14.น้ำแกงรสเลิส
ณ เมืองอวิ้นไห่ จวนสกุลเสิ่น
เพียงแค่ร่างสูงของจินหยางเดินลงจากรถม้า บ่าวรับใช้คนสนิทก็วิ่งแจ้นมารับด้วยท่าทางร้อนใจ เพราะเมื่อเช้าผู้เป็นนายแอบหนีออกไปคนเดียว ไม่ยอมพาผู้ติดตามไปด้วย
“คุณชาย วันหน้าอย่าทำเช่นนี้อีกนะขอรับ”
“จะร้อนรนไปทำไม ข้าก็กลับมาแล้วมิเห็นหรือ” ว่าพร้อมกับยื่นของในมือให้ “อันนี้เอาไปอุ่นแล้วยกมาตั้งโต๊ะให้ข้า ส่วนปลานั้นเก็บไว้ทำอาหารวันพรุ่ง” จินหยางชี้นิ้วไปที่คนงานของพี่ชาย
“ปะ… ปลาซ่งอวี้ นี่คุณชายไปเอามาจากไหนขอรับ”
“ข้าตกมา” เอ่ยแล้วก็เดินหนีไป ทว่าคนสนิทก็ยังเดินตาม
“คุณชายข้าน้อยอยากรู้จริง ๆ นะขอรับ”
“ข้าก็ตอบไปแล้วว่าตกมา เจ้าจะเอาอะไรอีก” จินหยางยังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทว่าคนสนิทกลับทำหน้าไม่เชื่อเช่นเคย จนเขาต้องหยุดเท้าลง “ไปอุ่นอาหารมา ขืนชักช้าข้าจะสั่งโบยเจ้า”
“ทว่าอาหารนี้นายท่านกับฮูหยินจะให้เอาขึ้นโต๊ะหรือขอรับ” คนสนิทมองเถาปิ่นโตในมือที่ดูพื้น ๆ อย่างเป็นกังวล
“ข้าสั่งเจ้าก็กล้าขัดหรือ” จินหยางตะเบงเสียงใส่ ด้วยความที่เขาเป็นบุตรคนเดียว จึงมีนิสัยเอาแต่ใจอยู่บ้าง ถึงกระนั้นก็ไม่ได้พาลไปเสียทุกเรื่อง ที่ดุก็เพราะคนสนิทมักมีข้อโต้แย้งเสมอ
“รีบไปอุ่นมา” กำชับเสียงต่ำ ก่อนจะเดินตรงไปยังห้องโถงของเรือนที่อยู่เบื้องหน้า ซึ่งมีบิดามารดานั่งรออยู่ก่อนแล้ว
เมื่อเดินเข้ามาเขาก็คำนับบุพการี “ท่านพ่อ ท่านแม่”
“เหตุใดวันนี้เจ้าออกไปข้างนอกไม่ยอมให้บ่าวติดตาม หากเกิดอันใดขึ้นจะทำเช่นไร” เสิ่นฮูหยินเอ่ยตำหนิทันทีที่เขานั่งลง
“ลูกแค่ไปเยี่ยมน้องของเถาหย่งเต๋อขอรับ พี่ใหญ่ก็อยู่ด้วย”
“เฉินอี้ไปทำอะไรที่นั่นหรือ” ใต้เท้าเสิ่นจินชง หัวหน้าผู้ตรวจการเมืองอวิ้นไห่เอ่ยถามบุตรชายอย่างใคร่รู้
“ไปหาซื้อปลาหลี่มอบให้ท่านผู้ว่าขอรับ ได้มาหลายตัวเชียว เป็น ๆ ด้วยนะขอรับท่านพ่อ” ชายหนุ่มเอ่ยบอกด้วยท่าทางตื่นเต้น
“จริงหรือ แล้วได้สีอะไรบ้าง”
“สีมงคลเลยขอรับ”
“จริงหรือ ปลาหลี่สีขาวสีทองมันหายากนะ”
“จริงขอรับ ได้สีทองสามตัว สีขาวถึงสี่ตัวเลยนะขอรับ”
“ช่างเป็นโชควาสนาของท่านผู้ว่าจริง ๆ”
“โชคของพี่ใหญ่และโชคของคนหาด้วยขอรับ ทุกคนต่างก็ได้รับผลตอบแทนที่ดี” จินหยางเอ่ยบอกบิดาเสียงสดใส
“ดูท่าทางเจ้าสิ โตจนป่านนี้แล้วยังพูดคุยกับบิดาเหมือนเด็กไม่มีผิด ไม่มีลักษณะของท่านหมอให้น่าเชื่อถือสักนิด” เสิ่นฮูหยินตำหนิบุตรชายไม่จริงจังนัก ก่อนจะหันไปมองสาวใช้ที่กำลังยกถาดเข้ามา “ยังมีกับข้าวหลงเหลืออีกหรือ พวกเจ้านี่ทำงานอย่างไรกัน”
