หากหาไม่พบ
“เจ้าค่ะเหลียงอี๋เหนียง”
บ่าวรู้งานคนของเหลียงอี๋เหนียงรีบเข้ามาช่วยพยุงซ่งเจียซินอย่างเบามือ ซึ่งซ่งเจียซินเองยอมลุกขึ้นอย่างว่าง่ายขณะเหลือบตามองภรรยาน้อยของบิดาที่ดูท่ามีความคิดความอ่าน และใจเย็นกว่าลูกสาวของตนเองมากนักอย่างวิเคราะห์
เหลียงหลินฮวาดูท่าไม่รู้ว่าลูกสาวตนเองเผลอทำสิ่งโง่งมขนาดวางแผนสังหารพี่สาวตัวเองโดยไม่คิดหน้าคิดหลังเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นสตรีผู้นี้คงไม่ยอมให้ลูกสาวตนเองลงมือทำ
เพราะหากร่างนี้ตายไปจริงๆและแม้ว่าศพถูกสัตว์ป่ากินไปแล้วก็ตาม ทว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายดายแค่ว่าลูกสาวสายตรงไร้มารดาปกป้องจู่ๆ หายตัวไปแล้วเรื่องจะจบ ต้องคำนึงถึงด้วยอีกว่าคนข้างนอกจะคิดอย่างไรต่อเรื่องนี้ลามไปยันเรื่องต้องถึงทางการเพื่อสืบหาตัวบุตรีสายตรง
หากหาตัวไม่พบ
คนข้างนออกจะไม่มีใครคิดว่าเป็นแผนร้ายของคนในครอบครัว คนที่ได้ประโยชน์จากการหายตัวไปของร่างนี้มีอยู่ไม่กี่คนหรอกซึ่งก็คือพวกอนุภรรยาและทายาทอย่างพวกนาง
ซ่งเจิ้งเหม่ยผู้นี้คงคิดว่าวิธีการของตนเองชาญฉลาดล่ะสินะ
แท้จริงแล้วในทางกลับกันวิธีของนางนั้นโง่และบ้าสิ้นดี
สตรีหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูผู้นี้เก่งเพียงอย่างเดียวคือเล่นละครเป็นคุณหนูแสนดีต่อหน้าบิดาเก่ง ออดอ้อนออเซาะเก่ง ทว่าเนื้อจริงแล้วเป็นคนใจร้อนโดนนางกระตุ้นเข้าหน่อยก็หลุดบทบาทอย่างง่ายดายเสียอย่างนั้น
ศัตรูที่น่ากลัวสำหรับนางไม่ใช่น้องสาวต่างมารดาผู้นี้ ทว่าเป็นมารดาของนางต่างหากเล่าที่ขนาดเห็นบุตรีของตนเองโดนตบหน้ายังคงสามารถแสดงท่าทีใจเย็นเช่นนี้ได้
“คุณหนูใหญ่ไม่บาดเจ็บตรงไหนเจ้าค่ะนายท่าน”
“เรื่องนี้คงเป็นความเข้าใจผิดเล็กน้อยระหว่างพี่น้องเจ้าค่ะนายท่าน ไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดทำให้นายท่านต้องมาสุขภาพจิตไม่ดีไปด้วย”
ได้ยินเช่นนั้นหัวหน้าของตระกูลก็เบาใจลง จึงลดฝ่ามือที่ง้างขึ้นมาขู่บุตรีของตนเองลง
“น้องรองไม่ได้ตั้งใจหรอกเจ้าค่ะท่านพ่อ เป็นข้าที่ผิดเองไม่ได้แจ้งเหลียงอี๋เหนียงจึงทำให้คนในจวนวุ่นวายเช่นนี้”
“ฮึก...ฮึก....ฮือ....”
