ตอนที่ 5 เรียกความสนใจ
ชายแดนตะวันออก ค่ายทหารแคว้นเยี่ยวโจว
แม่ทัพใหญ่ ไป๋เจี้ยน ฟื้นคืนสติจากอาการบาดเจ็บกลางสมรภูมิ ความเจ็บปวดในกายยังแล่นอยู่ แต่สิ่งแรกที่เขานึกถึงคือผู้ใต้บังคับบัญชาที่รับดาบและปกป้องเขา
เขาเอ่ยเสียงแหบแผ่ว “หลิวอัน…ตอนนี้เป็นเช่นไรบ้าง…”
ทหารรับใช้ขานตอบเสียงเรียบ “นายกองหลิวอัน… ได้ทำหน้าที่ของตนสมบูรณ์แล้วขอรับ…”
ไป๋เจี้ยนหลับตาลงชั่วครู่ ก่อนเอ่ยเสียงขรึม “เขาได้ฝากข้า…ให้ช่วยดูแลครอบครัว…ขอให้ข้ารับบุตรสาวของเขาเข้าจวน…”
ตอบแทนบุญช่วยชีวิตนี่ไม่นับว่าหนักเกินไป “อายุข้ามากแล้ว… หากรับนางเป็นอนุ คงเป็นเวรกรรมเสียมากกว่า…ทว่าข้ารับปากไปแล้ว”
ไป๋เจี้ยนหันไปมองบุตรชายของตน
“ไป๋จิ้งหาน... เจ้าก็รับนางเป็นอนุเถิด”
ไป๋จิ้งหานรองแม่ทัพหนุ่ม หน้าตาคมคาย เขาพยักหน้ารับคำอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ ชายหนุ่มยกมือประสานรับคำสั่ง
“ขอรับ…ข้าจะรีบให้คนไปจัดการ”
ชายหนุ่มหันไปพยักหน้าให้ทหารคนสนิท จากนั้นพวกเขาก็จัดคนเตรียมไปรับคนไปไว้ที่จวนในเมืองหลวงเจียงหนิง
ในยามดึกสงัด หลังจากทุกคนหลับสนิท หลินเยว่ค่อยก้าวเท้าเบาออกจากเรือนขึ้นไปนั่งบนหลังคา ดวงตาของนางเงยขึ้นมองท้องฟ้ายามราตรีอย่างครุ่นคิด ภายใต้แสงจันทร์นวล อากาศคืนนี้เย็นสบายและสงบนิ่ง
หลินเยว่ถอนหายใจเล็กน้อย เมื่อนึกถึงบะหมี่เป็ดตุ๋นร้อนๆ รสชาติกลมกล่อมหอมละมุนที่ชาติก่อนนางเคยชอบกินยามค่ำคืน
ทว่า…ของที่นางเคยเลือกจากมิตินั้นคือบะหมี่รสทะเล หลินเยว่คิดว่าน่าเสียดายอยู่บ้าง แต่ไม่เป็นไร ของเลือกแล้วถือว่าไม่อาจเปลี่ยนแปลง นางยื่นมือออกไปเพื่อหยิบบะหมี่รสทะเลจากมิติ
แต่ทันทีที่กล่องปรากฏ นางกลับต้องชะงักงัน ดวงตาเปล่งประกายขึ้นมาทันที กล่องบะหมี่ตรงหน้านางไม่ใช่รสทะเล แต่กลับกลายเป็นบะหมี่เป็ดตุ๋นที่นางเพิ่งนึกอยากกินเมื่อครู่
หลินเยว่กะพริบตาเล็กน้อย ก่อนเผยรอยยิ้มมุมปากด้วยความพอใจ นางพึมพำกับตัวเองเบาๆ
“เช่นนี้ก็หมายความว่า ขอเพียงเป็นของประเภทเดียวกัน จะเป็นรสชาติหรือรูปแบบไหนก็ได้สินะ” หลินเยว่เหยียดปากยิ้ม
“...นับว่าฑูตนำวิญญาณยังมีมโนธรรม”
พลัน หญิงสาวก็คิดแผนการบางอย่างออกมาได้ นางหัวเราะออกมาเบาๆ ท่ามกลางความมืด ก่อนค่อยๆเปิดกล่องบะหมี่เป็ดตุ๋น แล้วนั่งกินเงียบๆ พลางเรียบเรียงแผนการที่ต้องทำต่อไปการ
ส่วนการเดินทางมาเมืองชิงสุ่ยคนของไป๋จิ้งหาน จำเป็นต้องใช้เวลากว่าพวกเขาจะมาถึง หลิวเยว่ก็ขึ้นเกี้ยวไปเป็นอนุของเจ้าเมืองแล้ว
หญิงสาวถูกพาตัวขึ้นเกี้ยวเตรียมเดินทางไปยังจวนนายอำเภอโจว นางนั่งสงบไม่แสดงอาการขัดขืน ป้าสะใภ้ใหญ่หลิวซือซินเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มอย่างพึงใจ คิดว่าหลินเยว่ยอมรับชะตากรรมแต่โดยดีแล้ว
