สอง สองพี่น้องที่ไม่สนิท
“ลูกเป็นคนพูดไม่ค่อยเก่งจึงทำให้น้องรองเข้าใจสิ่งที่ลูกบอกผิด แต่ลูกเองก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าไยสารจึงบิดเบือนไปขนาดนั้นเพราะไม่ใช่แค่ลูกที่ไปสระบัวหลังจวน น้องรองเองก็ไปด้วยกัน....”
“..!!..”
หนนี้สตรีที่กำลังช่วยบีบนวดแขนบิดาตกใจจนเผลอออกแรงบีบมากเกินไป
“โอ๊ย! เอ๊ะ เจ้าลูกคนนี้ เนื้อคนนะไม่ใช่หมอนจึงได้บีบแรงแล้วไม่เจ็บ”
นายท่านของตระกูลเสมือนปลดปล่อยอารมณ์ไม่ดีสั่งสมมาทั้งวันรวมกับที่ต้องกลับมาแก้ปัญหาภายในบ้านตอนนี้ทั้งหมดใส่ลูกสาวสุดที่รักของตนเองโดยการสะบัดแขนใส่ซ่งเจิ้งเหม่ยที่ทำเขาเจ็บ
สะบัดแรงขนาดร่างบางปลิวกระเด็นลงไปนั่งแหมะอยู่บนพื้น รองเท้าหลุดออกมาจากเท้านาง
“ฮึก ท่านพ่อ ข้าเจ็บเจ้าค่ะ” น้ำตาของซ่งเจิ้งเหม่ยหล่นร่วงลงมาราวกับเปิดก๊อกสั่งได้ยามต้องการ
คนเป็นพ่อที่ไม่เคยเห็นน้ำตาบุตรีที่รักผู้นี้ง่ายดายมาก่อน จากที่ตอนแรกไม่พอใจจึงพยายามสงบอารมณ์ให้ใจเย็นลง แววตาลดความแข็งกร้าวทว่ายังคงเสียงแข็งกว่าตอนแรกอยู่ดี
“ลุกขึ้นเถอะเหม่ยเหม่ย”
ซ่งเจียซินเห็นเช่นนั้นอยากสำรอกอาหารออกมายิ่งนัก
ร่างนี้คนเก่าอยู่ในครอบครัวที่มีหัวหน้าตระกูลลำเอียงเช่นนี้มาตั้งนานได้อย่างไรหนอ ขนาดนางเพิ่งได้สัมผัสยังรู้สึกถึงความอยุติธรรมชัดเจนขนาดนี้
หากเป็นนางที่แสร้งบีบน้ำตาบ้างอีกฝ่ายจะใจอ่อนเช่นนี้บ้างหรือไม่นะ นางอยากรู้จริงๆ
ซ่งเจียซินยิ้มมุมปากออกมาและมองพวกเขาอย่างปลงๆก่อนเดินเข้าไปหยิบรองเท้าที่กระเด็นหลุดออกมาจากฝ่าเท้าของน้องสาวต่างมารดาขึ้นมาหงายพื้นรองเท้าด้านล่างให้คนอื่นดู
“นี่อย่างไรเจ้าคะหลักฐานที่ข้าบอกว่าซ่งเจิ้งเหม่ยเดินไปด้วยกันกับข้าที่สระบัว สังเกตว่าดินที่ติดรองเท้านางเป็นดินโคลนชนิดเดียวกันแต่แห้งกรังไปแล้วเพราะนางเดินไปกับข้าตั้งแต่ช่วงสาย...”
พาซ่งเจียซินคนเก่าเข้าป่าไป ตีหัวพี่น้องตนเองอย่างเลือดเย็นทำให้เลือดไหลออกมามากเกินไปจนสิ้นชีวี
เรื่องนั้นนางไม่มีหลักฐานพูดออกไปอาจกลายเป็นหันคมมีดเข้าหาตัวเองได้จึงต้องสร้างละครฉากใหม่ขึ้นมาแทน
แน่นอนว่าที่รองเท้าอีกฝ่ายย่อมมีดินโคลนเหมือนกันเพราะเดินผ่านสระบัวหลังจวนด้วยกัน
“นั่น รองเท้าของข้า”
“โอ๊ย”
ด้วยความร้อนรนมีชนักความผิดติดอยู่บนหลัง ซ่งเจิ้งเหม่ยจึงรีบดึงรองเท้าในมือฝ่ายตรงข้ามอย่างแรงจนพี่สาวซึ่งเป็นบุตรีสายหลักล้มลงไป หัวเข่ากระแทกพื้นส่งเสียงร้องออกมาสร้างความตกใจให้กับทั้งนายและบ่าวโดยรอบที่อยู่ในเหตุการณ์อย่างยิ่ง
แม้ว่าคนเป็นหัวหน้าตระกูลควบกับตำแหน่งบิดาจะรักลูกสาวไม่เท่ากันทว่าอย่างไรยุคสมัยนี้ขุนนางทุกคนยึดขนบธรรมเนียมปฏิบัติตามคำสอนเหนือสิ่งอื่นใดอยู่แล้ว
ยิ่งสำหรับซ่งเข่อหานที่ตั้งแต่หนุ่มนั้นอ่านตำรามากมาย ทั้งนับถือในคำสอนเพราะทำให้เขามีการงานมั่นคงเติบโตมีหน้ามีตาได้ทุกวันนี้จึงยิ่งยึดถือเรื่องเหล่านี้มากเข้าไปใหญ่
หากคนใช้ในเรือนที่เห็นแล้วนำไปแพร่งพรายเรื่องเขาไม่สั่งสอนบุตรีให้ดี ปล่อยให้ลูกเมียน้อยกล้ารังแกลูกเมียหลวงเช่นนี้ออกไปสู่ข้างนอกมีหวังชื่อเสียงขุนนางผู้ทรงคุณธรรมของเขาเสียหายหมดแน่ ดังนั้นซ่งเข่อหานจึงเดินเข้าไปยกฝ่ามือตบหน้าลูกสาวคนโปรดเพื่อต้องการเตือนสตินางและเป็นการแสดงจุดยืนในทรงคุณธรรมของตนเองต่อหน้าคนอื่นคราวเดียวกัน
เพี๊ยะ!
“เจ้ากล้าผลักพี่สาวองตัวเองอย่างนั้นรึ”
“ข้า ข้า ฮึก ลูกไม่ได้ตั้งใจเจ้าค่ะ ลูกผิดไปแล้ว ลูก....ฮึก”
“หยุดร้องไห้เดี๋ยวนี้ หากเจ้าร้องอีกข้าจะตบให้ปากแตกทีเดียว”
“อะ เอ่อ นายท่านเจ้าคะ ข้าน้อยว่าเหม่ยเหม่ยคงไม่ได้ตั้งใจผลักคุณหนูใหญ่หรอกเจ้าค่ะ เจ้า เข้ามาช่วยดูคุณหนูใหญ่หน่อยซิว่าไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะเหลียงอี๋เหนียง”
