บท
ตั้งค่า

บทที่ 3

โจวจวินเป็นคนฉลาด แม้ฮูหยินของเขาไม่พูดอธิบายตัวเขาที่เป็นเจ้าของร่างของตน มีหรือจะไม่รู้ว่าบาดแผลสาหัสเมื่อวานจางหายไปแล้ว ยามนี้เขามีพลังแข็งแกร่งพร้อมที่จะปกป้องคนในครอบครัวอีกครั้ง

สายตาที่มีแต่ความกังวลใจมองไปยังห่อผ้าที่มีเด็กทารกนอนหลับอยู่ในนั้น ตัวเขาแม้ตายก็ไม่เสียดายชีวิต แต่เขายังมีห่วงมากมายโดยเฉพาะบุตรสาวที่เพิ่งได้มาคนนี้ "หยาหยาจะเป็นอะไรเพราะรักษาข้าหรือไม่ เช้านี้ข้ายังไม่ได้ยินเสียงนางร้องไห้เลย"

แม้เมิ่งหลันเซียงจะมีความกังวลใจมากมายแต่ก็ฝืนยิ้มโกหกสามีว่า "ไม่เป็นอะไร เมื่อรุ่งเช้าเพิ่งตื่นมาดื่มนมจากข้าไปสองครั้ง ดูเหมือนว่าหยาหยาจะแค่อ่อนเพลียเท่านั้น พวกเรารีบเดินทางกันเถิดยิ่งออกจากแผ่นดินของแคว้นนี้ได้เร็วเท่าไหร่พวกเราก็จะยิ่งปลอดภัยเร็วเท่านั้น"

หลังจากที่ทุกคนขึ้นรถม้า ก็เร่งออกเดินทางต่อกันทันที เจียงมามายามนี้กำลังประคองบุตรสาวของตนล้มตัวลงนั่งอย่างระมัดระวัง สีหน้าของเจิ้งฮุ่ยผิงขาวซีดเล็กน้อยแต่ก็ยังฝืนยิ้มให้กับมารดาของตน "ท่านแม่ ข้าเคยพบพี่รองและท่านพ่อเมื่อครั้งยังเป็นเด็กท่านแม่ว่าพวกเขาจะยังจำหน้าของข้าได้หรือไม่"

เจียงมามามองใบหน้าบุตรสาวที่เติบโตมาเป็นหญิงสาวหน้าตางดงามแล้วจึงพูดว่า "ข้าเขียนจดหมายไปบอกพวกเขาแล้วว่าเจ้าเติบโตมาอย่างงดงามเจ้าวางใจเถิด พรุ่งนี้เจ้าก็จะได้พบหน้ากับพี่รองของเจ้าแล้ว"

เจิ้งฮุ่ยผิงฝืนยิ้มก่อนจะหันไปมองหน้าคุณหนูที่เติบโตขึ้นมาพร้อมนาง ในสมองนางมีความคิดมากมาย ตั้งแต่เล็กจนโตนางเจียง หรือเจียงมามาอุ้มท้องตนข้ามน้ำข้ามทะเลมาไกล เพื่อมาคลอดนางที่แคว้นเล็กๆ ที่นี่ และทำหน้าที่เป็นแม่นมให้คุณหนูตระกูลเมิ่ง หลังจากนั้นพวกนางสองแม่ลูกก็ไม่เคยได้แยกห่างจากคุณหนูเลยสักครั้ง ผ่านเรื่องราวเลวร้ายมาด้วยกัน แต่คุณหนูของนางก็ไม่เคยทอดทิ้งสาวใช้อย่างนางและแม่นมอย่างนางเจียง

เมิ่งหลันเซียงนั่งหลับตาก่อนจะรื้อฟื้นความสามารถของตนที่มีอยู่เล็กน้อยพุ่งตรงไปหาเด็กน้อยในอ้อมกอดของตน

'โจวจื่อหยา หยาหยา...'

