ตอนที่ 2 หญิงหม้าย
ตอนที่ 2 หญิงหม้าย
ตามคำบอกเล่าของหลินหยวน จื่ออันหลานเป็นหญิงหม้ายที่สามีสูญหายไปเมื่อสองปีก่อน นางต้องเลี้ยงดูลูกสองคนด้วยการรับจ้างทำงานในไร่นาของคนอื่น เก็บฟืนขาย และปักผ้าขายในยามว่าง ชีวิตของพวกเขายากลำบากมาก แทบไม่มีเงินเหลือพอที่จะซื้ออาหารให้อิ่มท้องในแต่ละวัน
พิมพ์ลดาพยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด เธอไม่รู้ว่าทำไมวิญญาณของเธอถึงได้มาอยู่ในร่างของจื่ออันหลาน แต่ตอนนี้เธอคงต้องรับผิดชอบชีวิตของเด็กน้อยทั้งสองคนนี้เสียแล้ว
“ท่านแม่ยังไม่หายดี พักผ่อนก่อนเถอะ” หลินหยวนพูดพลางดึงผ้าห่มเก่าๆ มาห่มให้พิมพ์ลดา “ข้าจะไปเตรียมข้าวต้มให้แม่กิน”
เมื่อเด็กทั้งสองออกไป พิมพ์ลดาจึงมีโอกาสสำรวจร่างใหม่ของตัวเอง เธอลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลและเดินไปที่กระจกทองเหลืองเล็กๆ ที่แขวนอยู่บนผนังกระท่อม
ใบหน้าที่สะท้อนกลับมาทำให้เธอตกใจ นี่ไม่ใช่ใบหน้าสวยหวานของเธอ แต่เป็นใบหน้าของหญิงวัย 28 ปีที่ดูอิดโรย ดวงตาเฉี่ยวและคมได้หมองลงเพราะความทุกข์ยาก
“จื่ออันหลาน...” พิมพ์ลดาพึมพำกับตัวเอง “ตอนนี้ฉันคือเธองั้นหรือ?”
พิมพ์ลดานั่งลงบนเสื่อ พยายามทำความเข้าใจกับสถานการณ์ทั้งหมด เธอจำได้ว่าทุเรียนตกใส่ศีรษะ และเธอคงจะ... ตายไปแล้ว แต่แทนที่จะไปสู่ภพภูมิอื่น วิญญาณของเธอกลับมาอยู่ในร่างของจื่ออันหลานแทน ไม่รู้ว่าตอนนี้พ่อกับแม่จะเป็นยังไงบ้าง พวกท่านต้องเสียใจมากแน่ๆ
“ท่านแม่...” เสียงของหลินหยวนดังขึ้นพร้อมกับกลิ่นหอมของข้าวต้ม “ข้าวต้มเสร็จแล้ว ท่านแม่กินหน่อยนะ”
พิมพ์ลดารับชามข้าวต้มมาด้วยความแปลกใจที่เด็กอายุเพียงแค่เก้าขวบ ก่อไฟทำอาหารเป็นแล้ว ถึงมันจะเป็นข้าวต้มธรรมดาที่มีเพียงเกลือและผักป่าเล็กน้อย แต่กลิ่นหอมของมันทำให้เธอรู้สึกหิว เพราะร่างกายนี้ไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน
“ขอบใจ เจ้าเก่งมาก” พิมพ์ลดาตอบ พยายามทำตัวให้เหมือนแม่ของเด็กๆ ให้มากที่สุด
ขณะที่กินข้าวต้ม พิมพ์ลดาสังเกตเห็นสายตาของเด็กทั้งสองที่มองมาด้วยความหิวโหย
“พวกเจ้าไม่กินหรือ?” เธอถาม
“พวกเรากินแล้ว” หลินหยวนตอบ เห็นได้ชัดว่าเด็กหญิงโกหก
“มานี่” พิมพ์ลดาเรียกเด็กทั้งสองให้เข้ามาใกล้ๆ “พวกเรากินด้วยกัน”
เธอแบ่งข้าวต้มให้เด็กทั้งสอง แม้ว่าข้าวต้มนั้นน้อยเกินกว่าจะเลี้ยงสามชีวิตให้อิ่มท้อง
“แม่ต้องกินให้มากๆ จะได้หายป่วยเร็วๆ” หลินหยวนพูด
พิมพ์ลดามองไปรอบๆ กระท่อม “พวกเราอยู่กันแค่สามคนใช่ไหม?”
“ใช่” ซืออี้ตอบ “มีแค่แม่ พี่สาว และข้า”
“แล้วญาติพี่น้องล่ะ?” พิมพ์ลดาถาม
“พ่อเป็นลูกกำพร้า ไม่มีญาติพี่น้อง” หลินหยวนตอบ
พิมพ์ลดาพยักหน้า เริ่มเข้าใจสถานการณ์มากขึ้น
“พวกเจ้าไปเรียนหนังสือหรือไม่?”
เด็กทั้งสองส่ายหน้า
“พวกเราไม่มีเงินพอ” หลินหยวนตอบ “แต่แม่สอนให้พวกเราอ่านหนังสือได้บ้าง”
แสดงว่าอันจื่อหลานต้องเคยเรียนหนังสือมาก่อนถึงจะสอนลูก ๆ ได้ ไม่แน่ดูจากรูปร่างหน้าตาของอันจื่อหลานแล้วคงไม่ใช่บุตรสาวชาวบ้านธรรมดาทั่วไป
หญิงสาวมองไปรอบๆ กระท่อมอีกครั้ง หลังคามีรอยรั่ว ผนังมีช่องโหว่ให้ลมพัดผ่านเข้ามาได้ ถ้าฝนตกหนัก น้ำคงไหลเข้ามาในบ้านแน่นอน
“ท่านแม่คิดอะไรอยู่หรือ?” หลินหยวนถาม ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล
จื่ออันหลานยิ้มให้เด็กหญิง “แม่กำลังคิดว่าเราต้องซ่อมบ้าน”
“แต่เราไม่มีเงินนะ” หลินหยวนตอบเสียงเบา
"ไม่เป็นไร...พรุ่งนี้เราจะขึ้นเขาไปหาเก็บของป่าไปขาย" พิมพ์ลดาเอ่ยด้วยสีหน้ามั่นใจ
"แต่ท่านแม่ยังไม่หายดี" ซืออี้ทักท้วงทันที ใบหน้าเล็กๆ เต็มไปด้วยความกังวล
"แม่รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว"
เธอมองไปที่ถ้วยข้าวต้มที่แทบจะว่างเปล่า ในใจนึกสงสัยว่าพวกเขาจะมีอาหารกินในวันพรุ่งนี้หรือไม่
"ตกลง" หลินหยวนยอมรับในที่สุด แม้จะยังมีความกังวลปรากฏอยู่บนใบหน้า "แต่ถ้าท่านแม่รู้สึกไม่สบาย พวกเราต้องกลับบ้านทันทีนะ"
"แน่นอน" พิมพ์ลดาตอบพร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่น
เมื่อเด็กทั้งสองเริ่มเก็บชามและทำความสะอาด พิมพ์ลดาลุกขึ้นยืนอย่างระมัดระวัง ร่างกายนี้ยังคงอ่อนแอ เธอเดินไปรอบๆ กระท่อมเล็กๆ สำรวจทุกซอกทุกมุม
กระท่อมนี้มีเพียงห้องนอนห้องเดียว มีเตาไฟเล็กๆ อยู่ตรงมุมหนึ่ง มีเสื่อสำหรับนอนสามผืนวางอยู่อีกมุมหนึ่ง มีตู้ไม้เก่าๆ หนึ่งใบที่ดูเหมือนจะใช้เก็บเสื้อผ้า และมีโต๊ะไม้เตี้ยๆ ตัวเล็กอยู่ตรงกลางห้อง
พิมพ์ลดาเปิดตู้ไม้ออกดู พบเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่กี่ชุดส่วนใหญ่มีแต่รอยปะชุน
"ท่านแม่?" เสียงของหลินหยวนดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้พิมพ์ลดาสะดุ้ง "ท่านแม่กำลังดูอะไรอยู่หรือ?"
"ไม่มีอะไร แม่แค่กำลังดูว่ามีเสื้อผ้าอะไรบ้าง"
หลินหยวนมองมาที่มารดาด้วยสายตาสงสัย แต่ไม่ได้ถามอะไรต่อ
หลังจากชำระร่างกาย จื่ออันหลานก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาก ถึงแม้น้ำที่โอ่งหลังบ้านจะมีน้อยต้องใช้อย่างประหยัด นางเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่ดูดีที่สุดในบรรดาเสื้อผ้าที่มี
เมื่อค่ำคืนมาถึง พวกเขาปูเสื่อนอนและเตรียมตัวเข้านอน ไม่มีอาหารมื้อเย็น เพราะข้าวต้มที่กินตอนกลางวันเป็นอาหารเพียงมื้อเดียวที่พวกเขามี
