บท
ตั้งค่า

บทที่ 5

ห้องบนเรือที่พวกเขาอยู่กว้างขวางพอที่จะให้เจียงฝานจัดการใช้ผ้าบางๆมากั้นเป็นผ้าม่านแบ่งห้องเนื่องจากเตียงนอนมีอันเดียว เจียงฝานจึงยกให้ครอบครัวสี่คนพ่อแม่ลูกไป ส่วนตนเองมีฟูกที่ยัดนุ่นหนานำมาเป็นที่นอน เอาไว้ปูนอนกับพื้นในยามกลางคืน กลางวันก็พับเก็บเพื่อจะได้มีพื้นที่ให้ใช้ภายในห้อง

ในห้องมีแบ่งเป็นห้องขับถ่ายของเสียขนาดเล็กที่เพียงพอจะให้คนเข้าไปนั่งขับถ่ายได้คนเดียว และมีถังใส่น้ำหนึ่งใบเพื่อเอาไว้ใช้ น้ำจืดบนเรือต้องใช้อย่างประหยัด ซึ่งแต่ละห้องจะได้คนละหนึ่งถังเท่านั้น แต่เนื่องจากเจิ้งฝูหลิงเห็นหลานสาวยังเป็นเด็กทารก ตัวเขาเองมีบุตรชายหนึ่งคน จึงรู้ดีว่าเด็กทารก ต้องใช้น้ำเปลืองกว่าคนปกติ จึงกัดฟันขอซื้อน้ำจากพี่หู่เพิ่มวันล่ะหนึ่งถัง

ปกติน้ำจืดหนึ่งถังขายอยู่ที่ 50 อีแปะ 100 อีแปะมีค่าเท่ากับ1 ตำลึงเงิน 10 ตำลึงเงินเท่ากับ 1ตำลึงทอง

เจียงฝานอธิบายค่าเงินในแผ่นดินต้าหมิงให้ทุกคนฟัง สถานการณ์ตอนนี้เพิ่งก่อตั้งราชวงศ์ขึ้นมาใหม่เรียกว่าแคว้นต้าหมิง ค่าเงินตอนนี้ยังผันผวน แต่ประชาชนคนธรรมดาทำงานอยู่ในหมู่บ้านชนบท ใครมีเงินหนึ่งตำลึงทองคือร่ำรวย เพราะหนึ่งตำลึงทองคือเงิน1,000 อีแปะ

ซาลาเปาหนึ่งลูกราคา5 อีแปะ ดังนั้นน้ำจืดหนึ่งถังราคา 50 อีแปะหากเปลี่ยนเป็นซาลาเปาจะได้ซาลาเปา10 ลูก คนธรรมดาได้กินซาลาเปาหนึ่งลูกก็ถือว่าเป็นอาหารที่ล้ำค่าแล้ว ดังนั้นน้ำจืดหนึ่งถังนี้จึงต้องใช้อย่างประหยัด

โจวจื่อหยาจึงเริ่มรู้ว่าตนกลับมาเกิดใหม่ในยุคราชวงศ์หมิง แต่ชีวิตในชาติก่อนโจวจื่อหยามีอาชีพเป็นเภสัชกร บิดามารดาเปิดโรงงานผลิตยาสมุนไพรขาย ดังนั้นโจวจื่อหยาจึงสนใจศึกษาเรื่องพืชและสมุนไพรมากเป็นพิเศษ แต่ไม่เคยศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์ ไม่เชี่ยวชาญด้านแผนที่ จึงไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่มุมไหนของโลก ยิ่งภาษาที่ได้ยินก่อนหน้านี้ไม่ใช่ภาษาจีนกลางที่ตนเคยใช้ และไม่รู้ว่าโลกใบนี้กับโลกเดิมที่ตนจากมาเป็นโลกใบเดียวกันหรือไม่

โจวจื่อหยาคิดอะไรมากมายก่อนจะหลับไปอย่างอ่อนเพลีย ตั้งแต่ใช้แก้วดวงจิตรักษาบาดแผลให้โจวจวิน โจวจื่อหยาก็ไม่กล้าเรียกแก้วดวงจิตออกมาใช้งานอีกเลย เพราะจำได้ว่าแก้วดวงจิตเคยบอกกับตนว่า หากแก้วดวงจิตดับ นางก็จะตาย ดังนั้นเมื่อเห็นว่าแก้วดวงจิตมีสีอ่อนจางจึงไม่กล้าเรียกมันออกมาใช้อีก

ยามนี้โจวจวินและบุตรชายกำลังนั่งฉีกเศษผ้าเป็นชิ้นๆและช่วยกันพันผ้าให้เป็นเชือก เพราะทุกคนบนเรือชื่นชอบเปลที่เจิ้งฝูหลิงนำไปนอนมาก ยามนอนมีลมพัดผ่านร่างทำให้ไม่ร้อน ยามนอนก็ไม่ปวดหลังเหมือนกับนอนไม้กระดานแข็งกระด้าง และยังใช้พื้นที่ไม่มาก เรือสินค้าเป็นเรือไม้ขนาดใหญ่ที่มีเสาและมีคานมากมาย ดังนั้นจะผูกแขวนเปลนอนตรงไหนก็ได้

เจิ้งฝูหลิงเป็นคนพูดเก่งอัธยาศัยดี และมีหัวทางการค้า เริ่มแรกเขานำเปลไปมอบเป็นของขวัญให้ลูกพี่หู่ เมื่อเห็นลูกพี่หู่ใช้นอนเล่นในยามกลางวัน และยังนำไปผูกนอนตอนกลางคืนเมื่อเขานอนไม่หลับ หลายๆคนจึงอยากมีบ้าง

เจิ้งฝูหลิงจึงให้น้องสาวและมารดาของเขาช่วยกันนั่งถักเปลให้เขานำไปขาย โดยขายบนเรือไม่แพงนักเพราะใช้เชือกที่ทำจากเศษผ้าที่ไม่ค่อยมีราคา เขาซื้อเศษผ้ามาในราคา 5ตำลึงเงิน และขายเปลอันล่ะ100 อีแปะหรือ 1ตำลึงเงิน เศษผ้าที่ซื้อมาทำเปลได้เกือบ 20 กว่าอัน จึงมีกำไรเกินครึ่ง

"อาผิง พี่รองขายเปลของเจ้าหมดแล้ว 20 อัน พี่รองขอหักค่าผ้าไป 5 ตำลึงเงิน อ่ะนี่ส่วนของเจ้า"

เจิ้งฮุ่ยผิงมองเงินที่อยู่ในมือพี่ชายคนรอง ที่ยามนี้มี15 ตำลึงเงิน นางจึงผลักออก และพูดว่า "พี่นำเงินจำนวนนี้ไปใช้เถิด ถือว่าเป็นค่าเหนื่อยที่พี่เป็นคนนำไปขาย อีกอย่างการถักเปลนี่ก็ไม่ได้เหนื่อยอะไร มีอะไรให้ทำจึงไม่เบื่อ ดีกว่านั่งอยู่บนเรือเฉยๆ"

เจียงฝานอมยิ้มและบอกบุตรชายคนรองว่า "เจ้าเอาไปเถิด ยามนี้น้องสาวเจ้ายังไม่ขาดเงินในมือ ครอบครัวน้องสาวของเจ้ายังต้องพึ่งพาเจ้าในวันหน้าอีกมาก"

เจิ้งฝูหลิงไม่ยอมรับเงิน แต่ก็เถียงสู้คนอื่นไม่ได้ เขาจึงนำเงินที่ขายเปลได้กลับไป ก่อนจะกลับมาอีกครั้ง ในมือมีผ้ามาสามพับ เขายื่นมันส่งให้น้องสาวและพูดว่า "ผ้าเหล่านี้ข้าซื้อมาจากพ่อค้าผ้าในเรือ ราคาไม่แพงมาก เจ้านำไปตัดชุดใหม่ให้หลานๆใส่ หากไม่พอให้บอกพี่รอง จะได้ไปซื้อเพิ่ม"

เจิ้งฮุ่ยผิงจึงรับผ้ามาอย่างจำใจ ก่อนจะพูดคุยสอบถามเรื่องทั่วไป และได้รู้ว่าพี่รองของนางเดินทางมาในเรือลำนี้เพื่อมาทำการค้าด้วย เขานำพวกหนังสัตว์และเขาสัตว์มาขาย พอมีกำไรบ้างเล็กน้อย

"พี่รองค่าห้องบนเรือและค่าใช้จ่ายที่ซื้ออาหาร พี่รองช่วยคำนวณให้ข้าด้วยเจ้าค่ะว่าเป็นเงินเท่าไหร่ ข้าจะได้เตรียมเงินจ่ายได้เพียงพอ"

"เจ้าไม่ต้องจ่ายเงินส่วนนี้ท่านพ่อและพี่ใหญ่ต่างรวบรวมเงินมามอบให้ข้าจ่ายเพื่อเจ้าและท่านแม่แล้ว"

"จะใช้เงินของท่านพ่อและพี่ใหญ่พี่รองได้อย่างไร พวกท่านก็ไม่ได้มีชีวิตร่ำรวยหรูหรามากนัก พี่ใหญ่ยังมีบุตรชายอีกสองคนให้เลี้ยงดู พี่รองเองก็มีบุตรชายแล้วหนึ่งคน แค่พี่รองมารับข้าด้วยตัวเอง เสียเวลาทำการค้าของพี่รองไปตั้งเท่าไหร่ เงินส่วนนี้ให้ข้าจ่ายเถิดเจ้าค่ะ ข้าพอมีเงินเก็บมาบ้าง"

"เจ้าเก็บเงินไว้เถิด เห็นน้องเขยบอกกับข้าว่า เขาจะไปตั้งบ้านใหม่ที่หมู่บ้านเถียนซี พวกเจ้ายังต้องซื้อที่ ยังต้องสร้างบ้าน และน้องเขยคิดจะทำโรงตีเหล็ก นั่นต้องใช้เงินทั้งนั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมาเจ้าก็ส่งเงินกลับมาให้ที่บ้านไม่ใช่น้อย ตอนนี้ฐานะทางบ้านเจิ้งของเราไม่ได้แย่และลำบากเหมือนเมื่อก่อน เจ้าวางใจเถิดเงินส่วนนี้พวกพี่ชายและท่านพ่อยินดีจ่ายให้ครอบครัวเจ้าและท่านแม่"

"แต่ว่า..." เจิ้งฮุ่ยผิงกำลังจะพูดโต้แย้ง

"อาผิง เจ้าอย่าเกรงใจพ่อกับพี่ชายของเจ้านักเลย หนนี้ให้พวกเขาออกไปก่อนเถิด อาหลิงพูดถูก เจ้ายังต้องใช้เงินอีกมาก" เจียงฝานเอ่ยขัดคำพูดของบุตรสาว และตบลงไปบนมือของเจิ้งฮุ่ยผิงเบาๆ ปกติเจียงฝานจะเรียกบุตรสาวแท้ๆของตนว่าฮุ่ยผิง แต่ยามนี้นางเปลี่ยนมาเรียกบุตรสาวคนนี้ว่าอาผิง

โจวจวินขมวดคิ้ว ก่อนจะเรียกภรรยาของตนว่าอาผิงตามเจียงฝานผู้ที่เป็นแม่ยายของตน "อาผิง ทำตามที่พี่รองพูดเถิด เจ้าวางใจได้วันหน้าครอบครัวของเราต้องตอบแทนท่านพ่อพี่ใหญ่และพี่รองอย่างดีแน่นอน"

เจิ้งฝูหลิงเห็นน้องสาวยังมีสีหน้าเกรงใจอยู่จึงพูดว่า "ในเมื่อเจ้าเกรงใจพี่รองเช่นนี้ เอาอย่างนี้พี่รองคิดจะขายเปลเพิ่มอีก หากเรือสินค้าจอดแวะเทียบท่า พี่รองจะนำเปลที่เจ้าทำนำไปขายแลกเงิน ดังนั้นเจ้ากับท่านแม่ช่วยนั่งถักเปลให้พี่รองเพิ่มดีหรือไม่"

"ได้เจ้าค่ะ เรือสินค้ายังจะมีแวะเทียบท่าเรือที่อื่นอีกหรือเจ้าคะ"

"ใช้แล้ว อีกสองสามวันจะมีเทียบท่าเรืออีกแห่ง หากเจ้าสนใจก็ลงไปเดินเที่ยวดูสินค้าแปลกตาได้"

"เจ้าค่ะ พี่รองผ้าที่พี่นำมาให้ข้าถักเป็นเปลใกล้จะหมดแล้วพี่รองคงต้องไปหาซื้อมาเพิ่มให้ข้าแล้วเจ้าค่ะ"

"ได้เช่นนั้นข้าจะไม่เกรงใจเจ้าแล้ว จะซื้อมาเยอะๆหน่อย ฮ่าๆ นำไปขายที่ท่าเรือน่าจะได้กำไรมากกว่านี้ แต่ไม่ต้องฝืนร่างกายทำจนเหน็ดเหนื่อยล่ะ เงินสำคัญแต่สุขภาพร่างกายสำคัญยิ่งกว่า"