เกี้ยวถูกหาบออกไปสักพัก หลินเยว่แอบยกมุมผ้าม่านขึ้นเล็กน้อย ก่อนหน้านางได้มาสำรวจเส้นทางอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว...ด้วยสายตาที่คมกริบของตำรวจหน่วยพิเศษในชาติก่อน ในใจคำนวณเส้นทางออกจากเมืองไว้แล้ววางแผนการอย่างไม่ยากลำบาก
หลินเยว่ยิ้มบางเบา มุมปากยกขึ้นแทบไม่สังเกตเห็น ดวงตาสะท้อนแววเฉียบคมเยือกเย็น ก่อนจะเอ่ยเสียงหวาน
“ท่านป้า ๆ” หลินเยว่เอ่ยเรียกหญิงวัยกลางคนที่เดินอยู่ข้างเกี้ยวด้วยน้ำเสียงร้อนรน
หญิงผู้นั้นขมวดคิ้ว “มีอะไร”
“ข้าอยากเข้าห้องน้ำสักหน่อย… ไม่ไหวแล้วจริง ๆ”
นางกุมท้อง สีหน้าบิดเบี้ยวแสร้งอย่างแนบเนียน
“อดทนอีกสักพัก จะถึงแล้ว”
“ไม่ได้จริง ๆ ถ้าท่านไม่ปล่อยข้าลงตอนนี้ รับรองเปรอะเปื้อนแน่”
หญิงวัยกลางคนกลอกตาอย่างไม่พอใจ ก่อนตะโกนเรียกบุรุษอีกสองคน “พวกเจ้า ตามข้าเข้าไปดูด้วย อย่าให้มีลูกเล่น”
หลินเยว่ถูกพาเข้าไปในป่าริมทาง หญิงวัยกลางคนหันไปสั่งเสียงห้วน “จัดการให้เรียบร้อย อย่าชักช้า”
“เจ้าค่ะ ๆ” นางรับคำ มือประสานอยู่หน้าท้องอย่างสงบ
สักพัก เสียงกรีดร้องดังขึ้นจากด้านใน
“ช่วยด้วย! ใครก็ได้ ช่วยด้วย!”
บุรุษสองคนหน้าป่าชะงัก ก่อนรีบวิ่งพรวดเข้าไปตามเสียง เมื่อมาถึง พวกเขาเห็นหญิงวัยกลางคนนอนหมดสติอยู่บนพื้น
และเบื้องหลังเงานั้น หลินเยว่ยืนอยู่นิ่งพลางคลี่ยิ้มอย่างเลือดเย็น
“เจ้าคิดว่าจะหนีรอดหรือ”
หนึ่งในชายฉกรรจ์แค่นเสียง ก่อนพุ่งเข้าใส่
หลินเยว่ไม่ตอบ นางชักบางอย่างออกจากชายเสื้อ
ปัง ปัง
เสียงดังแหวกความเงียบกลางป่า
ร่างของชายทั้งสองทรุดฮวบลงในพริบตา
นางหอบหายใจเบา ๆ ก่อนตะโกนอีกครั้งด้วยเสียงอ่อนแรง
“ช่วยด้วย” เมื่อชายอีกสองคนวิ่งกรูกันเข้ามา คนพวกนี้นางสืบมาหมดแล้วว่าชีวิตทำแต่เรื่องชั่วช้า สมควรตาย
หญิงสาวจึงจัดการอย่างไม่ลังเล
เมื่อทุกอย่างจบลง หลินเยว่ทรุดตัวลงข้างร่างหนึ่ง นางคว้ามีดพกของอีกฝ่ายมากรีดเสื้อผ้าของตนให้ขาดรุ่งริ่ง ลากเลือดจากร่างพวกนั้นให้เปื้อนเนื้อตัวพอประมาณ แล้ววิ่งพรวดออกจากป่า
สีหน้าตื่นตระหนก ร่างกายดูเหมือนถูกทำร้าย
เสียงหอบหายใจแทรกกับเสียงฝีเท้าที่เร่งเร้า
เป็นภาพของเหยื่อที่หนีตาย
เสียง “ปัง” เบาราวกับกลืนหายไปกับสายลมในพงไพร ทว่า สำหรับผู้ที่ฝึกวรยุทธ์ เสียงนั้นกลับแจ่มชัดยิ่งกว่ากลองรบ
“เสียงอะไร” จ้าวเทียน นายกองคนสนิทของไป๋จิ้งหานขมวดคิ้วพลางชะงักฝีเท้า เขาได้รับคำสั่งให้มาส่งข่าวจากกองทัพถึงเมืองหลวงและจัดการเรื่องของหลินเยว่ด้วยตนเอง
เขาเหลียวมองไปยังทิศที่ต้นเสียงดังขึ้น ก่อนเอ่ยสั่งคนในชุดเกราะเบื้องหลังเสียงหนักแน่น
“ข้าได้ยินจากทางโน้น รีบไปตรวจสอบ”
พวกเขาควบม้าตรงไปยังต้นเสียงอย่างว่องไว
