บทที่ 1
โจวจื่อหยารู้สึกเจ็บปวดใจเกินจะรับไหวเมื่อได้รับรู้ความจริงจากปากของคนที่ตัวเองรัก ที่แท้ครอบครัวที่เลี้ยงดูนางมาจนเติบโต กลับไม่ใช่ครอบครัวที่แท้จริง น้องสาวที่โจวจื่อหยาเอ็นดูรักใคร่มาโดยตลอด จึงจะเป็นบุตรเพียงสาวคนเดียวของบิดามารดา
วันนี้คือวันแต่งงานของโจวจื่อหยา ชุดเจ้าสาวที่สวยงามสวมใส่อยู่บนร่างของโจวจื่อหยาดูสวยงามราวกับเจ้าหญิง แต่ใบหน้าที่แต่งเอาไว้อย่างงดงามกลับมีแต่คราบน้ำตา
"คุณพ่อกับคุณแม่เลี้ยงดูพี่มาอย่างดีโดยตลอดตั้งหลายปี เวลานี้พี่ควรตอบแทนบุญคุณให้คุณพ่อและคุณแม่ได้แล้ว วันนี้พี่ต้องล้มเลิกงานแต่งงาน ถือว่าเห็นแก่หลานของคุณพ่อคุณแม่ที่อยู่ในท้องของฉัน"
โจวจื่อหยามองน้องสาว พลางยกมือขึ้นมากุมที่หน้าอกข้างซ้ายที่ยามนี้รู้สึกอึดอัดจนหายใจแทบไม่ออก น้องสาวที่ตนรักและคอยตามใจทุกอย่าง ยามนี้กำลังยืนเคียงข้างกับชายหนุ่มหล่อเหลาที่อยู่ในชุดเจ้าบ่าว
"โจวจื่อหยา ผมขอโทษ" เสียงนุ่มทุ้มที่โจวจื่อหยาเคยชอบฟัง แต่วันนี้เสียงของคนผู้นี้กลับกรีดหัวใจของโจวจื่อหยาเป็นชิ้นๆ ความรู้สึกเจ็บปวดและแน่นหน้าอกแผ่ลามกระจายไปทั่ว
ความรู้สึกหน้ามืด แน่นหน้าอกจนหายใจไม่ออกรุนแรงมากขึ้น จนโจวจื่อหยาไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้แม้แต่คำเดียว ร่างบางค่อยๆ ทรุดตัวลงกองไปกับพื้น หูได้ยินเสียงคนกรีดร้องโวยวายจนฟังคำพูดเหล่านั้นไม่ออกแม้แต่คำเดียว น้ำตาแห่งความทรมานไหลออกมาจากหางตาของโจวจื่อหยา
ท่ามกลางความเจ็บปวด ความทรมานและน้ำตาที่ไหลริน กลับได้ยินเสียงหญิงสาวกระจ่างใสพูดขึ้นว่า "ท่านพี่ข้าขอตั้งชื่อบุตรสาวว่าโจวจื่อหยานะเจ้าคะ" เสียงนี้อยู่ใกล้มากคล้ายสตรีผู้นี้กำลังพูดอยู่ข้างหูของตน
"ได้ พี่ตามใจเจ้า" เสียงของบุรุษผู้เคร่งขรึมเอ่ยขึ้นดังห่างไกลออกไป
"จื่อหวายเจ้าชอบชื่อนี้ของน้องสาวของเจ้าหรือไม่"
"อื้ม" เสียงเด็กผู้ชายพูดขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ความมืดมิดจะกลืนกินความรู้สึกและทำให้ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกต่อไป
โจวจื่อหยารู้ตัวอีกครั้งเมื่อรู้สึกหิว หิวแสบท้องจนต้องร้องไห้ออกมา ก่อนที่จมูกจะได้กลิ่นน้ำนมที่แสนจะหอมและมีรสหวาน โจวจื่อหยาจึงรีบดูดดื่มนมอย่างหิวกระหาย
"นายหญิง ยามนี้นายท่านกับจงเหลียงออกไปล่าสัตว์เจ้าค่ะ บ่าวหวังว่าเย็นนี้พวกเราจะมีเนื้อให้กินนะเจ้าคะ"
" หลายวันมานี้ต้องลำบากเจ้าเสียแล้วฮุ่ยผิง"
"บ่าวไม่ลำบากเลยเจ้าค่ะ ในถ้ำแห่งนี้อบอุ่นและปลอดภัยมากพอที่จะให้นายหญิงอยู่ไฟเพื่อฟื้นฟูร่างกายพอดี นายหญิงไม่ต้องห่วงคุณชายนะเจ้าคะ บ่าวจะออกไปดูแลคุณชายน้อยเองเจ้าคะ"
โจวจื่อหยาดูดกินน้ำนมจนอิ่ม และเปิดหูรับฟังคนทั้งหมดพูดคุยกัน ก่อนจะหลับไปอีกครั้ง
หลังจากหลับๆ ตื่นๆ อยู่หลายครั้ง โจวจื่อหยาก็รับรู้ได้ว่ายามนี้ตนเป็นเพียงเด็กทารกคนหนึ่ง ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ จำได้ว่าในวันงานแต่งของตนอาการโรคหัวใจกำเริบและหมดสติไป หรือว่านี่จะเป็นการตายไปแล้วมาเกิดใหม่ แต่ทำไมความทรงจำในชาติเก่ายังจำได้อย่างครบถ้วน รวมถึงความเจ็บปวดจากความทรงจำก็ยังอยู่ครบ
โจวจื่อหยาร้องไห้อย่างเจ็บปวดใจและเสียใจเมื่อคิดถึงเรื่องราวในอดีตของชีวิตตน พลันได้ยินเสียงสตรีที่แสนอบอุ่นพูดกับตนว่า "โอ๋ๆ บุตรสาวคนดีของแม่ เจ้าอย่าร้องไห้ไปเลยนะ เจ้ามีแม่อยู่กับเจ้าตรงนี้ มีท่านพ่อของเจ้าและมีพี่ชายของเจ้า อยู่ที่นี่แล้วเด็กดีไม่ต้องร้องนะ ไหนดูสิ เด็กดีร้องไห้ทำไม ไม่ได้ฉี่นี่นา เอ๊ะ เจ้าหิวใช่หรือไม่ มาๆ ดื่มนมซะนะเด็กดีของแม่"
โจวจื่อหยาส่ายหน้าเบะปากปฏิเสธ แต่สุดท้ายก็โดนบังคับ ให้อ้าปากดูดนมจนได้
ท่านแม่ผู้อ่อนโยนกำลังบีบคางของบุตรสาวให้อ้าปาก แล้วยัดนมจากเต้าของตนเข้าปากก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า "ดูสิ แม่รู้ใจเจ้าที่สุดแล้ว เด็กดีหิวแล้วใช่ไหมจึงดูดนมใหญ่เลย"
"........." โจวจื่อหยาต้องรีบกลืนนมลงคอให้ทันมิเช่นนั้นจะต้องสำลักน้ำนมอย่างแน่นอน ดูดนมไปน้ำตาก็ไหลไปด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วยข้าที ข้าทรมานเหลือเกิน
คล้ายสวรรค์จะได้ยินเสียงคร่ำครวญของโจวจื่อหยา จึงมีเสียงสตรีสูงวัยเอ่ยว่า "นายหญิงเจ้าคะ ท่านปล่อยใบหน้าของคุณหนูก่อน ในนี้อากาศร้อนเหงื่อคงจะชุ่มร่างทำให้คุณหนูไม่สบายตัวมากกว่าเจ้าค่ะ คุณหนูคงจะไม่ได้หิวเพราะคุณหนูเพิ่งดูดนมไปได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามเลย ส่งคุณหนูมาให้บ่าวพาไปเช็ดตัวเถิดเจ้าค่ะ"
"เป็นเช่นนั้นหรือเจียงมามา" สตรีผู้เป็นแม่จึงปล่อยคางของโจวจื่อหยา เด็กน้อยรีบอ้าปากหอบหายใจอย่างละโมบทำให้หยุดร้องไห้ทันที
เจียงมามามองเด็กทารกด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนก่อนจะอุ้มเด็กทารกออกไปเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นด้านนอก และเปลี่ยนผ้าอ้อมใหม่
โจวจื่อหยารู้สึกสบายตัวจึงพยายามเปิดเปลือกตามองรอบกาย แต่ก็ยังไม่สำเร็จคล้ายกับมีเงาอะไรมาเคลือบดวงตาเอาไว้ ทำให้โจวจื่อหยามองเห็นสิ่งรอบกายไม่ชัดเจน เมื่อรู้สึกสบายตัวความง่วงจึงมาเยือนอีกครั้ง โจวจื่อหยาขยับตัวก่อนจะหลับไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากฝืนตัวเองมาได้หลายวัน ดวงตาของโจวจื่อหยาจึงมองเห็นสภาพรอบกายได้ชัดเจนมากขึ้น
มารดาของโจวจื่อหยามีอายุราวยี่สิบกว่าปี เป็นสาวงามอยู่ในชุดโบราณ โจวจื่อหยาไม่ได้สนใจเรื่องชุดในสมัยโบราณจึงดูไม่ออกว่านี่คือชุดในสมัยใด
บิดาของโจวจื่อหยาอยู่ในชุดเสื้อแขนยาวสีดำมีเสื้อคลุมตัวยาวคลุมทับและรัดด้วยเข็มขัดหนัง รูปร่างสูงใหญ่ใบหน้าเรียวยาวบัดนี้มีแผลฉกรรจ์พาดเป็นทางยาวจากคางไปถึงหางตาข้างซ้าย หากขยับเข้าไปใกล้ตาอีกนิด ตาข้างซ้ายคงบอดไปด้วย
ได้ยินบิดามักจะเรียกมารดาสั้นๆ ว่าเซียงเซียง ส่วนมารดามักจะเรียกบิดาว่าท่านพี่ โจวจื่อหยาจึงไม่รู้ว่าทั้งคู่เป็นใคร แต่รู้ว่ายามนี้คนกลุ่มนี้กำลังหลบซ่อนตัวอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งกลางป่าลึกเท่านั้น
มีเจิ้งฮุ่ยผิงเป็นสาวใช้นางเป็นบุตรสาวของเจียงมามา หรือนางเจียงฝาน และมีจงเหลียงที่เป็นบ่าวคนสนิทของบิดาของโจวจื่อหยา และมีบ่าวชายที่เป็นใบ้ทุกคนเรียกเขาว่าเจ้าใบ้
คนทั้งหมดปรึกษาอะไรกันอยู่ โจวจื่อหยาฟังไม่ค่อยถนัดแถมหนังตาก็เริ่มหนัก ดวงตาหรี่ปรือใกล้จะหลับ ได้ยินเสียงสนทนาดังมาแว่วๆ ว่า
ต้องโทษประหารทั้งตระกูล.....ต้องหลบหนี......อาจจะโดนตามล่า....ต้องเปลี่ยนชื่อสวมแซ่
หลังจากนั้นก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้งบนรถม้า มีเสียงสนทนาแผ่วเบาอยู่ข้างหูเป็นภาษาที่โจวจื่อหยาไม่เคยได้ยินมาก่อน โจวจื่อหยาฟังด้วยความสับสน และเอ่ยขอร้องต่อสวรรค์ว่า 'ได้โปรดช่วยอธิบายให้ฉันเข้าใจได้หรือไม่ ว่าเรื่องนี้มีความหมายว่าอะไร'
และแล้วโจวจื่อหยาก็รู้สึกเหมือนตัวเองมองเห็นแสงสว่างเป็นดวงแก้วลูกกลมๆ พุ่งออกมาจากหน้าอกของตนและมีเสียงเข้ามาในหัวว่า 'ได้ตามที่ท่านปรารถนา ท่านต้องการรู้เรื่องอะไรถามข้ามาได้เลย'
