บทที่ 6 เจรจาการค้าโสมป่า
บทที่ 6
เจรจาการค้าโสมป่า
ท้องตลาดในยามสายคึกคักด้วยเสียงผู้คนตะโกนเรียกลูกค้า กลิ่นหอมของอาหารทอดจากแผงข้างทางลอยอบอวลปะปนกับกลิ่นสมุนไพรและผลไม้สดใหม่ จ้าวหว่านชิงจูงมือเด็กหญิงตัวเล็กฝ่าผู้คนไปด้วยความคาดหวังว่าซูเหยาจะตื่นเต้นกับการมาตลาดในเมือง แต่ทว่าความจริงกลับตรงกันข้ามกับความคิดของนางซูเหยากลับเดินเรียบเฉยใบหน้าเล็กสงบไม่เหลียวซ้ายแลขวาแม้จะผ่านแผงขายของเล่นที่มีเด็กน้อยนับสิบคนรุมล้อมหรือเสียงหัวเราะของเด็กวัยเดียวกันที่วิ่งเล่นไปมา
ราวกับว่าบรรยากาศครึกครื้นเช่นนี้มิใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับนางเลย...
“เจ้าไม่ตื่นเต้นหรือ?” จ้าวหว่านชิงถามพลางก้มมองเด็กหญิง
ซูเหยาเพียงส่ายศีรษะเล็กน้อยแล้วก้าวตามอย่างเงียบ ๆ ตรงข้ามกลับเป็นหว่านชิงเสียเองที่ตื่นตา กับสิ่งที่พบเห็น นางหยุดดูของนู่นนี่ด้วยความสนใจ ทั้งเครื่องประดับผ้าสีสด ผลไม้แปลกตาที่ไม่เคยเห็นในโลกเดิมของนาง รวมทั้งอาหารหอมกรุ่นที่ทำให้น้ำลายสอ ดวงตาของนางสะท้อนประกายระยิบระยับไม่ต่างจากเด็กสาวได้เที่ยวงานเทศกาล
“พ่อค้า! ขอถังหูลู่สองไม้”
หว่านชิงรีบโบกมือเรียกหลังจากสะดุดตากับชายหาบไม้ไผ่บนบ่าที่เสียบลูกอมเชื่อมน้ำตาลแดงเป็นพวงแกว่งไกวไปมา มือบางหยิบเงินออกจากกระเป๋าสีซีดก่อนจะยื่นให้พ่อค้าด้วยรอยยิ้มในขณะที่รับถังหูลู่มาไว้ในมือ
“นี่ เจ้าเคยกินหรือไม่?” จ้าวหว่านหนิงเอ่ยถามเด็กหญิงหลังจากยื่นให้ซูเหยาหนึ่งไม้
“ไม่เคย…นี่เป็นครั้งแรก”
“เช่นนั้นลองกัดสักคำดูสิแล้วบอกข้าว่าเจ้าชอบหรือไม่” หว่านชิงว่าพลางกัดไม้ของตนอย่างเอร็ดอร่อย
ดวงตากลมโตของเด็กหญิงจับจ้องลูกอมสีแดงแวววาวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อย ๆ กัดลงไป ซูเหยาสัมผัสได้ถึงความหวานเจือเปรี้ยวที่ระเบิดในปากพลางกะพริบตาก่อนจะกลืนลงแล้วเงยหน้าขึ้นมองจ้าวหว่านชิง
“ข้าชอบ”
จ้าวหว่านชิงหัวเราะเบา ๆ แววตาที่มองเด็กหญิงแฝงไปด้วยความเอ็นดู มือเรียวเอื้อมไปลูบศีรษะเล็กอย่างอ่อนโยน
“หากเจ้าชอบก็ดีแล้ว”
เด็กหญิงหลุบตาลงเล็กน้อยซุกซ่อนรอยยิ้มจาง ๆ ไว้ที่มุมปากเอาไว้ ส่วนหว่านชิงเองก็รู้สึกว่าบรรยากาศรอบกายอบอุ่นขึ้นกว่าที่เคยคิดว่าหากถึงวันที่ต้องส่งตัวซูเหยาให้บิดานางคงคิดถึงช่วงเวลาแบบนี้เป็นแน่...
หลังจากนั้นทั้งสองเดินจับมือกันพูดคุยหัวเราะระหว่างทางที่เดินบนถนนท่ามกลางผู้คนที่พลุกพล่านในตลาดใหญ่ เสียงเจรจาซื้อขายคลอเคล้ากับกลิ่นเครื่องหอมและสมุนไพรที่ลอยอบอวลในอากาศ จนในที่สุดก็มาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าร้านสมุนไพรเก่าแก่ชื่อดังประจำเมืองและนี่คือจุดหมายแท้จริงของการเดินทางครั้งนี้
“พวกเราเข้าไปกันเถอะ”
ทั้งสองย่างกายเดินเข้าไปภายในร้านสมุนไพรเลื่องชื่อที่คนทั้งเมืองต่างรู้จัก กลิ่นยาจีนหอมขมอบอวลทันทีที่ก้าวเข้าไป ภายในเรียงรายไปด้วยลิ้นชักไม้ขนาดใหญ่ติดป้ายชื่อสมุนไพรนับร้อยบรรยากาศเงียบสงบแตกต่างจากความคึกคักภายนอกตลาด
จ้าวหว่านชิงจูงมือซูเหยาเดินตรงไปยังโต๊ะยาวด้านหน้าโถงที่ยามนี้มีชายหนุ่มวัยกลางคนยืนอยู่ ใบหน้าสวยยามนี้ประดับรอยยิ้มธุรกิจก่อนจะเอ่ยทักทายอีกฝ่าย
“ข้ามีโสมป่าอยากนำมาขาย ไม่ทราบว่าทางร้านรับหรือไม่เจ้าคะ”
“ข้าต้องขอดูโสมป่าของเจ้าก่อนว่าคุณภาพเป็นเช่นไร” บุตรชายเจ้าของร้านผู้ทำหน้าที่เฝ้าร้านวันนี้เอ่ยตอบหญิงสาวเสียงเรียบ
“นี่คือโสมป่าของข้าเจ้าค่ะ”
หว่านชิงเปิดห่อผ้าเล็กออกเผยให้เห็นรากโสมป่าอวบใหญ่ที่มีเส้นใยละเอียดแน่นราวกับร่างมังกรน้อยขดตัว นี่เป็นโสมป่าที่เหลือจากที่รักษาซูเหยาเมื่อไม่กี่วันก่อนนางตั้งใจว่าจะนำมาขายเพื่อเอาเงินไปลงทุนซื้อสมุนไพรเปิดโรงหมอเล็ก ๆ ในหมู่บ้าน
เมื่อชายหนุ่มเห็นเพียงครั้งแรกก็เบิกตากว้าง รีบยกขึ้นดูใกล้ ๆ
“นี่…นี่ใช่โสมป่าจริงหรือไม่! อายุไม่ต่ำกว่าร้อยปีแน่ ๆ โสมล้ำค่าปานนี้หายากยิ่งในแผ่นดิน!” เขาอุทานเสียงสั่นก่อนรีบเชิญทั้งคู่เข้าไปด้านหลังร้าน
ภายในเวลาไม่นานเจ้าของร้านผู้เฒ่าก็ปรากฏตัว หลังจากตรวจสอบโสมอย่างพิถีพิถันสีหน้าที่เคร่งขรึมพลันเปลี่ยนเป็นตกตะลึงเขาหันมามองหว่านชิงด้วยแววตาเกรงใจ
“คุณหนูโสมเช่นนี้หาได้ยากยิ่งสมควรเก็บไว้ถวายถึงราชสำนัก หากท่านต้องการขายทางร้านเราย่อมยินดีจ่ายราคาสูงสุดตามที่ท่านเรียก”
จ้าวหว่านชิงได้ยินเช่นนั้นก็ใจเต้นแรงเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่นางนำของจากระบบออกมาขาย ผลลัพธ์เกินกว่าที่คิดไว้เสียอีก แต่แม้ภายในใจของนางจะโห่ร้องยินดีแต่ทว่าใบหน้าก็ยังคงแสร้งสงบพลางยิ้มบาง
“หากไม่ใช่เพราะถูกสามีทอดทิ้งและหอบเงินทั้งหมดหนีไป ข้าคงไม่ต้องฝืนใจขายสมบัติของครอบครัวแบบนี้ ข้ามิได้โลภมากนักเพียงแค่ต้องการเงินที่พอจะใช้จุนเจือครอบครัวอีกแปดชีวิตที่บ้านได้ระยะหนึ่ง หากท่านเห็นสมควรกรุณาประเมินราคาเถิดเจ้าค่ะ”
เจ้าของร้านพยักหน้ารู้สึกสงสารหญิงสาวผู้โชคร้ายตรงหน้าจับใจ เขารีบเสนอราคาที่สูงสุดโดยไม่คิดโกงนางที่มีชีวิตรัดทนเช่นนี้
ด้านหว่านชิงที่รู้ราคาเกือบหลุดอุทานออกมาเพราะไม่คิดว่าเรื่องโกหกเพื่อแลกคะแนนสงสารของเธอจะทำเงินได้มากขนาดนี้ นางพยักรับเงียบ ๆ พลางบีบมือเล็กที่ตนยังจับอยู่แน่น ซูเหยาที่นั่งเงียบมาตลอดเพียงเหลือบตาขึ้นมองเมื่อเห็นรอยยิ้มปลื้มใจบนใบหน้าจ้าวหว่านชิงเด็กน้อยก็รู้สึกแปลก ๆ ในใจเหมือนกำลังแบ่งปันความสุขของอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว
หลังทำการซื้อขายเสร็จสิ้นหว่านชิงก็เก็บตั๋วเงินไว้ที่ด้านในอกเสื้ออย่างระมัดระวังจับมือซูเหยาเดินออกมาจากร้านขายสมุนไพร ใบหน้าสวยโน้มลงไปหาเด็กหญิงก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มสดใส
“ครั้งนี้เราจะไม่ลำบากอีกสักพักแล้ว เจ้าอยากได้สิ่งใดหรือไม่ข้าจะซื้อให้”
ซูเหยาเพียงส่ายหน้าเบา ๆ แต่ดวงตาที่วูบไหวเล็กน้อยกลับบอกชัดว่านางไม่เคยชินกับการมีใครมาพูดแบบนี้เลย หากจะพูดให้ถูกคือไม่มีใครใส่ใจความต้องการของนางอย่างเช่นที่จ้าวหว่านชิงกำลังทำ...
ทั้งสองเดินชมตลาดที่ยังคงคึกคักไปด้วยเสียงผู้คน กลิ่นหอมของอาหารทอดย่างคลุ้งลอยตามลมปะปนกับเสียงพ่อค้าแม่ค้าเรียกลูกค้าไม่ขาดสาย นางเลือกซื้อสิ่งของทีละอย่าง ทั้งเสื้อผ้า ของใช้เล็กน้อย และขนมกินเล่นโดยลอบสังเกตสีหน้าของเด็กน้อยข้างกายอยู่เป็นระยะ
“กำไลหยกนี่เจ้าชอบหรือไม่?”
เมื่อเห็นว่าซูเหยาแม้ไม่เอ่ยปากแต่สายตากลับหยุดนิ่งอยู่ที่กำไลหยกในมือของตน จ้าวหว่านชิงก็ยิ้มอ่อนก่อนจะควักเงินจ่ายซื้อให้ทันที
“เหตุใดถึงซื้อเล่า...เมื่อครู่เจ้าบอกว่าไม่ชอบสวมกำไลมิใช่หรือ”
“ข้าซื้อให้เจ้าถือว่าเป็นของขวัญที่พวกเรามาเที่ยวเมืองด้วยกันวันนี้”
แม่ค้าร้านเครื่องประดับมองคู่แม่ลูกที่อยู่ตรงหน้าพลางคลี่ยิ้มออกมา
“คืนนี้มีงานเทศกาลประดับโคมที่ลานใหญ่ของเมือง หากพวกเจ้าสองแม่ลูกไม่รีบร้อนเหตุใดไม่อยู่ชมงานเสียเล่า”
จ้าวหว่านชิงชะงักเล็กน้อยก่อนหันไปสบตาเด็กน้อยรอยยิ้มสดใสผุดขึ้นบนใบหน้าก่อนจะนางเอ่ยชักชวนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เหยาเอ๋อร์ คืนนี้เราไปดูโคมไฟด้วยกันดีหรือไม่?”
ซูเหยาที่เห็นแววตาเปี่ยมความคาดหวังของจ้าวหว่านชิงก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายผิดหวังจึงพยักหน้าตอบรับเบา ๆ แม้สีหน้าจะยังคงเรียบเฉย แต่ปลายนิ้วเล็กกลับกำชายเสื้อของนางไว้แน่นเพราะไม่คุ้นชินกับการได้รับความรักและความใส่ใจเช่นนี้จากผู้อื่นเช่นนี้...