“เป็นอาหารที่คุณชายนำมาขอรับ” เติ้งหูรีบรายงาน
เสิ่นฮูหยินจึงหันมาหาบุตรตน “นี่เจ้ารู้จักซื้ออาหารเข้าบ้านด้วยหรือ ดูท่าฝนคงจะตกในฤดูคิมหันแล้วกระมัง”
“ลูกไม่ได้ซื้อขอรับ คนที่หาปลาให้มา”
“คนหาปลาให้มาหรือ” สองสามีภรรยาเอ่ยพร้อมกัน ก่อนจะมองชามตรงหน้าที่มีกรุ่นไอลอยคละคลุ้งส่งกลิ่นหอม
“ขอรับ… พอดีหาปลาได้มาก เขาเลยต้มน้ำแกงหม้อใหญ่แล้วแบ่งให้ลูกกับพี่ใหญ่มาขอรับ ทว่าลูกไม่รู้ว่ามันจะพอกินได้หรือไม่ อย่างไรลูกจะชิมดูก่อนนะขอรับ” สิ้นคำเขาก็ตักน้ำแกงใส่ถ้วยของตน แล้วยกซดอย่างระมัดระวัง
บิดามารดามองตามพร้อมกับขมวดคิ้วรอฟังอย่างกังวล เพราะบุตรชายถือว่าเป็นคนที่กินยากอยู่พอสมควร
“อร่อยขอรับ รสชาติกลมกล่อม เปรี้ยวนิด ๆ เผ็ดหน่อย ๆ”
“ไหนพ่อลองชิมบ้าง” ผู้เป็นบิดาจึงรีบตักน้ำแกงพร้อมกับเนื้อปลาใส่ถ้วยของตน เขาถึงได้รู้ว่าปลาที่อยู่ในน้ำแกงคือปลาที่หายาก “หยางเอ๋อร์นี่มันปลาซ่งอวี้มิใช่หรือ”
“ใช่ขอรับ ได้มาสี่ตัว”
“สี่ตัวเลยหรือ มิหนำซ้ำยังตักมาให้เราทั้งตัวอีก ใจดียิ่งนัก” น้ำเสียงใต้เท้าเสิ่นดูปลื้มปีติมาก เพราะปลาชนิดนี้ใช่ว่าจะหาได้กินง่าย ๆ นอกจากจับยากแล้วมันยังแพงด้วย
ต่อให้เป็นครอบครัวขุนนางอย่างพวกเขา ยังได้กินแค่ปีละครั้งสองครั้งในยามเทศกาลเท่านั้น เพราะราคามันสูงเกือบจะเท่าเงินเดือนเขา หากซื้อกินทุกครั้งที่ต้องการ เป็นได้ล่มจมพอดี
จินหยางยิ้มชอบใจราวกับคำชมนี้มอบให้เขาเอง ก่อนจะตักเอาเนื้อปลาและน้ำแกงให้มารดา ซึ่งยามนี้นางกำลังนั่งมองสามียกถ้วยน้ำแกงซด “ท่านแม่ลองชิมดูขอรับ ไม่คาว ลูกรับรองได้”
เสิ่นฮูหยินเผยยิ้ม แล้วหันมาสูดดมกลิ่นสมุนไพรที่โชยขึ้นมา จากนั้นก็ตักทั้งเนื้อปลาและน้ำแกงขึ้นมาลิ้มรส
นางเคี้ยวอยู่พักหนึ่งก็หันมามองบุตรชาย “ใช้ได้”
“เช่นนั้นทานเยอะ ๆ นะขอรับ” ว่าพร้อมกับเอาถ้วยของมารดามาตักน้ำแกงและเนื้อปลาให้อีก “ระวังก้างนะขอรับ” จากนั้นเขาก็หันมาตักให้ตนเองบ้าง ส่วนบิดาพอเขาวางทัพพีก็จับต่อทันที
ผ่านไปสักพักชามใหญที่ตั้งอยู่กลางโต๊ะก็แห้งขอด น้ำแกงสักหยดก็ไม่เหลือ ส่วนอาหารอย่างอื่นกลับพล่องไปเล็กน้อย
“วันนี้เจ้ากินได้เยอะเชียวนะน้องหญิง” ใต้เท้าเสิ่นเย้าภรรยาที่นั่งเหยียดตัวตรงเพราะรู้สึกอึดอัด
“ไม่ได้กินอร่อยเช่นนี้มานานแล้วเจ้าค่ะ” เสิ่นฮูหยินเอียงอาย
จินหยางยิ้มเอ็นดูมารดา ก่อนจะเอ่ยบอก “ลูกได้ปลามาสองตัว วันพรุ่งท่านแม่ก็ให้พ่อครัวทำน้ำแกงให้กินอีกได้นะขอรับ”