เจียงฝานอมยิ้มและพูดว่า "อาหลิง ถ่านที่ใช้ต้มน้ำใกล้จะหมดแล้ว เจ้าซื้อมาเพิ่มด้วย แล้วก็ซื้อขิงมาเพิ่มอีก น้องสาวของเจ้าต้องกินน้ำขิงเพื่อเรียกน้ำนม"

โจวจวินได้ยินอย่างนั้นจึงลุกขึ้น และนำห่อผ้ามาเปิดก่อนจะส่งเงินหนึ่งตำลึงทองให้เจิ้งฝูหลิง "ค่ากินและของใช้ พวกข้าขอจ่ายเอง หากไม่พอพี่รองมาเอาที่ข้าเพิ่มได้"

"โอ้ว นี่มันคือเงินหนึ่งพันอีแปะเชียวนะ ซื้อขิง 1 จิน ราคาแค่ 5 อีแปะเท่านั้น ถ่านหนึ่งชั่ง 30อีแปะ น้องเขยไม่จำเป็นต้องให้เงินข้าเยอะถึงเพียงนี้หรอก"

"ข้าไม่มีเศษเงิน" โจวจวินพูดสั้นๆแล้วกลับนั่งทำเชือกจากเศษผ้าต่อ

"........" เจิ้งฝูหลิง

"เอิ่ม...สามีของข้าแลกเงินตำลึงทองมาไว้ในมือเพื่อให้สะดวกในการเดินทาง จึงไม่ได้แลกเงินอีแปะหรือตำลึงเงินมาไว้นะเจ้าค่ะ เขาเป็นคนพูดห้วนๆสั้นๆ เพราะยังพูดภาษาของเราไม่เก่ง พี่รองอย่าโกรธเคืองเขานะเจ้าคะ"

โจวจวินเลิกคิ้วและหันไปมองหน้าภรรยาของตน ส่วนเจิ้งฝูหลิงมองเห็นแผลเป็นบนใบหน้าของน้องเขยแล้วเขารู้สึกกลัวเล็กน้อยก่อนจะฝืนยิ้มพูดว่า

"เรื่องเล็กน้อยๆ พี่รองจะโกรธเขาไปทำไม ฮ่าๆพี่รองขอตัวเพื่อไปหาซื้อผ้ามาให้เจ้าเพิ่มก่อนนะ รวมถึงซื้อถ่านและขิงด้วย" เมื่อพูดจบ เจิ้งฝูหลิงก็รีบเดินออกจากห้องไปทันที

เจียงฝานหันมาพูดกับโจวจวินว่า "อาหลิงขี้ขลาดแต่เขามีจิตใจดี ท่าน..เอ้ย ลูกเขยอย่าถือสาเขาเลยนะ เขาอาจจะพูดมากไปสักหน่อย"

"อืม เขาเป็นคนดี" โจวจวินพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะก้มหน้าทำเชือกจากเศษผ้าให้ภรรยาต่อไป และเริ่มศึกษาวิธีการถักเปล เพราะเขาอยากให้ภรรยาของเขาได้นอนพักผ่อน งานไหนที่เหนื่อยเขายินดีจะทำแทนนางเอง

โจวจื่อหวายรู้สึกง่วงนอน จึงปีนขึ้นไปนอนบนเปลก่อนจะดึงเชือกของเปลน้องสาวแกว่งไกวไปมาทำให้เปลของเขาขยับตามไปด้วย เจียงฝานจึงรีบดึงเชือกให้เปลของหลานทั้งสองคนแกว่งไกว เพื่อให้เด็กน้อยทั้งคู่นอนหลับสบาย

ตั้งแต่ที่โจวจื่อหยาสนทนากับเจิ้งฮุ่ยผิงได้ เวลานางหิวหรือจะขับถ่าย ก็จะส่งคำพูดไปทางความคิดเพื่อบอกมารดา หลังจากนั้น โจวจื่อหยาก็ไม่ร้องไห้อีกเลย ทำให้คนอื่นๆแปลกใจที่ไม่ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ดังมาออกจากห้องนี้เลย

หมายเหตุ :ค่าเงินในนิยายเรื่องนี้ (เรื่องสมมุติ)

1 ตำลึงเงิน = 100 อีแปะ

1 ตำลึงทอง = 1,000 อีแปะ

1 ตำลึงทอง = 10 ตำลึงเงิน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel