วินิฉัยโรค 1.2
ซูเหมยลี่และหมอโจเริ่มตรวจร่างกายและวิเคราะห์อาการคนป่วยอย่างละเอียด เมื่อนั่งอยู่ภายในห้องตามลำพังด้วยกัน ทั้งคู่รู้สึกค่อนข้างลำบากใจ เพราะผู้ป่วยบอกว่ามีอาการแน่นหน้าอกนั้น เริ่มหนักขึ้นนับตั้งแต่เขาดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป ทำให้ทั้งสองรู้สึกลำบากใจในการวินิจฉัย
“ถ้าหากบอกว่าดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปเล็กน้อย แต่เพราะอะไรถึงมีอาการเหมือนคนจะเป็นลมชัก เรื่องนี้ผมว่ามันค่อนข้างที่จะย้อนแย้งกันอยู่สักหน่อย มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นสิ”
หมอโจพูดขึ้นมาอย่างที่เขาคิด
ส่วนซูเหมยลี่ยังคงนั่งพิจารณาทุกอย่างเงียบ ๆ เมื่อเปิดแฟ้มเอกซเรย์และประวัติการรักษา พร้อมกับพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว จึงได้รู้พูดออกมาว่า
“จากการดูประวัติการรักษา เมื่อปีก่อนลูกชายของคุณป้าท่านนี้เคยประสบอุบัติเหตุ และมีอาการเลือดคั่งเป็นลิ่มเลือดที่อุดตัน เนื่องจากได้รับผลกระทบของการใช้ยารักษา ดังนั้นจึงไม่แปลก หากเมื่อใดก็ตามที่มีสิ่งกระตุ้นเข้าไปทำให้เลือดแข็งตัว จะทำให้คนไข้เกิดอาการแน่นหน้าอกและหายใจไม่สะดวกได้ นั่นก็เป็นเพราะลิ่มเลือดไปขัดขวางการไหลเวียนของกระแสเลือด”
ซูเหมยลี่วินิจฉัยออกมาโดยที่สายตายังคงจดจ่ออยู่ที่ประวัติคนป่วย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วถามหมอโจออกไป “ฉันได้ข้อสรุปแล้วค่ะ คุณหมอโจได้ข้อสรุปเพิ่มเติมไหมคะ”
ถึงแม้จะรู้สึกอายเล็กน้อยที่เขามองไม่เห็นจุดเหล่านี้ แต่หมอโจก็พูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา
“ผมอายุมากกว่าคุณแท้ ๆ แต่ไม่สามารถสรุปผลวินิจฉัยได้ในเวลาอันสั้นเท่าคุณเลย เพราะฉะนั้นผมขอฟังผลวินิจฉัยจากปากของคุณก่อนเถอะครับคุณหมอซู” น้ำเสียงที่เขาพูดนั้นความเชื่อมั่นในตัวอีกฝ่ายมาก
ซูเหมยลี่ส่งยิ้มตอบกลับไปพร้อมกับพยักหน้าเบา ๆ คล้ายกับให้เกียรติผู้ร่วมงาน จากนั้นเธอเริ่มอธิบายต้นสายปลายเหตุของอาการผู้ป่วยอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนจะสรุปด้วยวิธีการรักษาที่ชัดเจน
หมอโจนั่งฟังอย่างตั้งใจและไม่เพียงเท่านั้น เขายังนำสมุดประจำตัวขึ้นมาจดบันทึกไว้อีกด้วย เธอเห็นเขามีความตั้งใจจริงจึงหันมาพูดด้วย
“ทำไมคุณถึงได้มาอยู่ที่โรงพยาบาลนี้คะ คุณเองก็เป็นคนที่มีความสามารถคนหนึ่งเหมือนกัน ถ้าหากจะให้ฉันนับตามความเหมาะสมแล้ว คุณยังสมควรที่จะไปได้ไกลมากกว่านี้”
หมอโจทำท่าทางลังเลใจเล็กน้อย ก่อนที่จะพูดออกมาอย่างไม่เต็มเสียง