“นี่เจ้าได้ปลาซ่งอวี้มาด้วยหรือ” บิดาถามอย่างตื่นเต้น
“ตัวใหญ่เหมือนตัวนี้เลยขอรับ” คนสนิทบุตรชายตอบแทน
“ดี เช่นนั้นวันพรุ่งแม่จะให้คนครัวทำน้ำแกงอีก ว่าแต่… ทำไมคนหาปลาถึงใจดี ให้ปลาพวกนี้มาได้ หรือลูกซื้อมา” สองสามีภรรยามองหน้าบุตรรอคำตอบ จินหยางจึงยิ้มแหยก่อนตอบ
“อันที่จริง วันนี้ลูกไปช่วยเขาหาปลาขอรับ เจ้าของปลาจึงแบ่งมาให้ ท่านพ่อท่านแม่ไม่ต้องกังวล ปลานี้ลูกไม่ได้ซื้อ”
“หะ… หาปลา เจ้าน่ะหรือไปหาปลา” ใต้เท้าเสิ่นตาโตทันที
“ขอรับ” รับคำเสียงเบา “ทว่ามันก็ไม่ยากนะท่านพ่อ แค่ใช้เหยื่อที่ปลาชอบก็สามารถตกมันขึ้นมาได้แล้ว วันพรุ่งลูกยังว่าจะไปอีก เราจะได้มีปลากินมาก ๆ ท่านพ่อท่านแม่ว่าดีหรือไม่”
คนเป็นพ่อแม่ได้แต่มองอย่างไม่เชื่อ
“ดีมันก็ดีอยู่หรอก ทว่าวันพรุ่งเจ้าไปไม่ได้ เจ้าต้องไปจวนสกุลหว่างเป็นเพื่อนแม่ เพื่อกำหนดวันมงคลของเจ้ากับหนิงเอ๋อร์”
“ก็แค่กำหนดวันมงคล ทำไมลูกต้องไปด้วยขอรับ ท่านแม่กับทางนั้นจัดการไปไม่ได้หรือ” ท่านหมอเอ่ยอย่างเบื่อหน่าย
“เจ้าควรไปพบหน้าเจ้าสาวก่อนแต่งงานสักครั้ง เป็นคนอื่นได้หมั้นหมายกับสตรีที่เพรียบพร้อมเช่นนี้ เป็นต้องเทียวไล้เทียวขื่อจนหัวกะไดไม่แห้ง แต่ดูเจ้าสิ… วัน ๆ สนใจแต่คนป่วย อยู่แต่ในโรงหมอ ไม่ก็ออกตระเวนไปตามหมู่บ้าน ทำไมไม่รู้จักไปมาหาสู่ว่าที่ภรรยาตนเองบ้าง” เสิ่นฮูหยินตำหนิบุตรชายไม่จริงจัง
“แล้วใครอยากแต่งกับนางกัน สตรีเย่อหยิ่งคิดว่าตนสูงส่งเช่นนั้นหรือที่ว่าเพรียบพร้อม ลูกได้ยินว่านางมักจะใช้อำนาจบาดใหญ่ของบิดา ลงโทษคนที่ไม่ยอมทำตามความต้องการของนาง เอาแต่ใจเป็นที่สุด เพรียบพร้อมอะไรกัน” น้ำเสียงท่านหมอจริงจังนัก
“เจ้านี่นะ สอนเท่าไหร่ไม่รู้จักจำ ชอบตัดสินคนเพียงเพราะสิ่งที่ได้ยินมา นางอาจจะไม่ได้เป็นเช่นข่าวลือก็ได้ ลองพบหน้ากันดูสักครั้งก่อนเถิด ยามแต่งงานไปจะได้ไม่เคอะเขินกัน” มารดาตำหนิไม่จริงจัง ทว่าคนฟังกลับนิ่งงันไปแล้ว
เพราะจินหยางหวนนึกถึงการกระทำของตนก่อนหน้าที่มีต่อเหยาอันอัน สตรีที่ขึ้นชื่อว่าเกียจคร้านเป็นที่สุดผู้นั้น
คราแรกเขาก็ตัดสินนางจากข่าวลือ แต่พอได้รู้จักมักจี่ ถึงรู้ว่านางมิได้เป็นอย่างที่คนพูดถึงกันเลย ฉะนั้นคู่หมั้นของเขาอาจเป็นอีกหนึ่งที่ถูกคนพูดถึงอย่างไร้มูลก็เป็นได้
“ขอรับท่านแม่ ลูกจะไปพบนาง” ตอบรับแผ่วเบา เพราะท่านหมอไม่ได้อยากแต่งสักเท่าใด เขายังมีความสุขกับชีวิตอิสระที่ไม่มีข้อผูกมัด ทว่าจะขัดก็ทำไม่ได้ เพราะเป็นคำสั่งเสียของท่านปู่
เขาในฐานะหลานชายจึงจำต้องทำตาม…