ขณะพูดนางหันหน้าไปสบตากับซ่งเจิ้งเหม่ยที่ครานี้ร่ำไห้ออกมาจริงๆจนตาแดงพอๆกับแก้มบวมอลึ่งฉึ่ง พออีกฝ่ายสบตากับนางก็พลันตัวสั่นและร้องไห้ออกมาดังกว่าเดิม
“ช่างเถอะ เรื่องในวันนี้อาจเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน”
นายท่านของจวนกล่าวตัดบททว่าสตรีข้างกายชายชรากลับไม่ยอมง่ายๆ
เหลียงอี๋เหนียงหันใบหน้าเกลี้ยงเกลามาทางลูกเลี้ยงตนเองแย้มยิ้มบางอย่างอ่อนโยนขณะริมฝีปากเอ่ยสอบถามซ่งเจียซิน ส่วนมือของนางก็ไม่ลืมลูบแผ่นหลังปลอบโยนบุตรีของตนเองอย่างแผ่วเบา
“ว่าแต่ธุระอันใดสำคัญขนาดนั้นกันเจ้าคะคุณหนูใหญ่ อี๋เหนียงคิดว่าสุขภาพของคุณหนูใหญ่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใดนะเจ้าคะ การงดมื้ออาหารอาจส่งผลต่อสุขภาพในระยายาวได้เชียว”
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเดาออกมานางกำลังเล่าความเท็จทำให้บุตรีของตนเองตกดุด่าจึงหันกลับมาเล่นงานสอบถามลงรายละเอียดกับซ่งเจียซินหมายต้อนให้จนมุม
ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกเหลียงอี๋เหนียงเอ๋ย นางไม่ใช่สตรีอ่อนแอคนเก่าที่ยอมโดนคนพวกนี้โขกสับเสียหน่อย
ซ่งเจียซินส่งยิ้มอ่อนโยนละมุนละแบบถอดพิมพ์เดียวกับที่อีกฝ่ายส่งมาให้ยิ้มกลับไป
“สำคัญมากเจ้าค่ะเหลียงอี๋เหนียง หลายวันมานี้ข้าเห็นว่าท่านพ่อทำงานหนัก ออกจากจวนตอนเช้าตรู่ กลับมาที่จวนตอนเย็นตะวันแทบลับขอบฟ้า เป็นเช่นนี้ทุกวันจึงมีความคิดอยากทำน้ำแกงเม็ดบัวให้ท่านพ่อทานสักหน่อย
เมื่อวันก่อนบ่าวที่เรือนของข้าบอกว่าบัวที่สระท้ายจวนโตเต็มที่แล้ว วันนี้ถือโอกาสเหมาะสมจึงไปเก็บเม็ดบัวมาทำน้ำแกงเจ้าค่ะ
หากแต่ข้าไม่คิดเลยว่าความคิดน้อยของข้าจะทำให้น้องรองเข้าใจผิดเช่นนั้น”
ซ่งเจียซินเอ่ยจบก็แสร้งก้มหน้าลงเหมือนคนจะร้องไห้ทำเอาซ่งเข่อหานที่ขึ้นเสียงไปในตอนแรกเพราะเข้าใจผิดรู้สึกผิดไม่น้อยจึงเดินเข้ามาลูบศีรษะบุตรีคนโตที่เมื่อก่อนเขาหมางเไม่นเนื่องจากนางเป็นสตรีพูดคุยไม่เก่ง เขาเองก็ชวนคุยไม่เก่ง เวลาอยู่ด้วยกันแล้วเขารู้สึกอึดอัดรำคาญใจผิดกับบุตรีคนรองที่ทั้งคุยสนุก สดใสร่าเริงและช่างออดอ้อน
“โถ่....จริงหรือ”
“เจ้าค่ะ ข้าเพิ่งอ่านเจอในตำราว่าน้ำแกงเม็ดบัวรสชาติหวานละมุน ช่วยบำรุงหัวใจให้สดชื่น อีกทั้งสามารถช่วยสงบจิตใจและบรรเทาอาการประสาททำให้สุขภาพร่างกายโดยรวมดีขึ้นด้วยนะเจ้าคะ วันนี้ลูกเก็บปริมาณมากพอแล้ว เอาไว้วันพรุ่งนี้ลูกทำให้รับประทานนะเจ้าคะท่านพ่อ”
“ได้สิ”
“แล้วแผลเป็นที่ศีรษะเล่าเจ้าคะคุณหนูใหญ่ ไปได้มาได้อย่างไรกัน”
ขณะสองพ่อลูกสนทนาดูท่าทางสนิทสนมกันมากกว่าแต่ก่อนอย่างเห็นได้ชัด ทำให้มีคนร้อนรนยิ่งไม่ยอมรามือให้จบลงเช่นนี้ได้โดยง่าย
กัดไม่ปล่อยจริงๆ สตรีของบิดาร่างเก่าผู้นี้
หากแต่นางจะรู้ไหมหนอ...เพราะลูกสาวของนางนั่นแหละเป็นคนใช้ไม้สร้างแผลนี้ให้
แน่นอนว่าตัวคนทำรู้ดีแก่ใจพอได้ยินถึงกับร้องไห้โฮดังกว่าเดิมอย่างหวาดกลัวความผิดในใจ
“อ๋อ บาดแผลนี้น่ะหรือเจ้าคะ...”
“....”
“ถามน้องรองดูก็ได้นะเจ้าคะว่าไยข้าจึงได้บาดแผลนี้มาเพราะตอนข้าบาดเจ็บน้องรองเองก็เห็นด้วย”
“ฮึก ไม่....ข้าไม่อยากรู้ ฮึก....”
เวลานี้ซ่งเจิ้งเหม่ยพ่ายแพ้ราบคาบ นางไม่เคยโดนบิดาตวาดและลงไม้ลงมือมาก่อน ที่ผ่านมามีแต่นางที่เห็นพี่สาวตัวเองโดนลงโทษโดยสามเหตุมาจากการใส่ร้ายของตัวเองบ่อยๆ
เวลานี้โดนตบเป็นครั้งแรกสติจึงเปิดโปงหายวับไปหมดเสียแล้ว
แววตาที่บิดามองมาที่นางช่างน่ากลัวเหลือเกิน
โชคดีที่ซ่งเข่อหานหันหลังจึงไม่เห็นท่าทางร้อนตัวของลูกสาวคนโปรดของตน
“ไยจึงเกี่ยวกับเหม่ยเหม่ยอีก...”
“ความจริงเป็นเพียงอุบัติเหตุเจ้าค่ะ ที่สระบัวมีเสาไม้ปักอยู่ ตอนขึ้นมาจากสระบัวข้าซุ่มซ่ามศีรษะโขกเสาไม้เอง”
“งะ....งั้นรึเจ้าคะ เช่นนั้นเดี๋ยวข้าให้บ่าวนำยาทาคุณภาพดีไปส่งที่เรือนนะเจ้าคะคุณหนูหนูใหญ่”
ทีอย่างนี้ล่ะตัดบทเร็วเชียว
เหลียงอี๋เหนียงผู้นี้คงสังเกตอาการของบุตรีได้จึงไหวตัวทันไม่ถามซอกแซกต่อ
ซ่งเข่อหานเองก็รู้สึกเหนื่อยล้ามาตั้งนานแล้ว ครานี้จึงโบกมือสั่งการให้ทุกคนแยกย้ายกับเรือนของตนเองไปอย่างหมดแรง
ซ่งเจียซินเองก็เดินออกมาจากเรือนใหญ่เช่นกัน นางเลือกเบนทิศทางเท้าของตนเองไม่ใช่ไปในเส้นทางกลับเรือนเหลียนฮวาของตน
ทว่านางกำลังเดินไปเรือนต้ารี่ เรือนของน้องชายร่วมมารดากับร่างนี้
ซ่งจางห้าว
น้องชายวัยสิบเอ็ดหนาวบุคคลสำคัญที่วิญญาณร่างเดิมฝากฝังให้นางปกป้องคุ้มครองก่อนยกร่างนี้ให้วิญญาณนางนั่นเอง
