บทที่ 4
เจิ้งฝูหลิงยืนอยู่กับลูกพี่หู่ของตนบริเวณท่าเรือ เขานัดแนะกับมารดาผู้ให้กำเนิดว่าจะมารวมตัวกันที่ท่าเรือในเย็นวันนี้ เขาไม่ได้พบเจอกับเจียงฝานผู้เป็นมารดามานานถึงห้าปีแล้ว เขาจึงรู้สึกตื่นเต้นมาก และยังมีอีกหนึ่งคนที่เขาไม่เคยพบเจอ แต่เขาคิดอยากจะพบหน้านางมาโดยตลอด คนผู้นั้นก็คือน้องสาวคนเดียวของเขา เจิ้งฮุ่ยผิง
เมื่อมองเห็นสตรีผู้มีวัยประมาณมีอายุประมาณสี่สิบปลายๆ แต่ยังดูแข็งแรงและคล่องแคล่วเดินนำหน้าสตรีวัยยี่สิบต้นๆ ที่กำลังอุ้มเด็กทารกและจูงเด็กชายวัยสี่ขวบเดินมาด้วยกัน เจิ้งฝูหลิงจ้องมองสตรีสูงวัยอย่างไม่แน่ใจก่อนจะยิ้มกว้างและหันมาบอกกล่าวลูกพี่หู่ของตนด้วยท่าทางยินดีเป็นอย่างยิ่ง
"พี่หู่ หญิงผู้นั้นคือท่านแม่ของข้า ข้าขอตัวไปหาท่านแม่ก่อนนะขอรับ" ยังไม่ทันได้ฟังคำตอบรับจากลูกพี่หู่ของตน เจิ้งฝูหลิงก็รีบวิ่งไปหามารดาของตนด้วยท่าทางดีใจราวกับเด็กน้อยผู้หนึ่ง ทั้งๆ ที่ตนก็มีอายุถึงวัยเบญจเพสแล้ว
"ท่านแม่ ข้ามารับท่านแล้วขอรับ" เจิ้งฝูหลิงวิ่งมาหานางเจียงฝานด้วยท่าทางดีใจ ก่อนจะแสดงท่าทางคำนับมารดาและเหลือบตาไปมองสตรีด้านหลังอย่างตื่นเต้น
"อาหลิง เจ้ารอแม่นานหรือไม่ มาๆ นี่แม่จะแนะนำให้เจ้ารู้จักกับน้องสาวแท้ๆ ของเจ้า"
"เจ้าคือฮุ่ยผิงใช่หรือไม่ นี่...เจ้ามีบุตรแล้วหรือไม่เห็นท่านแม่ส่งข่าวให้ข้ารู้บ้างเลย"
"พี่รอง ข้าคือฮุ่ยผิงเจ้าค่ะ และเด็กชายผู้นี้คือหลานบุตรชายคนโตของท่านเขามีชื่อว่า โจวจื่อหวาย และที่ข้าอุ้มอยู่คือบุตรสาวคนเล็กของข้านางเพิ่งคลอดได้เพียงเดือนเดียวชื่อโจวจื่อหยาเจ้าค่ะ" เมิ่งหลันเซียงผู้สวมรอยเป็นเจิ้งฮุ่ยผิงพูดคุยกับเจิ้งฝูหลิงด้วยน้ำเสียงสุภาพ ยิ่งเห็นท่าทางดีใจและสายตาที่มองตนอย่างอ่อนโยน เมิ่งหลันเซียงทั้งอบอุ่นใจและแอบรู้สึกผิดต่อเจิ้งฮุ่ยผิงตัวจริงและเจิ้งฝูหลิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าตนเองไม่ใช่น้อย ที่ต่อไปนี้ตนต้องหลอกลวง และรับเอาความรู้สึกดีๆ จากคนตรงหน้าแทนน้องสาวที่แท้จริงของเขา
"มาจื่อหวาย มาให้ลุงรองอุ้มเจ้าสักหน่อย ไอ้หยา ลุงรองไม่รู้ว่ามีหลานๆ ตามมาด้วยจึงไม่ได้เตรียมของขวัญพบหน้าให้แก่หลานทั้งสองคน ฮุ่ยผิง พี่รองจัดการเอกสารข้ามแดนให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว ประเดี๋ยวพี่รองจะไปทำเอกสารให้ลูกๆ ของเจ้าเพิ่มก็แล้วกันนะ"
"ถ้าเช่นนั้นข้าต้องรบกวนพี่รองช่วยทำเอกสารให้สามีของข้าเพิ่มอีกหนึ่งคนด้วยเจ้าค่ะ เขายืนเฝ้าของอยู่ทางด้านนั้น"
"ได้ๆ ว่าแต่สามีของเจ้าพูดภาษาของเราได้หรือเปล่า แต่พี่รองต้องขอชมเจ้าเสียแล้วว่าสำเนียงของเจ้าพูดเหมือนคนพื้นที่อย่างข้าเปี๊ยบเลย"
"สามีของข้าพูดภาษาบ้านเราได้เจ้าค่ะ แต่พูดได้ไม่มาก และปกติสามีของข้าก็ไม่ค่อยพูดกับผู้ใดอยู่แล้วเจ้าค่ะ ส่วนการพูดของข้านั้น ข้าหัดพูดภาษานี้กับท่านแม่มาตั้งแต่ข้ายังเป็นเด็กเจ้าค่ะ จึงพูดได้สบาย"
"ฮ่าๆ ป่ะๆ เจ้าพาพี่รองไปพบน้องเขยของข้าสักหน่อย พี่รองจะได้รีบไปทำเอกสารให้สามีและลูกๆ ของเจ้า"
โจวจวินเห็นบุรุษคนหนึ่งร่างกายกำยำแต่ไม่สูงใหญ่เท่าเขากำลังอุ้มบุตรชายของเขาเดินตามหลังเจียงมามาและฮูหยินของเขา โจจวินจึงเตรียมพร้อมเมื่อคนมาถึง เขาจึงคำนับตามที่ได้เรียนรู้มาก่อนหน้านี้และพูดสั้นๆ ว่า "พี่รอง"
หลังจากนั้นโจวจวินก็ไม่ได้เปิดปากพูดอีกเลย ส่วนใหญ่จะเป็นการสนทนาของเจิ้งฝูหลิงและนางเจียงฝาน มีเสียงเจิ้งฮุ่ยผิงตัวปลอมพูดคุยตอบคำถามบ้างเป็นระยะๆ
เมื่อเจิ้งฝูหลิงแยกตัวไปทำเอกสาร เขาได้พาพี่หู่กลับมาแนะนำให้ทุกคนได้รู้จัก คนผู้นี้เป็นหัวหน้าในการเดินเรือและควบคุมทุกคนบนเรือนสินค้า
เจ้าใบ้อยู่รอเพื่อช่วยขนของที่เตรียมมาขึ้นเรือสินค้าลำใหญ่ เมื่อขนของเสร็จเจ้าใบ้คุกเข่าก้มคำนับล่ำลาลงกับพื้น ก่อนจะเงยหน้ามองเจ้านายของตนอย่างอาลัย แต่ตัวเขาไม่สามารถติดตามเจ้านายของตนไปต่างแดนได้เนื่องจากเขายังมีภารกิจสำคัญรอให้เขากลับไปทำอยู่ที่นี่
เจิ้งฝูหลิงหาห้องให้ครอบครัวน้องสาวและมารดาของเขาได้อยู่รวมกัน ซึ่งเป็นห้องส่วนตัวขนาดใหญ่ใช้เงินจ่ายไปค่อนข้างสูง ส่วนตัวเขาก็ย้ายตัวเองไปนอนบนดาดฟ้าเรือแทน เขาขอแค่ฝากของที่สำคัญมาเก็บไว้ในห้องเท่านั้น
โจวจื่อหยานอนกระสับกระส่ายอยู่ในห่อผ้า ก่อนจะมีข้อเรียกร้องให้แก่เมิ่งหลันเซียงผู้ที่ต่อไปนี้จะใช้ชื่อว่าเจิ้งฮุ่ยผิง
'ท่านแม่ ข้าร้อนเหลือเกิน ท่านแม่หาผ้าโปร่งหรือตาข่ายมาทำเปลให้ข้านอนได้ไหมเจ้าคะ'
และแล้วเจิ้งฮุ่ยผิง มารดาผู้เชื่อฟังบุตรสาวก็รื้อของเพื่อหาเชือกมาถักเป็นตาข่ายก่อนจะผูกไปที่คานของเสาเรือ กลายเป็นเปลที่ห้อยลอยลงมาจากเพดานห้อง
"นายหญิงเจ้าคะ เปลนี่ก็ดีอยู่หรอกเจ้าค่ะ แต่บ่าวกลัวว่าคุณหนูน้อยจะตกเปลลงมาด้านล่างนะสิเจ้าคะ"
"ท่านแม่ต่อไปเรียกข้าว่าฮุ่ยผิงหรือเรียกข้าว่าอาผิงก็ได้ ต่อไปห้ามแทนตนเองว่าบ่าวและเด็กๆ ทั้งสองคนนี้คือหลานชายและหลานสาวของท่าน ต่อไปเรียกว่าจื่อหวายและจื่อหยาก็พอเจ้าค่ะ"
เจียงฝานมีสีหน้าเกรงใจ ก่อนจะคิดได้ว่าเพื่อความปลอดภัยตนเองต้องทำตัวให้ชิน จึงฝืนตนเองและพูดว่า"ได้ ต่อไปแม่จะพูดกับพวกเจ้าเหมือนชาวบ้านทั่วไป พวกเจ้าห้ามโกรธเคืองแม่เป็นอันขาด" เมื่อพูดจบเจียงฝานแอบเหลือบตาไปมองโจวจวินที่เวลานี้ เขากำลังนั่งใช้หินลับคมดาบเล่มใหญ่อยู่บนเตียง ส่วนโจวจื่อหวายกำลังรื้อคันธนูและลูกศรของบิดาออกมาดูเล่นอย่างสนใจ
