13.หมอปากเสีย
หลังจากกลุ่มของลุงจางจากไป เหยาอันอันก็กลับเข้าไปในครัวอีก เพื่อปรุงอาหารที่ค้างไว้ให้แล้วเสร็จ และมันยังคงส่งกลิ่นหอมออกมาให้คนด้านนอกได้กลืนน้ำลาย สองพี่น้องจึงอดไม่ได้ที่จะชะเง้อคอมองเข้าไปด้านใน โดยเฉพาะท่านหมอที่ดูสนใจมาก
ถึงกับวางมือที่กำลังถูแคร่แล้วเดินเข้าไปด้านใน
“เจ้าทำอะไรกิน ทำไมกลิ่นมันถึงได้หอมนัก” เขาเดินมาหยุดมองอาหารที่อยู่ในหม้อ และกะทะที่วางเรียงกันบนเตา
“อันนี้ต้มยำปลาเจ้าค่ะ ส่วนในกะทะเป็นผัดผักใส่เนื้อหมู ก็ปกตินี่เจ้าคะ ทำไมท่านหมอแปลกใจนัก”
“มันหอม” เอ่ยบอกอย่างที่คิด
หญิงสาวจึงหันมาหาเขาก่อนจะเอ่ยชักชวนตามมารยาท “เช่นนั้นวันนี้ก็ทานข้าวด้วยกันก่อนแล้วค่อยกลับนะเจ้าคะ ถือว่าเป็นการขอบคุณท่านหมอที่อยู่ช่วยตลอดทั้งวัน แต่ถ้ารังเกียจว่าข้าวของพวกนี้ดำดูสกปรกก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าเข้าใจดี”
“ข้าไม่รังเกียจ เพียงแต่เกรงว่าชวนข้าคนเดียวมันจะไม่เหมาะ ด้านนอกยังมีพี่ชายข้าอีก” ท่านหมอเอ่ยอย่างเกรงใจ
“ก็จริง เช่นนั้นท่านหมอลองถามเขาดูก็ได้ว่านายตำบลอยากทานข้าวที่นี่หรือไม่ ถ้าตกลงข้าจะได้หุงข้าวเพิ่ม”
“ได้ ข้าไปถามเดี๋ยวนี้” ท่านหมอรีบหันตัวกลับ ก่อนจะเดินออกไปหาพี่ชายของตน ไม่นานเขาก็กลับเข้ามาอีก
เหยาอันจึงมองหน้าอีกฝ่ายเป็นเชิงถาม
“เจ้ากับน้องทานกันไปเถิด ไม่ต้องทำเผื่อพวกข้า ข้าจะกลับบ้านพร้อมพี่ชาย” น้ำเสียงเขาแผ่วเบา สีหน้าก็ดูหม่นลง
เหยาอันจึงพยักหน้าเป็นการตอบรับก่อนจะยิ้มบางตามมารยาท แม้ในใจจะนึกสงสัย ทว่ามันไม่ใช่เรื่องที่นางควรถาม
“น่าเสียดายยังไม่ได้ชิมอาหารฝีมือเจ้าเลย”
“ท่านหมอจะเอากลับไปทานที่เรือนไหมเจ้าคะ ประเดี๋ยวข้าจะหาอะไรใส่ให้ ท่านก็เอากลับไปชิมที่เรือนก็ได้”
“ได้หรือ เช่นนั้นเจ้าตักมาเลย” ร้องบอกอย่างตื่นเต้น แม้ว่าน้ำแกงตรงหน้าเขายังไม่ได้ลิ้มรส ทว่าจินหยางกลับเชื่อว่ามันจะต้องอร่อย เพราะกลิ่นของมันยั่วน้ำลายให้เขาอยากชิมจริง ๆ
“รอสักครู่นะเจ้าคะ ของใช้ในครัวมันไม่ค่อยสมประกอบนัก”
เจ้าของเรือนเอ่ยบอกอย่างอาย ๆ ก่อนจะเดินสำรวจดูในตู้เก่าเก็บที่นางยังไม่เคยเปิดออก เมื่อเห็นปิ่นโตไม้เก่า ๆ ก็เอาออกมาปัดฝุ่น “น่าจะไม่ไหว ประเดี๋ยวข้าจะให้จื่อเทาลองไปยืมของคนแถวนี้มานะเจ้าคะ” เอ่ยแล้วนางก็เดินออกมาจากครัว ออกคำสั่งกับเด็กชายเพียงครู่ ร่างเล็กก็วิ่งออกไปอย่างคล่องแคล่ว
“มีอะไรหรือ” เฉินอี้เอ่ยถามอย่างใคร่รู้ และเขาก็กำลังช่วยเด็กน้อยขัดเตียงไม้ไผ่อย่างขะมักเขม้น
“ข้าให้จื่อเทาไปยืมเถาปิ่นโตจากเรือนใกล้ ๆ เจ้าค่ะ จะได้ตักน้ำแกงให้นายตำบลกับท่านหมอไปลองชิมดู อย่าได้เกรงใจเลยนะเจ้าคะ ให้ถือว่าน้ำแกงนี้ชดเชยคำขอบคุณจากพวกเราก็แล้วกัน”
“เกรงใจเกินไปแล้ว ข้าไม่ได้ทำอะไรให้เสียหน่อย เรื่องซื้อปลามันก็แค่เรื่องการซื้อขายเท่านั้น” เฉินอี้เอ่ยอย่างเกรงใจ
“แต่ถ้านายตำบลไม่มาซื้อปลา เราก็ไม่มีเงินสำรองมากพอสร้างบ้านนะเจ้าคะ หากเหลือเราก็จะเอาไปซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นเข้าเรือน เสื้อผ้า เครืื่องนอน หมอนมุ้ง หากรอให้พวกเราหากันเอง อาจต้องใช้เวลาอีกหลายวันกว่าจะได้เงินพอสำหรับซื้อของใช้ให้ครบ และอาจไม่มีเงินซื้ออาหารเลี้ยงคนงานวันพรุ่งด้วยเจ้าค่ะ” เหยาอันบอกเหตุผลในการกระทำของตน
เฉินอี้และจินหยางนิ่งไป ทั้งคู่ต่างก็นึกไม่ถึงว่านางจะรู้จักคิดเพียงนี้ ไหนกันล่ะ… ข่าวลือที่ว่านางขี้เกียจไม่เอาการเอางาน เท่าที่เห็นนี่มันคนละอย่างกันเลย ทั้งรู้จักคิดและรู้จักประจบคนอีก
“พี่เหยา ป้าเจียวเมียลุงชุยให้มาขอรับ นางบอกว่าเลือกเอาอันที่ดีที่สุดมาให้เลยนะขอรับ” เด็กชายเอ่ยบอกอย่างตื่นเต้น
“บ้านลุงชุยอยู่ใกล้หรือ” เหยาอันรับมาก่อนจะลูบหัวแผ่วเบา
“เปล่าขอรับ อยู่ถัดไปห้าหลัง ทว่าก่อนนี้ข้าเคยไปขอข้าวที่บ้านใกล้เราแล้ว พวกเขาไม่เคยให้ มีแต่บ้านลุงชุยกับบ้านป้าหลิวที่อยู่ถัดไปอีกให้ข้าวมากินขอรับ ข้าก็เลยวิ่งไปที่บ้านลุงชุย”
“บ้านใกล้ ๆ ที่มองเห็นหลังคานี้หรือ ไม่ยอมให้ข้าว” เอ่ยถาม ทว่าสายตากลับมองไปยังเรือนที่อยู่ห่างออกไปประมาณสองร้อยก้าว และมีกำแพงไม้ไผ่ล้อมรอบปกปิดมิดชิด
“ขอรับ”
พยักหน้ารับก่อนจะหันมาหาเด็กทั้งสอง “นี่ก็จะค่ำแล้ว ไปอาบน้ำเถอะ แคร่นี้ก็พักไว้ก่อน วันพรุ่งค่อยจัดการ”
“ขอรับ / เจ้าค่ะ” สองพี่น้องรับคำเสียงดัง ก่อนจะวิ่งหายเข้าไปในเรือนไม่นานก็ออกมา โดยมีผู้ใหญ่มองตามอย่างเอ็นดู
“เชื่อฟังดีจริง ๆ” เฉินอี้เอ่ยขึ้น
ทว่าคำพูดน้องชายกลับทำให้เขาประหลาดใจ
“แล้วเจ้าล่ะ อาบน้ำที่ไหน” จินหยางเห็นเด็ก ๆ อาบตรงลำธาร เขาจึงเกิดความสงสัยว่าหญิงสาวจะอาบตรงนี้ด้วยหรือไม่ เพราะมันประเจิดประเจ้อจนเกินไป แม้นางจะขี้ริ้ว ผอมแห้ง ถึงกระนั้นก็เป็นสตรีวัยสาว การอาบน้ำในที่โจ่งแจ้งมันคงไม่ดีนัก
“ปกติก็ไปอาบที่ต้นน้ำด้านบนเจ้าค่ะ มีเด็ก ๆ คอยเฝ้า แต่วันพรุ่งคิดว่าจะให้คนในหมู่บ้านทำเพิงอาบน้ำให้ที่ข้างเรือนเจ้าค่ะ”
“ก็ดี เป็นสตรีไม่ควรมาอาบน้ำในที่โจ่งแจ้งเช่นนี้ ต่อให้เป็นคนที่ไม่น่าดูชมก็เถอะ ถึงอย่างไรก็ต้องระวังไว้”
“ไม่น่าดูชม? ท่านหมอหมายถึงข้าหรือ” เหยาอันมองหน้าเขาทันที อีกฝ่ายจึงนิ่งงันไป เพราะพึ่งรู้ตัวว่าตนพลาดที่เผลอเอ่ยความนัยออกมา “ช่างเถิด ข้าก็ขี้ริ้วจริง ๆ นั่นแหละ ไม่เหมือนหญิงสาวในเมืองใหญ่ ที่มีแต่ขาว ๆ หน้าเนียน ๆ มองแล้วรื่นตาจริงไหมเจ้าคะ” เอ่ยจบก็ค้อนขวับเข้าให้ ก่อนจะเดินกลับเข้าครัวไป
“ปากเสียไม่เปลี่ยนจริง ๆ เลยเจ้า” เฉินอี้ตำหนิไม่จริงจัง
“ก็ข้าลืมตัวนี่” น้ำเสียงเขาแผ่วเบา แววตาจับจ้องไปยังห้องครัวอย่างกังวล ‘นางคงไม่โกรธกระมัง’ ครุ่นคิดจนเหม่อ กระทั่งรถลากของคนงานพี่ชายมาถึง เขาจึงได้สติ
ผ่านไปหนึ่งเค่อ ปลาในลำธารก็ถูกโยกย้ายมาไว้ในโอ่งจนหมด จากนั้นสองพี่น้องก็หันมาบอกลาเจ้าของเรือนที่กำลังเดินออกมา เหยาอันจึงส่งเถาอาหารให้กับทั้งคู่คนละอัน แต่ท่านหมอยังมีเพิ่มอีก นั่นคือปลาอีกสองตัวที่ใหญ่พอสมควร
“ขอบคุณในความเมตตาที่ท่านทั้งสองมีให้พวกเรานะเจ้าคะ” หญิงสาวย่อตัวลงอย่างคนมีมารยาท เผยยิ้มอ่อนที่ไร้ซึ่งความสดชื่น ใช่ว่านางจะโกรธเคือง ทว่าคนมันผอมเลยดูเหมือนป่วยตลอดเวลา และเหยาอันก็รู้ตัวดี นางจึงไม่ได้ติดใจในคำพูดท่านหมอ ที่แสดงท่าทีเหมือนขุนเคืองใจ ก็แค่หมั่นไส้คำพูดเขาเท่านั้น ใครจะไปยอมให้คนอื่นรังแกอยู่ฝ่ายเดียว ทางไหนพอจะเอาคืนได้นางจะไม่รอช้า
“บอกแล้วว่าไม่ต้องเกรงใจ เอาล่ะนี่ก็มืดค่ำแล้ว เราคงต้องขอตัวกลับกันเสียที ขอบคุณสำหรับอาหารนะ อ้อ! เรื่องตัดไม้สร้างบ้านจัดการได้เลยนะ กลับไปข้าจะให้ทางตำบลส่งใบอนุญาตให้”
“ขอบคุณนายตำบลเจ้าค่ะ” เหยาอันเอ่ยพร้อมกับย่อตัวให้ อีกฝ่ายก็เดินจากไป จากนั้นนางก็หันมาหาคนที่ยืนไม่ยอมขยับ
“เอ่อ… เมื่อครู่ข้า”
“ท่านหมอพูดเรื่องจริง ข้าไม่โกรธเจ้าค่ะ” เหยาอันเอ่ยขัด เพราะเห็นท่าทางเขาก็พอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายเป็นอะไร
“แต่ข้าก็ยังต้องขอโทษเจ้า ทั้งเรื่องนี้และเรื่องก่อนหน้า” เขารีบเอ่ยในยามที่มีโอกาส ยิ่งเห็นนางไม่ถือสาเขายิ่งรู้สึกละอายใจ
“เรื่องผ่านไปแล้ว อย่าได้เก็บเอามาใส่ใจเลยเจ้าค่ะ”
“จินหยาง!! เจ้าจะกลับหรือไม่” เฉินอี้ส่งเสียงตะโกน เมื่อเห็นน้องชายตนยังยืนอยู่ที่เดิม เพราะยังต้องเดินทางเข้าอำเภออีก
“วันพรุ่งหากเสร็จธุระแล้ว ข้าจะรีบมาช่วยสร้างเรือนนะ” สิ้นคำเขาก็รีบก้าวเดินออกไป ไม่รอฟังคนด้านหลังกล่าวอันใดเลย
เหยาอันมองตามพร้อมกับยิ้มบาง ก่อนจะหันมาสนใจเด็ก ๆ ที่กำลังเล่นน้ำกัน “ขึ้นได้แล้ว จะได้ไปเฝ้าพี่อาบน้ำบ้าง เหนียวตัวจะแย่ หิวก็หิว” นางแสร้งบ่นให้ได้ยิน สองพี่น้องจึงรีบลุกขึ้นโดยไว
ม่านอวี้วิ่งเข้าไปในเรือน ส่วนจื่อเทาก็ไปหลบที่มุมเรือน เพราะพี่สาวบอกว่าต่อไปให้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเอง แม้จะเป็นพี่น้องกัน ทว่าอีกคนเป็นหญิง อีกคนเป็นชาย ไม่อาจทำเรื่องนี้ด้วยกันได้ เพราะเด็กจะต้องโตขึ้น ฉะนั้นจับแยกตั้งแต่ตอนนี้ควรจะดีกว่า ในเมื่อนางได้เกิดใหม่มาอยู่ดูแลพวกเขาแล้ว ควรจัดการให้ถูกต้อง