วันนี้ขอเดินไปเยี่ยมเยียนดูหน้าค่าตาหน่อยซิ
หากทำความปรานานี้ได้สำเร็จโดยเร็วนางจะได้เป็นอิสระทางจิตใจกับวิญญาณร่างนี้
วันข้างหน้านางจะได้ออกไปใช้ชีวิตค้นหาสิ่งที่ต้องการทำแท้จริงในโลกใหม่นี้สักที
ซ่งเจียซินเดินไปถึงเรือนต้ารี่ บ่าวในเรือนคุ้นหน้านางดีอยู่แล้วย่อมรู้ว่านางเป็นพี่สาวของเจ้าของเรือนจึงอำนวยสะดวกพานางและซวงอี๋เดินเข้าไปรอข้างใน
ไม่นานเด็กชายตัวสูงประมาณอกของซ่งเจียซินก็เดินหน้าบึ้งออกมา ข้างหลังเด็กน้อยมีบ่าววัยกลางคนท่าทางยโสโอหังเดินตามมาด้วยอีกคน
สตรีผู้นี้นามว่าอันใดนะ....
ช่างเลือนลางในความทรงจำร่างเดิมเสียเหลือเกิน
“นั่น เจ้านามว่าอันใดนะ”
“....”
ทันทีที่เสียงใสกังวานเอ่ยถามขึ้น ทั้งบ่าวและนายในเรือนแห่งนั้นพลันมองหน้าไปมาสบกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ทำไมถึงเงียบราวกับตกตะลึงกันเล่า ซ่งเจียซินเพียงออกปากถามชื่อบ่าวคนหนึ่งในเรือนที่เห็นว่าคอยดูแลน้องชายร่วมอุทรนางก็เท่านั้นนี่
“ข้าหรือเจ้าคะ”
“ใช่”
“นางคือแม่นมคนสำคัญของข้า ไยพี่หญิงใหญ่จึงจำไม่ได้ ข้าไม่รู้หรอกนะว่าพี่หญิงต้องการสิ่งใดจึงมาหาข้าเวลานี้ แต่อย่ามาหาเรื่องคนของข้า”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะคุณชายสี่ ข้านามว่าหลิงจี”
อ๋อ....แม่นม หลิ่งจี
ซ่งเจียซินหลี่ตามองสตรีตรงหน้าที่แม้แต่งกายด้วยชุดสีอ่อนเหมือนบ่าวคนอื่นทว่าเนื้อผ้ามองจากระยะสายตาตอนนี้ของนาง...เป็นผ้าเนื้อดี
ซ่งเจียซินเก็บสายตากลับมาก่อนหันมาสบกับน้องชายจอมอารมณ์ร้อน เพราะเด็กผูนี้กำเนิดเป็นบุรุษเพศจึงโดนตามใจตั้งแต่เด็ก นิสัยจึงได้กลายเป็นไม่เห็นหัวพี่สาวแท้ๆ อย่างเช่นนี้
หากแต่ในความทรงจำของร่างเดิมเดี่ยวกับน้องชายคนนี้นั้นนอกจากเรื่องราวความเย็นชา ความไม่สนิทกันระหว่างพี่น้องร่วมอุทรแล้ว นอกนั้นก็เป็นของขวัญ เป็นกิจกรรมที่อีกฝ่ายชื่นชอบ
ร่างเดิมรักน้องชายผู้นี้สุดหัวใจเพราะก่อนมารดาสิ้นใจลงได้ฝากฝังให้พี่สาวคนโตทำหน้าที่ดูแลน้องชายคนเดียวผู้นี้อย่างสุดความสามารถนั่นเอง
“พี่หัวไม่ค่อยดีเช่นน้องชายอย่างเจ้านี่ ลืมเลือนไปบ้างเป็นเรื่องธรรมดา”
เมื่อนางเห็นสีหน้าน้องชายค่อยดูดีดูใจเย็นลงจึงค่อยพูดต่อ “ที่พี่มาวันนี้เพื่อนำของขวัญมาให้เจ้าต่างหากเล่า ไม่อยากได้หรือ”
พอเด็กได้ยินสิ่งที่น่าตื่นเต้นอาทิเช่นของขวัญ แววตาของเด็กน้อยตรงหน้านางเปล่งประกายออกมาอย่างชัดเจน
“ของขวัญรึ ของขวัญอะไร”
“นั่นอย่างไร บ่าวของพี่กำลังยกเดินเข้ามาในเรือนอยู่”
ตอนเดินออกมาจากเรือนใหญ่ นางให้สาวใช้คนหนึ่งของตนเองไปหยิบถุงผ้าห่อกองหนังสือกองหนึ่งที่ร่างเดิมเคยซื้อเอาไว้หมายนำมาให้น้องชายของนางนี่แหละ ทว่าที่ยังไม่ได้มอบให้เสียทีเพราะนางไม่กล้านำมาให้นั่นเอง
หากเก็บไว้ที่เรือนเหมือนเดิมดูเป็นการน่าเสียดายจนเกินไป จากที่นางได้เปิดตรวจสอบดู มีตำราที่มีประโยชน์หลายเล่มเชียวซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งกับน้องชายที่ชื่นชอบการอ่านหนังสือ ขวักไขว่เรียนรู้ด้วยตัวเองผู้นี้
เฮ้อ คิดไปคิดมานิสัยของร่างเดิมช่างขี้อาย และใจฝ่อเสียจริง
ครั้นคิดในมุมกลับกันก็นับว่าดีไม่น้อย นางจะได้นำมาเป็นของขวัญมาเยี่ยมในครั้งนี้พอดี
“พวกนางยกกองหนังสือมาหรือ”
“หลายวันก่อนพี่เข้าไปเดินตลาดจึงซื้อตำราความรู้มาฝากเจ้า ลองไปคัดเลือกดูนะว่าชอบหรือไม่”
“ขอรับ ขอบพระคุณพี่หญิงใหญ่”
ซ่งเจียซินยกยิ้มพอใจเมื่อสามารถเริ่มค่อยๆกระชับความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องให้ใกล้มากขึ้นได้สำเร็จขั้นแรกแล้ว
หากแต่รอยยิ้มนางพลันจางหายไปทันทีเมื่อเห็นแม่นมชราของน้องชายก้มลงมากระซิบกระซาบอันใดบางอย่างข้างหูซ่งจางห้าวจนทำให้รอยยิ้มสดใสของเด็กน้อยหุบลงทันที
“พี่หญิงให้ของขวัญข้าแลกกับสิ่งใดหรือไม่”
“หืม? พี่ให้เพราะเจ้าเป็นน้องชาย ไยจึงต้องการสิ่งใดจากเจ้าด้วย”
“พูดแล้วไม่คืนคำ เช่นนั้นข้าให้บ่าวของข้านำของไปเก็บแล้วนะ ส่วนวันนี้หากพี่หญิงไม่มีธุระใดกับข้าอีก ข้าขอตัวเข้าเรือนนอนก่อนนะขอรับ”
พูดจบเด็กน้อยก็เดินนำบ่าวขนของขวัญของนางเดินเข้าเรือนตนเองไปโดยไม่รอคำอนุญาตของพี่สาวอย่างนาง
ซ่งเจียซินมองตามร่างเล็กของน้องชายไปจนลับตา ไร้ซึ่งคำพูดใดใดทั้งสิ้นก่อนหมุนตัวเดินออกจากเรือนต้ารี่อย่างเงียบงัน
“หวงอี๋ เจ้าหาบ่าวคอยจับตามองแม่นมหลิ่งจีให้ข้าที”
“เจ้าค่ะคุณหนูใหญ่”
