บท
ตั้งค่า

บทที่ 7

เจิ้งฝูหลิงพาทุกคนลงจากเรือ ของบางห่อถูกเจ้าหน้าที่ทางการขอตรวจค้น แต่ดูเหมือนว่าเจ้าหน้าที่เหล่านี้จะคุ้นเคยกับเจิ้งฝูหลิงดีจึงไม่มีท่าทางข่มขวัญสร้างความลำบากให้แก่คนครอบครัวโจว

"ไอหยา เจิ้งหลิงพวกข้าต้องคอยตอบคำถามของเมียเจ้าทุกวันว่าเมื่อไหร่เรือสินค้าของพี่หู่จะเทียบท่า ในที่สุดเจ้าก็กลับมาเสียที คราวนี้หมั่นโถวนึ่งของเมียเจ้าคงจะมีรสชาติอร่อยขึ้นสักที ฮ่าๆๆ"

"ต้องขอบคุณพวกท่านที่ช่วยดูแลชุ่ยเหนียนแทนข้า นี่คือมารดาและน้องสาวที่ข้าเดินทางไปรับกลับมาขอรับ"

เจ้าหน้าที่หลายคนของท่าเรือเหลือบมองใบหน้าโจวจวิน และดึงเจิ้งฝูหลิงมากระซิบถาม "เจิ้งหลิง น้องเขยของเจ้ามีรอยแผลบนใบหน้า เขาคงไม่ใช่พวกโจรสลัด หรือเป็นพวกผิดกฎหมายหรอกใช่ไหม"

"โอ๊ย ไม่ใช่แน่นอนขอรับ ท่านก็รู้แคว้นเล็กๆทางฝั่งนั้นเกิดสงคราม ยามนี้ยังคงมีข่าวเลือดไหลนองแผ่นดินอยู่เลย น้องเขยของข้าเป็นนายพรานล่าสัตว์อยู่ตามป่าเขา แผลที่ได้มาเป็นเพราะปกป้องน้องสาวของข้าจากคนร้าย ท่านดูสิน้องสาวข้าหน้าตางดงามมาก ยามนี้แผ่นดินทางด้านนั้นวุ่นวายโจรผู้ร้ายออกอาละวาด หากน้องเขยข้าไม่ทุ่มเทกำลังปกป้องครอบครัวสุดตัว ยามนี้ข้าคงรับเถ้ากระดูกท่านแม่และน้องสาวกลับมาแทนคนเป็นๆแล้ว"

"น้องเขยเจ้าร่างกายสูงใหญ่ ด้านหลังที่เขาแบกอยู่มีธนูและผ้าที่ห่อดาบใหญ่เล่มโตอยู่ เจ้าจะไม่ให้ข้าเอ่ยปากถามได้อย่างไร"

"โจวจวินมีอาชีพเป็นช่างตีเหล็ก เขาจึงหลงใหลพวกอาวุธที่ทำขึ้นจากการตีเหล็ก นี่ก็ไปเจอดาบที่ขายที่ท่าเรือจึงซื้อนำมาศึกษาขอรับ น้องเขย เจ้าช่วยนำดาบที่เจ้าซื้อมาแกะผ้าออกให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบทีสิ" เจิ้งฝูหลิงหันไปบอกโจวจวินด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

โจวจวินยืนฟังเจิ้งฝูหลิงพูดคุยกระซิบกับเจ้าหน้าที่คนนี้อยู่นานแล้ว เขาจึงนำดาบที่สะพายหลังอยู่ออกมาแกะผ้าออกให้คนอื่นดู ผู้คนต่างรุมดูดาบเนื้อดีเป็นประกายแวววาว บางคนใจกล้าขอลองจับดาบยกขึ้น ก่อนจะรีบวางลงอย่างรวดเร็ว

"ดาบสวยงามมาก ไม่รู้ใช้เหล็กอะไรตี แต่น้องชาย ข้าคิดว่ามันหนักเกินไปแล้ว เจ้าซื้อมาแล้วจะเอาไปใช้ทำอะไรได้ ที่นี่คนธรรมดาห้ามพกพาอาวุธเจ้ารู้กฎนี้หรือยัง"

เจิ้งฝูหลิงรีบพูดตอบแทนน้องเขยว่า "ข้าบอกเขาแล้ว ดาบเล่มนี้เขาซื้อมาเอาไว้ใช้แล่เนื้อสัตว์ขนาดใหญ่ขอรับ ประเดี๋ยวพรุ่งนี้ ข้าจะพาน้องเขยไปลงทะเบียนอาชีพนายพรานขอรับ วันนี้ท่านก็ช่วยเห็นแก่หน้าข้า ปล่อยพวกข้าไปพักผ่อนก่อน ด้านหลังแถวเริ่มยาวแล้วนะขอรับ"

"ได้ๆ เจ้ากลับมาแล้วอย่าพักนานนักล่ะ ข้าอยากกินแพะตุ๋นฝีมือของเจ้าแล้ว"

