นเหมาะสมกับสิ่งที่ดีขนาดนั้นได้อย่างไร
ซ่งเจิ้งเหม่ยกลับมาครุ่นคิดถึงเรื่องที่ได้ยินมาอย่างถี่ถ้วน....หากไม่มีพี่สาวโง่งมผู้นี้ของนาง การแต่งงานในครั้งนี้ย่อมตกเป็นบุตรีอีกคนอย่างนางเป็นแน่
โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากมารดาตนเองให้เสียเวลา
ซ่งเจิ้งเหม่ยจึงคิดแผนการหลอกล่ออีกฝ่ายให้เข้าร่วมการละเล่นซ่อนหาที่ป่าไม่ไกลจากหลังจวน โดยในการเล่นตาสุดท้ายนางเอ่ยปากให้ซ่งเจียซินปิดตาเป็นฝ่ายค้นหาอีกคน ก่อนที่นางจะยกไม้แข็งตีไปที่ศีรษะอีกฝ่ายจนสลบและปล่อยทิ้งไว้ที่ป่าแห่งนั้นก่อนหนีกลับมา
มีสองเหตุการณ์ที่ซ่งเจิ้งเหม่ยคาดการณ์เอาไว้
คือหนึ่งปล่อยให้สตรีผู้นั้นตายแล้วสัตว์ป่าลากศพไปกัดแทะ
สองคือให้ตายอย่าทรมานเพราะถูกสัตว์ป่าที่นั่นกัดกิน
หากแต่พอตกเย็นนางได้รับข่าวว่าสตรีที่ตนเองหวังให้ตายตามมารดาตัวเองไปเสียอยู่ที่เรือนของตนอย่างปลอดภัย นางจึงอยู่ไม่สุขด้วยเพราะเกรงกลัวความผิดมาถึงตัวจึงรีบเดินไปฟ้องมารดาเรื่องที่ซ่งเจียซินหายไปจากเรือนตลอดทั้งวันและให้มารดานำเรื่องมาแจ้งแก่บิดาอีกทีแทน
ไยพี่สาวผู้โง่เขลายังไม่ตายกันเล่า!
ดวงตาเคียดแค้นชิงชังถูกส่งออกมาให้พี่สาวต่างมารดาอย่างแรงกล้า
อย่างไรซ่งเจิ้งเหม่ยก็ไม่ยอมให้อีกฝ่ายแฉเรื่องที่นางชวนไปเล่นนอกจวนแน่ หญิงสาวจึงออกตัวฟ้องก่อนมีชัยไปกว่าครึ่ง
แถมซ่งเจิ้งเหม่ยใส่สีตีไข่เรื่องที่บิดาใส่ใจมากที่สุดลงไปเพิ่มด้วย
หึ นางคิดว่าในเมื่อไม่สามารถจัดการอีกฝ่ายให้หายไปจากโลกนี้ได้ อย่างน้อยทำลายชื่อเสียงอีกฝ่ายให้ย่อยยับไปเลยก็ดี
หากบิดาคิดว่าลูกสาวของตนถูกโจรจับไป นางคิดว่าบิดาต้องรู้สึกรังเกียจทั้งที่แม้ไม่มั่นใจก็ตามแต่เพื่อหน้าตาทางสังคมตนเองแล้วบิดาคงเลือกส่งสตรีเปื้อนโคลนไปยังวัดห่างไกลเมืองหลวงสักวัดอย่างแน่นอน
พี่สาวโง่งมตรงหน้านางนี้ตามไม่ทันอย่างแน่นอน
“จะ เจ้า ไม่ได้โดนพวกโจรลักพาตัวไปใช่หรือไม่”
ในแววตาของซ่งเข่อหานไร้ซึ่งร่องรอยของความห่วงใย ทว่าในทางกลับกันพอได้ยินประโยคซึ่งถือว่าร้ายแรงไม่น้อยสำหรับบุรุษขุนนางเช่นเขาที่ยึดถือหน้าตาของตนเองเป็นที่หนึ่งทำให้ท่าทีวิตกกังวลฉายชัดออกมา
ทางฝ่ายซ่งเจียซินที่พอเดินเข้ามาในเรือนใหญ่ ยังไม่ได้อธิบายสักหนึ่งแอะ ละครงิ้วโรงใหญ่ก็เริ่มทำการแสดง
บัดนี้นางกำลังยืนมองเข็มงสมาชิกในครอบครัวร่างเก่าอย่างต้องการเก็บรายละเอียดมาประติประต่อกับความทรงจำในสมองตนเองเวลานี้
บิดาไม่รัก
มารดาเลี้ยงและน้องสาวตีสองหน้า
ช่างเป็นครอบครัวที่สุขสันต์ยิ่งนัก
ซ่งเจียซินอยากรีบทำความปรารถนาของร่างเดิมให้เสร็จสิ้นเพื่อแลกกับร่างใหม่ชีวิตใหม่นี้โดยไว จะได้หลุดพ้นจากสิ่งแวดล้อมที่น่ารังเกียจเหล่านี้เสียที
“พี่ว่าน้องหญิงรองเข้าใจบางอย่างผิดแล้วกระมัง พี่หญิงเองไม่ได้เดินออกไปจากจวนแม้แต่ก้าวเดียว”
“ไม่จริง!” ซ่งเจิ้งเหม่ยเผลอตวาดออกมาอย่างร้อนรนพอรู้สึกตัวเองจึงค่อยปรับน้ำเสียงให้กลับมานุ่มนวลกว่าเก่า “พี่หญิงหายตัวไปตั้งแต่ช่วงสายจวบจนช่วงเย็น ถามบ่าวในจวนนี้ดูได้เลยเจ้าค่ะว่ามีใครเห็นพี่หญิงใหญ่บ้างวันนี้”
“จริงสิ เมื่อตอนกลางวันอี๋เหนียงยังเอ่ยถามบ่าวในครัวกลางอยู่เลยว่าไยกล่องบรรจุอาหารของเรือนเหลียนฮวาจึงเหมือนไม่ได้ถูกทานเลยสักนิด บ่าวผู้นั้นบอกว่าคุณหนูใหญ่ไม่ได้พำนักอยู่ที่เรือน ไม่ทราบว่าหมายความว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ”
เหลียงอี๋เหนียงเดินออกมาข้างหน้าด้วยท่าทีสำรวม แววตาแสดงออกถึงความอ่อนโยนผิดกับจุดประสงค์ของนางเองที่เอ่ยออกมาทั้งหมดนั้นเพื่อช่วยกางเกราะปกป้องบุตรีของตนและหันใบมีดคมเข้าหาซ่งเจียซิน
“เมื่อกลางวันข้าไม่ได้พำนักอยู่ที่เรือนจริงๆเจ้าค่ะท่านพ่อแต่ไม่ได้หมายความว่าข้าออกไปข้างนอกจวนอย่างที่น้องรองบอก ข้า....”
ซ่งเจียซินก้มหน้าลงเล็กน้อย ท่าทางราวกับคนลังเลไม่อยากพูดบางสิ่งบางอย่างออกมาทว่าจำเป็นต้องพูด
“แล้วเจ้าหายไปที่ใดมา ไยบ่าวในจวนไม่มีใครเห็นเจ้าเลยสักคน”
น้ำเสียงบิดาเจือปนไปด้วยโทสะจากการเห็นท่าทางอึกอักของบุตรีผู้นี้ของตนเองผนวกกับความเหนื่อยล้าจากการประชุมงานที่สำนักบริหารมาทั้งวันทำให้ชายชราอารมณ์ร้อนง่ายกว่าเก่าไม่น้อย
“ตั้งแต่ช่วงสายลูกอยู่ที่สระบัวข้างหลังจวนมาโดยตลอดเจ้าค่ะท่านพ่อ ด้วยเพราะธุระที่ลูกติดพันยังไม่เสร็จจึงละเว้นอาหารมื้อกลางวันเพื่อทำธุระสำคัญให้บรรลุก่อนเจ้าค่ะ”
“พี่หญิงใหญ่พูดปดแล้ว พี่หญิงใหญ่ไม่อยู่ที่จวนจะไปอยู่ที่สระบัวได้อย่างไรกัน พะ....”
“น้องรองไยจึงกล่าวเช่นนั้นเล่า หากน้องรองกับบิดาไม่เชื่อว่าลูกอยู่ที่สระบัวข้างหลังจวนจริงให้บ่าวเดินเข้ามาตรวจสอบที่ฐานรองเท้าลูกได้เลยเจ้าค่ะว่ามีโคลนเปียกติดอยู่หรือไม่ และเป็นดินแบบเดียวกับแถวสระบัว ไม่ใช่ดินแถวปีกข้างหน้าจวน”
ซ่งเจียซินถอดรองเท้าให้บ่าวแถวนั้นตรวจดู
“มีดินโคลนที่ยังเปียกหมาดๆ เปื้อนอยู่จริงเจ้าค่ะนายท่าน”
มันต้องแน่นอนอยู่แล้วเพราะซ่งเจียซินเดินกลับเข้าจวนมาทางข้างหลังจวนผ่านสระบัวจริงๆ
“ลูกเป็นคนพูดไม่ค่อยเก่งจึงทำให้น้องรองเข้าใจสิ่งที่ลูกบอกผิด แต่ลูกเองก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าไยสารจึงบิดเบือนไปขนาดนั้นเพราะไม่ใช่แค่ลูกที่ไปสระบัวหลังจวน น้องรองเองก็ไปด้วยกัน....”
ซ่งเจียซินขมวดคิ้วเหลือบมองน้องสาวต่างมารดาทีสลับกับบิดาตนเองทีอย่างไม่สบาย
ท่าทางตีสองหน้าเช่นนี้บอดี้การ์ดมือขวาของมาเฟียผู้มีหน้าที่หลักในการคุ้มครองเจ้านายเวลาเจรจาสัญญากับลูกค้าหลากหลายรูปแบบ บ้างต้องร่วมเล่นละครตีหน้าใสซื่อให้คู่ค้าตายใจว่าไม่รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของอีกฝ่าย บ้างก็ต้องคอยอ่านสีหน้าของพวกเขาเพื่อระวังตัวขณะทำงานให้เจ้านายเช่นนางในชาติที่แล้ว
เรื่องตีหน้าใสซื่อเล่าความเท็จนั้นไม่เกินกำลังเลยสักนิด