“พอดีว่าผมมาที่นี่ก็เพราะว่าคนที่ผมแอบชอบมาทำงานอยู่ที่นี่ก่อนแล้วครับ แต่ใครต่อใครก็มักจะพูดถึงชื่อเสียงของคุณให้ผมได้ยินอยู่บ่อย ๆ มาวันนี้ผมได้เห็นกับตาแล้วว่าคุณไม่ได้เป็นแค่เพียงราคาคุย ความรู้ของคุณยังสามารถนำไปใช้ได้จริงๆ”
“คุณชมฉันเกินไปแล้ว อันที่จริงงานทุกงานมันก็ไม่ได้มีใครเก่งไปกว่าใครหรอกค่ะ แต่ก็เป็นเพราะถ้าหากว่าเราตั้งใจทำ โดยที่พยายามพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ก็เชื่อว่างานนั้น ๆ จะต้องสร้างผลงานให้ตัวเองต่อไปได้ภายในอนาคต คุณเองก็เป็นคนหนุ่มที่ยังมีอนาคตอีกไกล อย่าเพิ่งรีบมองข้ามความสามารถของตัวเองไปนะคะ” หญิงสาวพูดออกไปอย่างใจเย็น
“ขอบคุณนะครับที่ให้กำลังใจผม เดี๋ยวผมจะเอาผลการวินิจฉัยนี้เข้าห้องแล็บอีกครั้ง ก่อนที่จะนำไปให้ผู้ป่วยตัดสินใจว่าจะให้ใครรักษา” หมอโจพูดออกมาอย่างซึ้งใจ
“ฉันยกเคสนี้ให้คุณดูแลนะคะ ถึงฉันจะเป็นคนมีความสามารถอย่างที่คุณพูดก็ตามที แต่โรงพยาบาลนี้ไม่จำเป็นจะต้องมีหมอเก่งคนเดียวเท่านั้น ฉันชอบการทำงานเป็นทีมมากกว่าที่จะต้องไปเหนื่อยคนเดียว พูดแบบนี้หวังว่าคุณคงจะเข้าใจนะคะคุณหมอโจ ส่วนเรื่องญาติคนป่วย เดี๋ยวฉันจะแจ้งพวกเขาเองค่ะ”
หญิงสาวพูดออกไปอย่างใจกว้าง เธอก็เพียงแค่อยากจะให้คนอื่น ๆ มีจุดยืนในสังคมบ้าง ถือคติที่ว่าเขาบ้างเราบ้างเพื่อเป็นการให้เกียรติเพื่อนร่วมงานอย่างเท่าเทียม แต่สิ่งหนึ่งที่เธอจะไม่เคยมองข้าม ก็คือคนที่มีบุญคุณหรือเคยช่วยเหลือเธอมา คนเหล่านี้เธอจะจัดเอาไว้ในหมวดของคนที่ไม่สามารถลืมได้ เรียกว่าบุญคุณต้องทดแทน
ในจำนวนคนที่เธอพูดถึงก็มีซ่งฉีเหอ คนรักของเธอนั่นเอง เพราะเขาก็เคยช่วยเหลือเธอมาหลายอย่าง ดังนั้นหลังจากที่ประชุมอย่างเคร่งเครียดในการวินิจฉัยโรคของคนป่วยเคสเร่งด่วนจบ เมื่อคนรักโทรมาเธอจึงกดรับสายโทรศัพท์ของคนรักทันที
“ว่าไงคะ ตอนนี้เลิกงานแล้วคุณอยู่ที่ไหน ฉันกำลังจะกลับบ้านไปกินข้าว” หญิงสาวส่งเสียงทักทายไปเหมือนทุกวัน
“ผมกำลังจะบอกคุณว่าตอนนี้ผมกลับมาเยี่ยมคุณแม่ที่บ้านน่ะ ถ้ายังไงคุณไม่ต้องรอกินข้าวนะ เพราะเห็นว่าวันนี้คุณคงประชุมงานดึกมาก ผมก็เลยไม่ได้อยู่รอ ทีหน้าทีหลังถ้าจะทำงานก็โทรหรือส่งข้อความมาบอกผมบ้างนะ ไม่ใช่ปล่อยให้ผมรออย่างไร้จุดหมายแบบนี้” ชายหนุ่มตอบกลับมา น้ำเสียงนั้นคล้ายกับกำลังหงุดหงิด
“ค่ะ อย่างนั้นก็ฝากเยี่ยมคุณแม่ของคุณด้วยนะคะ คุณก็ขับรถระวังด้วยนะ”
หญิงสาวยังคงตอบกลับไปอย่างใจเย็น แม้ว่าทุกครั้งเขาจะพูดเหมือนเป็นความผิดของเธอเสมอ แต่ซูเหมยลี่ก็ไม่เคยคิดที่จะโทษคนรัก นอกจากนั้นเธอยังรู้สึกยินดีกับเขาที่เขามีพ่อแม่ มีครอบครัวที่อบอุ่น ซึ่งแตกต่างจากเธอมาก เพราะเธอนั้นเติบโตมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จึงนึกอิจฉาคนที่มีครอบครัวอบอุ่นเสมอ