"อีกสามวันข้าจะตุ๋นแพะ นายท่านอย่าลืมไปช่วยอุดหนุนร้านข้านะขอรับ" เจิ้งฝูหลิงรับคำและรีบพาทุกคนเดินออกจากท่าเรือ

ระหว่างเดินทางเจิ้งฝูหลิงก็พูดอธิบายว่า ชาวบ้านธรรมดาอายุตั้งแต่16ปีขึ้นไปต้องลงทะเบียนอาชีพเพื่อเสียภาษีให้ราชสำนัก หากไม่มีอาชีพไม่มีเอกสารการจ่ายภาษี จะถูกจับไปเป็นแรงงานหลวง ต้องทำงานแลกอาหารไม่มีค่าแรงให้

ดังนั้นวันนี้ทุกคนต้องพักที่บ้านของเจิ้งฝูหลิงก่อนพรุ่งนี้จะต้องไปลงทะเบียนอาชีพ โจวจวินลงทะเบียนอาชีพนายพรานและช่างตีเหล็ก เขามีสองอาชีพจะได้เสียภาษีลดลงเพราะถือว่าเป็นคนมีความสามารถ ส่วนเจิ้งฮุ่ยหลิงและเจียงฝานต้องลงอาชีพชาวไร่ชาวนา เพราะมีพื้นที่ทำกินของครอบครัวเป็นไร่นาที่ใช้ปลูกพืช เสียภาษีเป็นผลิตผลจากพืชที่ ปลูก โดยหนึ่งปีเสียภาษีถึงสองรอบ

ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมทุกคนที่นี่จึงยากจน เจียงฝานจึงต้องอดทนแบกท้องไปทำงานที่ต่างแคว้น เพราะแผ่นดินใหญ่ที่นี่ราชสำนักเก็บภาษีโหดมาก ยิ่งมีภัยแล้งผลผลิตจากไร่นาได้น้อย เมื่อจ่ายภาษีตามจำนวนคนของครอบครัวแล้ว แต่ละบ้านแทบจะไม่เหลืออะไรให้กิน

อาชีพพ่อค้าแม่ค้าจ่ายภาษีเพียงรอบเดียว ดังนั้นเจิ้งฝูหลิงจึงทิ้งไร่นามาทำการค้า เขาจึงมีชีวิตที่ดีขึ้น แม้จะต้องจ่ายเป็นเงินจำนวนมาก แต่เขาค้าขายเก่งยังหาเงินได้ง่ายกว่า

โจวจวินจึงเอ่ยปากถามว่า "พี่รอง แล้วอาชีพนายพรานกับช่างตีเหล็กเสียภาษีอย่างไร"

"เสียภาษีเป็นเงิน เจ้ามีสองอาชีพ จึงเสียภาษีอาชีพละหนึ่งครั้งต่อปี ข้าจำไม่ได้ว่าต้องเสียปีละเท่าไหร่พรุ่งนี้พวกเราค่อยไปดูด้วยกัน"

โจวจวินยืนนิ่งและพูดว่า "เช่นนั้นข้าก็เสียภาษีสองครั้งต่อปีอยู่ดีไม่ใช่หรือ เพราะข้าลงทะเบียนสองอาชีพ"

เจิ้งฝูหลิงหัวเราะและพูดว่า "ก็ดีกว่าเจ้าต้องเสียภาษี นายพรานสองรอบต่อปี หรือเสียภาษีอาชีพช่างตีเหล็กสองรอบต่อปี แต่ละอาชีพเสียภาษีไม่เท่ากัน เจ้าเชื่อข้าเถิดลงสองอาชีพไว้ จะมีประโยชน์กว่า ช่างตีเหล็กขึ้นชื่อว่าเป็นแรงงานมีฝีมือ เสียภาษีน้อยกว่านายพราน แต่เจ้าต้องนำสัตว์มาขายและยังพกพาอาวุธอย่างไรก็ต้องลงทะเบียนเป็นอาชีพนายพรานเอาไว้"

เมื่อเจิ้งฝูหลิงอธิบายเช่นนี้ โจวจวินจึงเข้าใจมากขึ้น หากเขาเป็นช่างตีเหล็กจะพกพาอาวุธไม่ได้นี่เอง

เจิ้งฝูหลิงเอ่ยชวนน้องสาวอีกครั้งว่า "อาผิง เจ้าเปลี่ยนมาค้าขายดีหรือไม่ พี่รองจะหาพื้นที่แถวท่าเรือให้เจ้าขายของ เจ้ามีฝีมือทำอาหารอร่อยเปิดร้านขายอาหารที่ทำจากพริกของเจ้าก็ได้"

เจิ้งฮุ่ยผิงก้มหน้ามองบุตรสาวในห่อผ้าและมองใบหน้าที่มีบาดแผลด้านหนึ่งของโจวจวิน แล้วจึงพูดว่า "ข้าค้าขายไม่เก่ง อีกทั้งใบหน้าของข้าพบเจอผู้คนมากมาย มักจะมีปัญหาตามมา ทำอาชีพปลูกผักอยู่หมู่บ้านในชนบท พบเจอผู้คนให้น้อยลงจะดีกว่าเจ้าค่ะ"

"เฮ้อ เจ้ายังกล้าเรียกหมู่บ้านเถียนซีว่าเป็นหมู่บ้านชนบทอีกหรือ ข้าว่าที่นั่นเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนได้เลยนะ อืมแต่เหมาะกับน้องเขย ที่นั่นป่าไม้บนภูเขาอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การล่าสัตว์"

ทุกคนพูดคุยกันไปและเดินหอบหิ้วของไปด้วย เดิมโจวจวินอยากจ้างเกวียนมาช่วยขนของ แต่เจิ้งฝูหลิงกลับพูดว่าไม่ต้องจ้าง ให้ฝากของส่วนใหญ่เอาไว้ที่คนของพี่หู่ก่อน แล้วเดี๋ยวเขานำเกวียนที่บ้านมาขนของที่ท่าเรืออีกที เวลานี้ทุกคนจึงถือห่อผ้าที่สำคัญและมีค่าเท่านั้น แต่ก็ยังมีของเยอะอยู่ดี เดินเท้าไปยังบ้านของเจิ้งฝูหลิง

ทุกคนเดินมาได้เกือบสองเค่อ*ก็ถึงบ้านของเจิ้งฝูหลิงที่ด้านหน้าเป็นร้านค้า ยามนี้มีคนมาซื้อของประปราย สตรีที่ดูคล่องแคล่วมีผ้าโพกหัวและอยู่ในชุดเสื้อแขนยาว กระโปรงยาวมีผ้ากันเปื้อนที่มีกระเป๋าใส่เงินสวมทับชุดกระโปรงอยู่อีกชั้น เมื่อนางเห็นเจิ้งฝูหลิงจึงเผยรอยยิ้มกว้าง และตะโกนเข้าไปในบ้าน "อามู่ พ่อของเจ้ากลับมาแล้ว เร็วเข้ารีบออกมาต้อนรับท่านพ่อและท่านย่าของเจ้า"

สิ้นเสียงตะโกน ก็มีเด็กชายวัยห้าขวบวิ่งออกมาจากด้านในบ้านอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเปื้อนมอมแมมแฝงแววดื้อรั้น

เจิ้งฝูหลิงหัวเราะ รีบหาที่วางของที่ตนถือมา ก่อนจะเดินไปอุ้มบุตรชายและกอดรัดเขาอย่างคิดถึง

"ท่านพ่อรีบปล่อยข้าลง ข้าโตแล้วท่านพ่อไม่ควรอุ้มข้า" เจิ้งหรงมู่ดิ้นหนีลงจากอ้อมแขนของพ่อตน เด็กชายผิวสองสีอยู่ในชุดเสื้อแขนยาวครึ่งแขนสวมกางเกงและมีผ้าผูกเอวไว้ ยามนี้ใช้ดวงตากลมโตหันไปมองคนแปลกหน้าอย่างอยากรู้อยากเห็น โดยเฉพาะเด็กชายผิวขาวที่มือหนึ่งจับมือกับหญิงสูงวัยอีกมือหิ้วห่อผ้า เด็กชายคนนี้ผิวขาวมากแบบนี้เจิ้งหรงมู่ไม่เคยเห็นใครผิวขาวขนาดนี้มาก่อน แต่เมื่อเหลือบมองสตรีหน้าตาสวยงามในอ้อมแขนมีห่อผ้าที่ห่อเด็กไว้อีกคนหนึ่ง สตรีผู้นี้ก็มีผิวขาวมากเช่นกัน ใบหน้างดงามโดดเด่น งามกว่าสตรีของนายท่านเจ้ากรมการเรือที่เขาไปแอบดูเสียอีก ในขณะที่จ้องมองคนงามจนเพลินตา กลับมีบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ลำตัวหนา เสื้อที่สวมอยู่แทบจะปกปิดมัดกล้ามเนื้อของคนผู้นี้ไม่ได้เลย แต่เมื่อมองใบหน้าที่มีแผลเป็น เจิ้งหรงมู่ถึงกับตกใจจนเผลอร้องออกมา

"ไอ้หยา.....น่า.หน้า เจ้าหน้าเหมือนผิ....อี๋..อื้อๆๆ." ยังไม่ทันพูดจบ เจิ้งฝูหลิงก็ใช้มือปิดปากบุตรชายได้ทัน

"ข้าบอกเจ้าหลายครั้งแล้ว ว่าอย่าตัดสินคนที่หน้าตาภายนอก รีบขอโทษอาเขยของเจ้าเดี๋ยวนี้เร็วเข้า"

โจจวินไม่ถือสาคำพูดของเด็กน้อย แต่โจวจื่อหวายที่ยืนจับมือของเจียงฝานอยู่ มีสีหน้าไม่พอใจดวงตากลมโต ลูกตาสีดำสนิทกลับจ้องมองเจิ้งหรงมู่คล้ายคนมีความแค้นต่อกัน

หมายเหตุ; * 1 เค่อ ประมาณ15 นาที

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel