บทที่ 2
โจวจื่อหยาเพ่งมองดวงแก้วสว่างไสวลูกนั้นที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของตนโดยไม่มีใครมองเห็น มิเช่นนั้นคนในรถม้าคงตื่นเต้นที่มีดวงแก้วสว่างและลอยไปลอยมาได้แล้ว
'นี่คืออะไร' โจวจื่อหยาคิดในใจ
'เรียกข้าว่าแก้วดวงจิตก็ได้ ข้าเป็นแก้วดวงจิตของท่าน หากท่านอยากรู้เรื่องอะไรเชิญท่านถามข้าได้เลย ข้ามีความรู้มากมาย ข้ามีความสามารถมากมาย หากท่านอยากให้ข้าช่วยเหลืออะไรสามารถร้องขอได้ แต่ยามนี้พลังของข้ามีน้อย ท่านต้องบำเพ็ญดวงจิตเพื่อเพิ่มพลังให้ข้า' เสียงของดวงแก้วส่งเข้ามาในความคิดของโจวจื่อหยา
'บำเพ็ญอย่างไร'โจวจื่อหยาถามอย่างสงสัย
'ท่านต้องมีร่างกายแข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอและกินอาหารที่มีประโยชน์ ยิ่งท่านแข็งแกร่งข้าก็ยิ่งมีพลังส่องแสงได้มาก แต่หากว่าข้าดับแสงท่านก็จะมอดม้วยชีวีตามข้าไปด้วย เพราะข้าคือแก้วดวงจิตของท่าน'
'อะไรกัน แล้วข้ามีเจ้าติดตัวมาได้ไงเนี่ย ข้าตายไปแล้วมาเกิดใหม่หรือ ที่นี่คือที่ไหนทำไมข้าไม่รู้จัก ภาษาที่ได้ยินก็แปลกประหลาดทำไมข้าจึงฟังเข้าใจ'
'เป็นเพราะว่าข้าช่วยแปลภาษาให้ท่านฟังเข้าใจ ที่นี่คือแผ่นดินที่อยู่กึ่งกลางเส้นศูนย์กลางของโลกใบนี้เป็นแคว้นเล็กๆ ที่มีประวัติยาวนาน ข้าเป็นแก้วดวงจิตของท่านจึงติดตัวท่านมาแต่กำเนิด เมื่อท่านกำเนิดใหม่ข้ามีพลังที่ช่วยให้ท่านจดจำเรื่องราวในชาติที่แล้วได้ เพราะข้าคิดว่าความรู้ของท่านในชาติที่แล้วมีประโยชน์มาก ข้าจึงนำความรู้ในชาติที่แล้วของท่านมาเป็นความสามารถของข้า'
ระหว่างที่โจวจื่อหยาตกอยู่ในภวังค์ความคิด รถม้าที่วิ่งอยู่กลับโดนโจมตี เสียงผู้คนตะโกนจับใจความได้ว่า"ฆ่า" เสียงต่อสู้ดังเข้ามาในรถม้า ดังนั้นดวงแก้วที่ลอยอยู่ตรงหน้าโจวจื่อหยาจึงหายไป
โจวจื่อหยาตกใจจนร้องไห้ออกมา เสียงเด็กน้อยร้องไห้ดังลั่นรถม้า
"ชู่วร์ เด็กดีหยาหยาของแม่ เจ้าเงียบก่อนท่านพ่อของเจ้ากำลังต่อสู้อยู่ด้านนอกจะเสียสมาธิได้ จื่อหวายมานั่งข้างแม่"
เด็กชายขยับเข้ามานั่งข้างกายมารดาก่อนจะเหลือบตามองน้องสาวและเอื้อมมือน้อยๆ มาลูบอกเด็กน้อยเบาๆเป็นการปลอบโยนน้องสาว "ไม่ต้องกลัว ท่านพ่อของพวกเราเก่งมาก"
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดของพี่ชายอย่างโจวจื่อหวายหรือเป็นเพราะร้องไห้จนเหนื่อยแล้ว โจวจื่อหยาจึงสะอื้นเบาๆ ก่อนจะนอนหลับไปอีกครั้ง
เมื่อโจวจื่อหยาตื่นมาอีกครั้งการต่อสู้จบลงแล้ว รถม้ายังคงวิ่งกระแทกกระทั้นต่อไป โจวจื่อหยากะพริบตาก่อนจะดิ้นรนหันหน้าหาเต้านมมารดาอย่างหิวโหย เมื่อได้ดื่มกินจนอิ่มจึงขับถ่ายออกมาทำให้ผ้าห่อตัวเปียกชื้นไปหมด
แต่คนบนรถม้าก็ไม่มีใครบ่น ช่วยกันเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เด็กน้อยก่อนจะอุ้มกล่อมเด็กน้อยจนนอนหลับไปอีกครั้ง
โจวจื่อหยานอนหลับยาวนานจนถึงยามกลางคืน นางรู้สึกตัวเพราะกลิ่นอายของคนที่อุ้มตนเปลี่ยนไป กลิ่นของคนผู้นี้มีกลิ่นคาวเลือดจนฉุนจมูก แต่อ้อมแขนที่อุ้มนางอยู่กลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและระมัดระวัง
"เซียงเซียงอย่าร้องไห้อีกเลย แผลแค่นี้เล็กน้อยเท่านั้น ทุกคนปลอดภัยก็ดีแล้ว อีกสองวันพวกเราจะเดินทางถึงท่าเรือ หากลงเรือและออกเดินทางไปถึงแผ่นดินใหญ่พวกเราก็จะปลอดภัยแล้ว"
"แผลเล็กน้อยอะไร แผลที่หลังท่านคราวนี้ลึกมาก สมุนไพรที่ข้ามีอยู่ในมือแทบไม่พอพอกแผลให้ท่านด้วยซ้ำ"เสียงของมารดาของโจวจื่อหยาพูดด้วยเสียงสั่นเครือ
"อดทนอีกสองวันเท่านั้น ยามนี้พวกเราสลัดคนที่ติดตามมาได้แล้ว ต่อไปไม่น่าจะมีการต่อสู้ปะทะกันรุนแรงเช่นวันนี้ เจ้าอย่าเป็นห่วงข้าเลย ไปดูแลฮุ่ยผิงเถิด นางเอาตัวรับคมดาบแทนเจ้า ยาที่เหลือเจ้าก็ใช้รักษานางเถิด"
"วันนี้ข้าเกือบตายแล้ว หากไม่ได้ฮุ่ยผิง ข้าคง...."
"เจ้าไปรักษานางเถิดข้าจะอุ้มหยาหยาเอาไว้เอง ยามนี้เจียงมามากำลังดูแลฮุ่ยผิงอยู่"
"หากข้ามีความสามารถพิเศษเหมือนผู้มีสายเลือดธิดาเทพคนอื่นๆ ยามนี้ข้าคงสามารถรักษาทุกคนให้หายบาดเจ็บได้แล้ว"
"เซียงเซียงหากเจ้ามีความสามารถเหมือนธิดาเทพคนอื่นๆ ข้าคงจะไม่ได้แต่งงานกับเจ้าและมีบุตรชายอย่างจื่อหวายและมีบุตรสาวอย่างจื่อหยาอย่างแน่นอน สำนักหอแก้วเมิ่งเฟิ่งหวง ยามนี้ไม่มีอีกต่อไปแล้ว คนที่มีสายเลือดธิดาเทพก็หมดสิ้นแล้ว ต่อไปนี้เจ้าอย่าพูดถึงเรื่องสายเลือดธิดาเทพอะไรนั่นอีก เจ้ามีความรู้เรื่องวิชาแพทย์และสมุนไพรเท่านี้ก็ช่วยเหลือผู้อื่นได้แล้ว"
"ที่ท่านพี่พูดมาก็ถูก ข้าแค่เสียใจที่ไม่สามารถช่วยเหลือทุกคนได้มากกว่านี้ เช่นนั้นข้าฝากท่านพี่ดูแลจื่อหยาให้ข้าสักครู่นะเจ้าคะ ข้าขอไปรักษาอาการบาดเจ็บให้ฮุ่ยผิงก่อน"
โจวจื่อหยาเพ่งสมาธิเรียกแก้วดวงจิต มันจึงค่อยๆ ลอยออกมา
'ข้ามีสายเลือดธิดาเทพใช่ไหม จึงมีเจ้าติดตัวมาด้วย'
'คนภายนอกเรียกสายเลือดพวกท่านเช่นนั้น ผู้ครอบครองแก้วดวงจิตส่วนใหญ่จะเป็นสตรีตระกูลเมิ่ง'
'เช่นนั้นข้าอยากช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้ท่านพ่อ ต้องทำอย่างไร'
'ก็แค่ใช้ข้า'
'ใช้อย่างไรล่ะ เจ้าบอกสิ' โจวจื่อหยาคิดถามอย่างโมโห
'.......'