'เสียงใครอีกล่ะ' โจวจื่อหยาคิดอย่างตกตะลึง

เมิ่งหลันเซียงลืมตาด้วยความตกใจและจ้องมองบุตรด้วยสายตาแปลกประหลาดยามนี้บุตรสาวก็กำลังลืมตาจ้องมองตนด้วยความตกใจเช่นกัน

'ท่านแม่คุยกับข้าได้หรือ'

'เจ้ามีความคิดมากมายนี้ได้อย่างไร ทั้งที่เป็นเพียงเด็กทารก' เมิ่งหลันเซียงเพ่งกระแสจิตมองบุตรสาวอย่างสงสัย

'อ่อ... ดูเหมือนเพราะข้ามีแก้วดวงจิตอะไรนี่ล่ะ ท่านแม่ยามนี้ข้าอ่อนเพลียมากขอดื่มนมก่อนได้หรือไม่'

เมิ่งหลันเซียงรีบใช้ผ้าคลุมตัวก่อนแหวกหน้าอกให้เด็กน้อยดื่มนม ซึ่งโจวจื่อหยาก็เร่งดื่มนมอย่างหิวโหยทันที เมื่อดื่มน้ำนมที่หอมเป็นพิเศษจนอิ่ม จึงมองมารดาและลองพูดคุยกันทางความคิดดูอีกครั้ง

'ท่านแม่....'

'หยาหยาเจ้ารักษาพ่อของเจ้าหรือ'

'ท่านอย่าเพิ่งถาม ข้าปวดเบา'

'ก็ฉี่เลยสิ'

'ท่านพาข้านั่งกระโถนจะดีกว่าไหม ผ้าจะได้ไม่เปียก'

เมิ่งหลันเสียงตกตะลึง ก่อนจะมองรอบรถม้าไม่มีกระโถนอย่างที่บุตรสาวต้องการ มีแต่ถังใบเล็กๆ เอาไว้ตักน้ำ แต่เมื่อคิดว่าไม่ต้องทิ้งผ้าเปียกๆ ของบุตรสาวเพื่อเป็นการประหยัด จึงคว้าถังมาและจัดการเปิดผ้าจัดท่าทางให้บุตรสาว

"นายหญิงจะทำอะไรเจ้าคะ"

"อ่อ จะให้หยาหยาปล่อยของเสียนะ"

"โถ่วนายหญิง คุณหนูยังเล็กนั่ง ยังไม่รู้ว่าจะต้องปล่อยของเสียเวลาไหนหรอกเจ้าค่ะ" นางเจียงเอ่ยอธิบายด้วยสีหน้าจนใจ

'ท่านแม่เอาผ้าคลุมให้ข้าด้วยสิเจ้าค่ะ ข้าอายปล่อยของเสียไม่ได้หรอก'

'อายอะไรเจ้ายังเป็นเพียงทารก' แม้เมิ่งหลันเซียงจะคิดเช่นนั้น แต่ก็ใช้ผ้าห่อตัวบุตรสาวกางออกและทำเป็นกระโจมห่มคลุมร่างของบุตรสาว ปล่อยให้หัวเล็กๆ โผล่หน้ามามองผู้คนโดยเมิ่งหลันเซียงช่วยประคองคอและหลังของบุตรสาวเอาไว้

"นายหญิงเจ้าคะคุณหนูยังเด็กนัก ยังไม่สามารถ....."

"ชี่....ชี่......" เสียงน้ำและยังเริ่มมีกลิ่นของเสียลอยมาตามลม เป็นการตอบบทสนทนาด้วยการกระทำที่ตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง

โจวจื่อหยารู้สึกอับอายแต่ก็ไม่อาจฝืนกลั้นความต้องการทางธรรมชาติและทรมานร่างกายของตนได้ จึงหลับตาและขับถ่ายของเสียทั้งหนักทั้งเบาออกมาจนหมด

'ท่านแม่ เสร็จแล้ว'

เมิ่งหลันเซียงจัดการทำความสะอาดบุตรสาวอย่างคล่องแคล่ว และนำถังของเสีย ส่งให้เจียงมามาเพื่อส่งสัญญาณให้รถม้าชะลอเพื่อเทของเสียทิ้ง เอาไว้รอถึงสถานที่เหมาะสมค่อยนำถังไปล้าง คราวนี้นับเป็นการขับถ่ายที่ประหยัดผ้าไปได้อีกทางหนึ่งและทุกคนไม่ต้องทนกับกลิ่นของเสียจากเด็กทารก

โจวจื่อหยาเมื่อสบายตัวแล้วจึงนอนหลับไปอีกครั้ง ไม่ว่าเมิ่งหลันเซียงอยากจะพูดคุยกับบุตรสาวทางความคิดมากแค่ไหนแต่บุตรสาวก็ไม่โต้ตอบเพราะเด็กน้อยได้หลับสนิทไปแล้ว

วันนี้ไม่มีการต่อสู้ไม่มีคนตามฆ่า การเดินทางสงบเรียบร้อยมาโดยตลอด

คืนนี้เจิ้งฮุ่ยผิงเรียกจงเหลียงมาพูดคุยกันตามลำพัง ทั้งคู่กระซิบพูดคุยกันอยู่นาน ก่อนที่เจิ้งฮุ่ยผิงจะเดินกลับมาหานางเจียงผู้เป็นมารดาของตน

สองคนแม่ลูกกอดคอกันร้องไห้ และกระซิบร่ำลากันอย่างอาลัยอาวรณ์

เมิ่งหลันเซียงเลี้ยงดูโจวจื่อหยาอย่างเข้าอกเข้าใจกันดีเพราะยามนี้โจวจื่อหยาไม่เหมือนกับเด็กทารกผู้อื่นที่ต้องร้องไห้เพื่อให้ผู้ใหญ่มาดูแลตน

'ท่านแม่ข้าหิว'

'ท่านแม่ข้าอยากถ่ายเบา'

'ท่านแม่สมุนไพรตรงนั้นต้องเก็บไปให้เยอะ'

'ท่านแม่ดื่มน้ำเยอะๆ ดีต่อสุขภาพ นำน้ำที่มีสารอาหารบำรุงร่างกายไปทำอาหารด้วยเจ้าค่ะ'

'ท่านแม่ข้ามีพลังพอรักษาฮุ่ยผิงแล้วแต่ไม่อาจทำให้หายสนิทได้เพราะกลัวคนอื่นจะสงสัย เมื่อวานข้าไม่ได้คิดเรื่องนี้ให้รอบคอบก่อน' โจวจื่อหยายามนี้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว เมื่อสามารถพูดคุยกับมารดาอย่างเมิ่งหลันเซียงได้

เช้าวันต่อมาทุกคนต้องเดินทางต่อ แต่ฮุ่ยผิงกับจงเหลียนกลับพูดว่าจะขอแยกทางกับทุกคน

"หนทางข้างหน้าไม่มีคนติดตามนายท่านแล้ว ข้าจะล่อให้พวกมันเข้าใจผิดและติดตามข้าไปอีกทาง เพื่อให้นายท่านจะได้มีเวลารอขึ้นเรืออย่างปลอดภัย"จงเหลียนเอ่ยเหตุผลให้ทุกคนฟัง

"ข้าก็จะติดตามจงเหลียนไปด้วย เขาไปที่ไหนข้าก็จะขอติดตามเขาไปที่นั่น นายหญิง ข้าไม่อาจติดตามท่านไปในยามนี้ได้ หากมีวาสนาวันข้างหน้าข้าจะเดินทางไปหาท่านที่แผ่นดินใหญ่นะเจ้าคะ"เจิ้งฮุ่ยผิงเอ่ยอย่างโศกเศร้า

"ฮุ่ยผิงเจ้าเดินทางไปกับพวกข้าเถิด จงเหลียนด้วย ฮุ่ยผิงไม่ใช่ว่าเจ้าอยากพบหน้าบิดาและพี่ชายทั้งสองของเจ้ามาโดยตลอดหลอกหรือเจ้าจะแยกจากเจียงมามาในยามนี้ไปทำไม"

นางเจียงร้องไห้แต่ก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า "นายหญิงปล่อยฮุ่ยผิงไปเถิดเจ้าค่ะ เพื่อจะลบร่องรอยการเดินทางของพวกท่าน ต่อไปนายหญิงจะต้องสวมรอยเป็นเจิ้งฮุ่ยผิง เป็นบุตรสาวของข้าเจียงฝานและตาเฒ่าเจิ้งหลี่ ส่วนนายท่านก็จะกลายเป็นบุตรเขยของข้า ทำอย่างนี้พวกเราจะได้ไม่ต้องเสียเงินปิดปากคนมากมาย ที่แผ่นดินโน้นทุกคนรู้ว่าตาเฒ่าเจิ้งมีบุตรสาวกับข้าที่นี่อยู่หนึ่งคน หากว่าข้าพาบุตรสาวบุตรเขยและหลานอีกสองคนกลับไปบ้านเดิม คงจะไม่มีใครคิดสงสัยเจ้าค่ะ เพียงแต่คงต้องลดฐานะของนายท่านและนายหญิงแล้ว หวังว่าพวกท่านคงจะไม่รังเกียจข้า"

"เจียงมามา ท่านก็รู้ว่าข้ารักท่านราวกับเป็นมารดาแท้ๆ ของข้ามาโดยตลอด แล้วข้าจะรังเกียจท่านได้อย่างไร แม้แต่ภาษาบ้านเดิมของท่านข้าก็เรียนรู้และพูดได้มาตั้งแต่เด็ก แต่ข้าทำใจไม่ได้ที่จะทิ้งฮุ่ยผิงเอาไว้ที่นี่ เพื่อให้ข้าได้สวมรอยเป็นฮุ่ยผิง"

"นายหญิงของบ่าว ท่านต้องเชื่อบ่าวนะเจ้าคะ จงเหลียนมีฝีมือดีมากเขาปกป้องข้าได้อย่างแน่นอน อีกอย่างคนพวกนั้นต้องการเพียงตัวท่าน เมื่อหาท่านไม่เจอพวกเขาคงไม่ตามล่าข้าอย่างแน่นอน คุณหนูโปรดวางใจข้าก็จะเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่เช่นกัน ดังนั้นแผ่นดินนี้จะไม่มีคนนามว่าเมิ่งหลันเซียงอีกต่อไปแล้วเจ้าค่ะ "

โจวจวินมองจงเหลียนยอดฝีมือคนสนิทของเขา คนทั้งคู่สบตากันอย่างเข้าใจโดยไม่ต้องพูดอะไรกันให้มากความ

สตรีทั้งสามเอ่ยลากันด้วยความเศร้าใจ ก่อนที่รถม้าจะแยกไปอีกทางและม้าศึกตัวใหญ่สองตัวจะควบวิ่งออกไปอีกทาง การแยกจากคราวนี้ เป็นการแยกกันโดยไม่รู้ว่าในอนาคตจะได้พบเจอกันอีกหรือไม่

โจวจวินนั่งคู่กับคนขับรถม้าที่เป็นคนสนิทของตนอีกคน คนผู้นี้เป็นใบ้ ทุกคนจึงเรียกเขาว่าเจ้าใบ้ ภายนอกรถม้ามีแต่ความเงียบ แต่ภายในรถม้ามีเสียงร้องไห้ของสตรีสองคน คนหนึ่งอายุราวสี่สิบกว่าๆ อีกคนอายุยี่สิบต้นๆ ทั้งคู่พูดปลอบใจกันไปมา โดยมีเด็กชายวัยห้าขวบนั่งอุ้มเด็กทารกวัยเดือนกว่ามองสตรีทั้งคู่ด้วยดวงตากลมโต

วันนี้รถม้าเดินทางจนมาถึงท่าเรือในตอนเย็น โจจวินผู้มีแผลที่ดูน่ากลัวบนใบหน้าไม่พูดไม่จายืนอยู่กับเจ้าใบ้ ส่วนเมิ่งหลันเซียงที่ยามนี้เรียกตนเองว่าเจิ้งฮุ่ยผิงกำลังอุ้มเด็กทารกอีกมือจูงบุตรชายเดินตามหลังนางเจียงไปพบบุตรชายคนรองของนาง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel