ตอนที่ 1 ทะลุมิติ
ตอนที่ 1 ทะลุมิติ
ท่ามกลางต้นทุเรียนสูงใหญ่ที่ออกผลดกเต็มต้น มีหญิงสาวร่างบางคนหนึ่งกำลังเดินสำรวลูกทุเรียนแต่ละต้น
พิมพ์ลดา หญิงสาววัย 25 ปี ผู้มีใบหน้าสวยหวานและดวงตากลมโตที่ซ่อนแววฉลาดไว้ภายใน เธอสวมเสื้อยืดแขนยาวกับกางเกงยีนส์ขายาว ผมยาวสีดำถูกมัดเป็นหางม้าอย่างง่ายๆ เพื่อความสะดวกในการทำงาน
พิมพ์ลดาเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัว หลังจากจบปริญญาตรีด้านการบริหารธุรกิจ เธอตัดสินใจกลับมาช่วยพ่อแม่ทำสวนทุเรียนที่เป็นมรดกตกทอดของคุณปู่
"พิมพ์! มาดูนี่หน่อย ทุเรียนที่เราทำแบบไร้หนามสุกแล้ว" เสียงของพ่อดังมาจากอีกฝั่งของสวน
"ค่ะพ่อ" พิมพ์ลดาตอบรับ ก่อนจะเดินตามเสียงเรียก
แต่ระหว่างทางเธอต้องผ่านบริเวณที่คนงานกำลังเก็บทุเรียนกันอย่างขะมักเขม้น
"ระวังหน่อยนะพี่แดง โยนให้ตรงๆ เดี๋ยวทุเรียนช้ำเสียหายหมด" เสียงของหัวหน้าคนงานตะโกนสั่งลูกน้องที่อยู่บนต้นทุเรียนสูงลิบ
พิมพ์ลดามองขึ้นไปบนต้นทุเรียนที่สูงเท่ากับตึกสองชั้น เห็นคนงานชื่อแดงกำลังตัดทุเรียนและโยนลงมาให้คนงานอีกคนที่ยืนรอรับอยู่ด้านล่าง ภาพนี้เป็นภาพที่คุ้นตาสำหรับเธอ
"คุณพิมพ์ ระวังนะครับ อย่าเดินใกล้บริเวณนี้" หัวหน้าคนงานเตือนเมื่อเห็นเธอเดินเข้ามาใกล้
พิมพ์ลดาโบกมือเป็นเชิงรับทราบ แต่เธอยังคงเดินต่อไป ด้วยความเคยชินกับสภาพแวดล้อม เธอไม่ได้คิดว่าจะมีอันตรายใดๆ
"เฮ้ย! ระวัง!" เสียงตะโกนดังขึ้นอย่างกะทันหัน
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินกว่าที่พิมพ์ลดาจะตั้งตัวได้ทัน เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมอง สิ่งที่เห็นคือทุเรียนลูกใหญ่กำลังร่วงหล่นลงมาตรงศีรษะของเธอพอดี
"อ๊าก!"
เสียงกรีดร้องของเธอดังขึ้นเพียงสั้นๆ ก่อนที่ความมืดจะเข้าปกคลุม ความเจ็บปวดแล่นวาบจากศีรษะลงมาตามแนวกระดูกสันหลัง แล้วทุกอย่างก็ดับวูบลง
เมื่อพิมพ์ลดาลืมตาขึ้นอีกครั้ง สิ่งแรกที่เธอสัมผัสได้คือกลิ่นอับชื้นของฟางข้าวและควันไฟ เธอพยายามขยับตัว
“แม่... แม่ฟื้นแล้ว!” เสียงเด็กผู้หญิงดังขึ้นข้างๆ
พิมพ์ลดาพยายามลืมตาให้กว้างขึ้น ภาพที่เห็นทำให้เธอสะดุ้ง เด็กหญิงตัวเล็กในชุดผ้าฝ้ายสีซีดจางกำลังมองเธอด้วยดวงตาเปี่ยมความห่วงใย ใบหน้าของเด็กหญิงเปื้อนฝุ่นและมีรอยเขม่าจางๆ
“แม่เป็นอะไรหรือเปล่า?” เด็กหญิงถามด้วยภาษาจีนโบราณ แต่แปลกที่พิมพ์ลดากลับเข้าใจความหมาย ทั้งที่เธอไม่เคยเรียนภาษาจีนมาก่อน
พิมพ์ลดาพยายามลุกขึ้นนั่ง และเมื่อมองลงไปที่ร่างของตัวเอง เธอก็แทบหยุดหายใจ นี่ไม่ใช่ร่างของเธอ! มือที่เคยเรียวสวยกลับหยาบกร้าน เสื้อผ้าที่สวมใส่เป็นชุดผ้าฝ้ายสีน้ำตาลซีดจาง ไม่ใช่เสื้อยืดแขนยาวกับกางเกงยีนส์ที่เธอสวมอยู่ก่อนหน้านี้
“หนูเรียกฉันว่าอะไรนะ?” พิมพ์ลดาถามออกไป เสียงที่ออกจากปากกลับไม่ใช่ภาษาไทยที่เธอตั้งจใจจะพูด
“แม่ล้อเล่นหรือ? หรือว่าไข้ทำให้แม่เพ้อ?” เด็กหญิงยื่นมือมาแตะหน้าผากของเธอ “ไข้ลดลงแล้ว แต่แม่ยังดูแปลกๆ”
ในขณะที่พิมพ์ลดากำลังพยายามทำความเข้าใจกับสถานการณ์ ก็มีเด็กชายอีกคนวิ่งเข้ามาในห้อง
“พี่หลินหยวน! แม่ฟื้นแล้วหรือ?” เด็กชายถามพลางมองมาที่พิมพ์ลดาด้วยความโล่งอก
“ใช่ แต่ท่านแม่ดูแปลกๆ เหมือนจำพวกเราไม่ได้”
พิมพ์ลดามองไปรอบๆ ห้อง นี่คือกระท่อมและมีข้าวของเครื่องใช้เพียงไม่กี่ชิ้น
“ที่นี่...คือที่ไหน?” พิมพ์ลดาถามออกไป
“ท่านแม่ยังไม่หายดีแน่ๆ” หลินหยวนพูดกับน้องชาย “ซืออี้ ไปตักน้ำมาให้ท่านแม่ดื่มหน่อย”
เด็กชายที่ชื่อซืออี้รีบวิ่งออกไปทันที
“นี่บ้านของเราเองนะ” หลินหยวนค่ย ๆ อธิบาย “แม่ล้มป่วยมาสามวันแล้ว หลังจากที่ไปเก็บฟืนในป่าและถูกฝน”
พิมพ์ลดาพยายามนึกทบทวน เธอจำได้ว่าตัวเองอยู่ในสวนทุเรียน กำลังจะเดินไปหาพ่อ แล้วคนงานก็โยนทุเรียนพลาด ทำให้ทุเรียนลูกนั้นกระแทกศีรษะของเธอเข้าย่างแรง... หลังจากนั้นเธอก็มาอยู่ที่นี่ ในร่างของใครก็ไม่รู้
“เจ้าชื่อหลินหยวน?”
เด็กหญิงพยักหน้า "ใช่แล้ว ท่านแม่จำได้แล้วหรือ? ข้าคือหลินหยวน เป็นลูกสาวของท่าน อายุเก้าขวบ และนั่นคือซืออี้ อายุเจ็ดขวบ"
ซืออี้กลับเข้ามาพร้อมชามน้ำ เขาเดินอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้น้ำหกเลอะเทอะ
"ขอบใจจ้ะ" พิมพ์ลดารับชามน้ำมาดื่ม น้ำมีรสจืดและเย็น ช่วยให้เธอรู้สึกสดชื่นขึ้นเล็กน้อย
เด็กทั้งสองมองเธอด้วยความสงสัย พิมพ์ลดาสังเกตเห็นว่าพวกเขาทั้งคู่มีใบหน้าคล้ายคลึงกันมาก ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้ม ผิวขาวเหลือง และจมูกโด่งเล็กๆ ที่ดูน่ารัก ถึงหลินหยวนจะเกิดก่อนน้องชายสองปี แต่กลับสูงกว่าน้องชายไม่มาก
เด็กหญิงพยักหน้า “ใช่แล้ว ท่านแม่จำได้แล้วหรือ? ข้าคือหลินหยวนเป็นลูกสาวของท่าน"
“แล้วฉัน...เอ่อข้าเป็นใคร?” พิมพ์ลดาถามออกไป
เด็กทั้งสองมองหน้ากันด้วยความกังวล
“ท่านแม่ชื่อจื่ออันหลาน” หลินหยวนตอบ
“แล้วพ่อของพวกเจ้าเล่าไปไหน?” พิมพ์ลดายังคงถามไม่หยุดเพราะเธอไม่มีความทรงจำของร่างนี้เลย
“เมื่อสองปีก่อน จู่ ๆ ท่านพ่อก็หายตัวไป” หลินหยวนอธิบายด้วยน้ำเสียงเศร้า “แม่เลี้ยงดูพวกเราสองคนมาตลอด...”
"ฉัน...เอ่อแม่จำอะไรไม่ค่อยได้... เจ้าช่วยเล่าเรื่องของพวกเราให้แม่ฟังได้ไหม?”
เด็กหญิงนั่งลงข้างๆ มารดา “รอบนี้ท่านแม่ป่วยหนักจริงๆ สินะ...ถึงได้ลืมเรื่องราวทั้งหมด ไม่เป็นไร ข้าจะเล่าให้ฟัง”