'ถ้าอย่างนั้นข้าใช้เจ้าไปรักษาอาการบาดเจ็บให้ท่านพ่อของข้า'
'ได้ตามที่ท่านปรารถนาข้าจะรักษาอาการบาดเจ็บให้บิดาของท่านเดี๋ยวนี้' และแล้วลูกแก้วก็ลอยวนไปรักษาอาการบาดเจ็บให้บิดาของโจวจื่อหยาทันที
'........' ใช้คือการใช้ คำสั่ง'ใช้'นี่เอง
'มีวิธีฟื้นฟูร่างกายของทุกคนที่นี่ไหม ทุกคนดูเหนื่อยล้าและอ่อนเพลียกันทุกคนเลย'
'ใช้ข้าเพิ่มสารอาหารเพิ่มพลังในถุงน้ำที่ทุกคนดื่มได้'
'เช่นนั้นเจ้าก็ทำสิ ข้าใช้เจ้า'
'ได้'
โจ่วจื่อหยากรอกตามองตามลูกแก้วที่ลอยไปลอยมา แสงของมันดูจางลงเรื่อยๆ ก่อนจะวนมาหาโจวจื่อหยา แล้วโจวจื่หยาก็รู้สึกอ่อนเพลียและนอนหลับไปทันทีเหมือนคนหมดแรง
โจวจวินหยางนั่งลงมองบุตรสาวที่หันหน้าไปมาอยู่นานพักใหญ่ก้อนจะหลับตานอนหลับไปด้วยสายตารักใคร่และสงสาร ตอนนี้โจวจวินหยางไม่รู้สึกเจ็บแผลที่หลังแล้ว สมุนไพรรักษาแผลของเมิ่งหลันเซียงช่างมีสรรพคุณในการรักษาแผลได้ดียิ่ง
"ท่านพ่อขอรับ พวกเรากำลังจะขึ้นเรือย้ายไปอาศัยอยู่ที่ไหนหรือขอรับ"
"โจวจื่อหวาย ต่อไปนี้พ่อจะใช้ชื่อโจวจวินมีอาชีพเป็นช่างตีเหล็กและนายพราน บ้านใหม่ของเจ้าจะเป็นแผ่นดินใหญ่ที่อยู่อีกฝากฝั่งของท้องทะเล ช่วงนี้เจ้าจะต้องพยายามเรียนรู้ภาษาของแผ่นดินใหญ่กับท่านยายเจียง"
"แล้วท่านปู่กับท่านลุงละขอรับ" โจวจื่อหวายถามอย่างสงสัย
สีหน้าของโจวจวินหยางพลันหม่นหมองและพูดด้วยน้ำเสียงเสียใจว่า "ท่านปู่และท่านลุงของเจ้าโดนโทษก่อกบฏ เสียชีวิตในสนามรบไปเมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้แล้ว ป้าสะใภ้รวมถึงญาติพี่น้องในตระกูลแม่ทัพโจวต่างโดนโทษประหารตายไปหมดแล้ว รวมถึงขุนศึกโจวจวินหยางและครอบครัวของเขาด้วย โจวจื่อหวายต่อไปนี้เจ้าคือบุตรชายของนายพรานและช่างตีเหล็กที่ชื่อโจวจวิน ปู่และคนในตระกูลโจวของเจ้ามีอาชีพนายพรานเท่านั้น"
โจวจื่อหวายมีดวงตาฉายแววเฉลียวฉลาด เขาหยิบถุงน้ำของตนนำมาให้บิดาของเขาดื่มอย่างรู้ความ "ข้าเข้าใจที่ท่านพ่อพยายามบอกแล้วขอรับ"
โจวจวินดื่มน้ำแล้วรู้สึกสดชื่น ความเหนื่อยล้าจางหายไปอย่างประหลาด ก่อนจะพูดกับบุตรชายว่า "ภาษาที่เราพูด ต่อไปนี้จะเปลี่ยนเป็นภาษาของแผ่นดินใหญ่ เจ้าต้องพยายามปรับตัว อีกสองวันตอนขึ้นเรือหากมีใครถามเจ้าหากไม่เข้าใจที่เขาพูดก็ให้เงียบไว้รอให้ท่านยายเจียงตอบคำถามแทนเท่านั้น"
"ขอรับท่านพ่อ" โจวจื่อหวายเอ่ยรับคำด้วยภาษาใหม่ที่ตนเพิ่งร่ำเรียนมา
เช้าวันต่อมาทุกคนต่างตื่นมาด้วยความสดชื่น น้ำที่ทุกคนดื่มทำให้ทุกคนคลายความเหนื่อยล้า โจวจวินขยับตัวแล้วต้องแปลกใจที่ไม่รู้สึกเจ็บแผลที่แผ่นหลังตนแล้ว ทั้งๆ ที่คิดว่าวันนี้ตนเองคงต้องมีไข้และเจ็บระบบจากบาดแผล แต่ด้วยความเร่งรีบออกเดินทางต่อเขาจึงไม่ได้เก็บเอาความสงสัยมาคิดมาก
เมิ่งหลันเซียงกลับเริ่มเอะใจคิดสงสัย ท่าทางสดชื่นของทุกคน นางเคยได้เรียนวิชาแพทย์อยู่ในหอแก้วเมิ่งเฟิ่งหวง ดังนั้นจึงรู้ความสามารถของผู้มีสายเลือดตระกูลเมิ่งดี แต่ผ่านมาสามรุ่นไม่มีธิดาเทพเกิดขึ้นในคนตระกูลเมิ่ง ความสามารถของสำนักหอแก้วเมิ่งเฟิ่งหวงจึงลดลง และสุดท้ายโดนใส่ร้ายว่าเป็นสำนักแม่มดหมอผีหลอกลวงผู้คน สำนักหอแก้วเมิ่งเฟิ่งหวงจึงโดนราชสำนักกวาดล้างจนหมดสิ้น
ตัวของเมิ่งหลันเซียงไม่มีความสามารถพิเศษแต่ท่านยายทวดของนางมีความสามารถพิเศษในการช่วยเหลือคนอื่น และเมิ่งหลันเซียงเคยพูดคุยกับท่านยายทวดในกระแสจิตได้ ยามนี้เห็นบุตรสาวนอนหมดแรงจึงส่ายหน้าและคิดว่าตนคงคิดมากเกินไปแล้ว บุตรสาวเพิ่งคลอดและมีอายุเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น
ก่อนออกเดินทางเมิ่งหลันเซียงพูดคุยกับโจวจวินผู้เป็นสามี ยืนเถียงกันอยู่พักใหญ่และนางเป็นผู้ชนะ จึงสั่งให้สามีถอดเสื้อเพื่อให้นางดูบาดแผลที่ใส่ยาไว้ตั้งแต่เมื่อวาน
แต่แล้วเมิ่งหลันเซียงก็ต้องตื่นตกใจเมื่อมองเห็นว่าบาดแผลของโจวจวินที่ดูสาหัสเมื่อวานจางหายไปแล้ว นางรีบสั่งให้สามีสวมเสื้อและหันไปมองบุตรสาวอย่างตื่นตกใจ
"ท่านพี่ อย่างไรเสียพวกเราก็อยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว แม้ว่าจะย้ายไปแผ่นดินใหญ่พวกเราก็ต้องหลบหนีผู้คน ยิ่งหลบอยู่ในป่าลึกได้ยิ่งดี เพื่อความปลอดภัยของบุตรสาวของพวกเรา"