โจวจวินรับรู้ถึงสายตาของเจียงฝานจึงตอบรับสั้นๆ ว่า"ขอรับ ท่านแม่ยาย" ก่อนจะก้มหน้าลับคมดาบของตนต่อไป
"ท่านแม่เปลอันนี้ข้าทดสอบลองให้จื่อหวายนั่งแล้วยังไม่ขาดเลย รับรองว่าหยาหยานอนเปลอันนี้ย่อมไม่ตกลงมาแน่นอนเจ้าค่ะ อีกอย่างนอนบนเปลก็ประหยัดพื้นที่ และมีลมพัดไปมาทำให้หยาหยาไม่ร้อนด้วยเจ้าค่ะ"
"ท่านแม่ข้าก็อยากนอนเปลขอรับ" โจวจื่อหวายร้องขอ
"ได้สิ เดี๋ยวแม่จะหาผ้ามาตัดและพันเป็นเชือก เพื่อนำมาถักเป็นเปลให้เจ้าอีกอัน"
"นาย..เอ้ย ฮุ่ยผิง เจ้าไปนำวิธีการใช้เศษผ้าเหล่านี้ถักเป็นเปลมาจากที่ไหน เมื่อก่อนแม่ไม่เคยเห็นว่าเจ้าถักเปลได้อย่างนี้" เจียงฝานเอ่ยถามเจิ้งฮุ่ยผิงคนนี้อย่างสงสัย
เจิ้งฮุ่ยผิงตัวปลอมทำตาล่อกแล่กก่อนจะพูดว่า "ข้าเพิ่งหัดทำเมื่อครู่ ท่านแม่ก็เห็นว่าข้าแก้เชือกอยู่หลายครั้ง หากนำผ้าดีๆ มาเป็นเปลข้าเสียดายผ้า จึงใช้เชือกและเศษผ้าที่ไม่ใช้มาลองทำเป็นเปลดูเจ้าค่ะ" แน่นอนว่าจะบอกใครไม่ได้ว่า โจวจื่อหยาที่มีอายุเพียงเดือนกว่าๆ จะพูดสอนให้มารดาอย่างตนใช้เชือกถักเป็นเปลให้นางเช่นนี้ พอเชือกไม่พอก็ให้ตนตัดผ้าที่ไม่ใช้นำมาพันเป็นเชือกแล้วนำมาถักเป็นเปลได้
ระหว่างที่ทุกคนพูดคุยกัน โจวจื่อหยาก็นอนหลับอยู่บนเปลอย่างสบายใจ
เจิ้งฝูหลิงเปิดประตูมาเห็นหลานสองคนได้นอนเปลคนล่ะอันในขณะที่น้องสาวกำลังก้มหน้าถักเปลอันใหญ่อยู่ เขาจึงทำหน้าหนาขอเปลจากน้องสาวอีกหนึ่งอันเพื่อจะเอาไปผูกนอนบนดาดฟ้าของเรือ
เช้าวันต่อมาเรือสินค้าลำใหญ่เริ่มเคลื่อนออกจากท่าน้ำ โจวจวินพาครอบครัวเดินมาที่บนดาดฟ้าของเรือ เพื่อจะได้มองเห็นภาพแผ่นดินของแคว้นแห่งนี้เป็นครั้งสุดท้าย
โจวจวินตั้งใจเอาไว้แล้วว่า ต่อไปนี้ชีวิตที่เหลือของเขาจะไม่มีวันกลับมาเหยียบแผ่นดินที่มีแต่ความเจ็บปวดแห่งนี้อีกแล้ว ตัวเขาและครอบครัวของเขาทุ่มเททุกหยาดเหงื่อสุดท้ายได้เพียงความตายเป็นรางวัลตอบแทน เขาทุ่มเทหยาดเหงื่อและหยดเลือดให้แก่แคว้นเล็กๆ แห่งนี้มามากพอแล้ว ต่อแต่นี้ไปโจวจวินจะใช้ทุกหยาดเหงื่อและทุกหยดเลือดเพื่อคนในครอบครัวของเขาเท่านั้น จะไม่ยอมทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นอีกต่อไป
ในขณะที่เมิ่งหลันเซียงก็แอบบอกลาคนตระกูลเมิ่งที่เสียชีวิตไปแล้วอยู่ในใจ ต่อไปนี้นางคือเจิ้งฮุ่ยผิง และได้แต่หวังว่าในอนาคตเจิ้งฮุ่ยผิงตัวจริงจะเดินทางไปหานางที่แผ่นดินใหญ่ได้สำเร็จ
โจวจื่อหวายแอบบอกลาท่านปู่ ท่านลุงและญาติพี่น้องตระกูลโจวที่เขารู้จัก
เจียงฝานแอบบอกลาบุตรสาวของตนอยู่ในใจ เพราะรู้ว่าบุตรสาวคงจะไม่มีชีวิตรอดกลับมาหาตนและครอบครัวอีกแล้ว
โจวจื่อหยา ...... เด็กน้อยนอนหลับโดยไม่สนใจผู้ใด คล้ายชีวิตน้อยๆ ของนางในชาตินี้เกิดมาเพื่อนอนเท่านั้น
