6 เชียนอี้คนใหม่
รถม้าคันเก่าหนึ่งคัน และขบวนม้านับสิบตัวที่แยกจากขบวนหลักที่มุ่งหน้าสู่วังหลวงเพื่อเข้าไปรายงานตัวกับกองทะเบียนทหาร ขบวนย่อยนี้คือเชียนอี้และแม่ทัพเหลียงอันคือประมุขตระกูลเหลียงคนปัจจุบันนั่นเอง
แน่นอนว่าก่อนมาถึงย่อมมีการส่งคนมาแจ้งก่อนอยู่แล้ว ตอนนี้เชียนอี้มองลอดช่องระหว่างผ้าม่านไปเห็นฮูหยินรองนำทีมบ่าวและบุตรสาวของตนออกมาต้อนรับ ตามด้วยกลุ่มคนของอนุเจียงที่เดินยืนเกือบเท่ากัน ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าหรือย่าของนางน่าจะเข้ากินเจกับวัดประจำจึงไม่มารอบุตรชายสุดที่รักที่นี่ด้วย
เหลียงเจียฉีกระโดดลงม้าอย่าสง่าผ่าเผย เข้าไปรับการต้อนรับและการถามไถ่จากสองสตรีที่ขนาดเชียนอี้มองจากที่ไกลๆยังรู้สึกว่าสองคนนั้นกำลังแข่งกันเอาใจบุรุษหนึ่งเดียว ทว่าความสนใจของบิดาก็ไปจบลงที่น้องรอง เชียนเอ้อ ที่เอ่ยเรียกและยื่นขันน้ำให้ผู้เป็นบิดาล้างหน้าล้างตาอย่างรู้งาน ค้างที่บุตรสาวของฮูหยินรองผู้เป็นที่โปรดปรานที่สุดนานหน่อย ค่อยถึงตาบุตรสาวของอนุเจียง น้องสี่ เชียนซื่อ ที่เข้าไปเช็ดเหงื่อไคลให้บิดาหลังจากเห็นพี่ต่างมารดาเอาใจเช่นนั้น ทว่าก็นั่นล่ะ คนเพิ่งเดินทางร้อนๆใครจะอยากให้มาแตะเนื้อต้องตัวมาก บิดาก้าวถอยเล็กน้อยเอ่ยห้ามด้วยเสียงแหบต่ำไร้อารมณ์โกรธ จากนั้นก็มองหาบุตรชายหนึ่งเดียวของเขาทันที ทว่าหาอย่างไรก็ไม่เจอจึงหันมามองฮูหยินรองที่หยักยิ้มเต็มหน้ามาตั้งแต่แรกยังไม่หุบยิ้มเลย
“แล้วจงชินอยู่ที่ใด?”
หน้าของฮูหยินรองที่เชียนอี้เห็นผ่านหน้าต่างดูฉายความร้ายกาจแบบหลบในรอยยิ้มรู้สึกผิดขึ้นทันใด ดูท่าแล้วนางคงกำลังรอเวลานี้เช่นกัน
“เอ่อ ท่านพี่เจ้าคะ เรื่องนั้นอาชินไม่สบายเพราะอ่านหนังสือข้างหน้าต่างหนักเกินไปเมื่อตอนเย็นวานเจ้าค่ะ ตอนนี้เลยนอนซมอยู่ ยังไม่ตื่นเจ้าค่ะ”
หึ ชาติก่อนก็เป็นเช่นนี้ ที่ไหนได้จริงๆแล้วน้องชายของนางตั้งใจตื่นสายเองต่างหาก เพราะเขาคิดว่าบิดาไม่ต้องการพบตนและอีกอย่างฮูหยินรองที่เลี้ยงเขามาก็ไม่บังคับเขาอยู่แล้ว พอบิดารู้เข้าก็โกรธอาชินยิ่งไปใหญ่เชียว แต่ชาตินี้เชียนอี้จะไม่ปล่อยให้ใครทำลายคนรอบตัวนางเช่นนั้นหรอก!
กุกกักๆ
“ข้าลงไปได้เลยไหม?”
เชียนอี้ตั้งใจบีบเสียงให้เล็กลงเล็กน้อย เอ่ยถามคนข้างนอกอย่างไม่ตั้งใจ แต่เสียงของนางนั้นเป็นตัวเรียกความสนใจคนอื่นที่กำลังคุยกันได้เป็นอย่างดี
“เอ่อ นั่น ในรถม้านั่นคือผู้ใดกันหรือเจ้าคะ?”
เป็นน้องรองที่เอ่ยถามเสียงที่เชียนอี้ได้ยินยังรู้สึกว่าติดจะไม่พอใจด้วยซ้ำ นางเดาว่าพวกนางอาจจะคิดว่าบิดามีสตรีใหม่ก็เป็นได้ เพราะความจริงแล้วยามไปทำศึกได้สตรีกลับมาเป็นอนุก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด
ความจริงเชียนอี้ดัดเสียงก็เพื่อสิ่งนี้นั่นแหละ
อยากปั่นหัวพวกนางเสียหน่อย
“อ้อ นี่พวกเจ้าจำเสียงของเชียนอี้ไม่ได้หรือ”
“เชียนอี้หรือ??? ท่านพ่อหมายถึงว่า...”
เอาล่ะ นางว่ามันถึงเวลาของคุณหนูใหญ่ตระกูลเหลียงแสดงตัวแล้ว
“ขออภัยด้วยที่ลูกออกมาช้าเจ้าค่ะ พอดีว่าชุดของลูกมันติดกับตัวเก้าอี้ข้างในรถม้า...”
เชียนอี้เดินลงจากรถม้าแล้ว นางส่งยิ้มทักทายคนในตระกูลเหลียงที่มีสีหน้าตื่นตกใจแทบทุกคน ก่อนมาหยุดที่เหลียงเจียฉีอันส่งสายตาบอกว่าไม่เป็นไรที่นางเอ่ยขออภัยเมื่อครู่
“นี่ก็จวนเรา ไม่มีใครเร่งเจ้าหรอก”
การสนทนาที่เป็นกันเองระหว่างบิดาและบุตรสาวคนโตอันสร้างความประหลาดใจเป็นอย่างมากแก่ทุกคนที่พบเห็น แต่ก็เต็มไปด้วยความเห็นด้วยว่าสิ่งที่คือสิ่งที่ควรจะเป็นไม่ผิด ภาพในความจำระหว่างบิดาใบหน้าเฉยชายามมองบุตรสาวคนโต และท่าทางหวาดกลัวของคนถูกมองไม่ชัดเจนอีกต่อไป
“เจ้าค่ะ อย่างไรมิดีกว่าหรือเจ้าคะที่เราจะเข้าไปถามสารทักข์สุขดิบกันด้านในจวน”
ชาติก่อนฮูหยินรองวางแผนจัดการให้เชียนอี้เสื่อมเสียชื่อเสียงมาอย่างดี คนรอบบ้าน หรือแม่ค้าในถนนถัดไปล้วนถูกเชิญกลายๆให้มาต้อนรับบิดากลับจากไปปราบโจร พร้อมข่าวที่นางถูกลักพาตัวที่บิดาได้รู้พร้อมกับชาวเมืองอย่างถ้วนทั่ว มาคราวนี้หากคุยกันหน้าจวนตอนนี้เรื่องทุกอย่างที่คนในรู้ก็ออกไปนอกจวนอีกแน่
แม้นเชียนอี้มั้นใจว่าจะไม่เป็นชื่อเสียงเสียของนางเยี่ยงเดิม ถึงอย่างไรก็ไม่ควร
"เข้าไปข้างในอย่างที่อาอี้บอกเถอะ คงมีเรื่องอันใดให้คุยอีกมาก...”
เชียนอี้ตามเจียฉีเข้าจวนไป ระหว่างเดินผ่านเหล่าสตรีชาวเหลียงที่ยืนนิ่งหาสติไม่เจอก็ส่งสายตาแหลมคมมั่นใจอย่างมิใช่เชียนอี้คนก่อนไปให้ นางเชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นฮูหยินรอง หรือ อนุเจียงเองได้เห็นแล้วก็ต้องรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในตัวนางแน่นอน
“ฮูหยินรอง อนุเจียง พวกท่านคงเป็นกังวลเรื่องที่ข้าหายตัวไปโดยไม่บอกพวกท่านมากใช่ไหมเจ้าคะ?”
คนเปิดก่อนได้เปรียบ เชียนอี้ก็เลือกเปิดปากก่อนทันที แน่นอนว่าพวกแม่เลี้ยงสองนางตรงหน้า หรือไม่เว้นแม้แต่น้องสาวทั้งหลายที่คงดีใจมากที่นางถูกโจรจับไป ย่อมไม่เข้าใจจุดนี้แน่นอน
ทว่าคำว่าหายตัวไปของเชียนอี้ก็สามารถเข้าใจได้ในกรณีที่นางถูกโจรพาตัวไปเช่นกัน
“แน่นอนเป็นกังวลมากมายจนนอนไม่หลับมาโดยตลอด พวกเราเพิ่งไปไหว้พระอยู่แท้ๆ ใครจะคิดเล่าว่าจะมีกลุ่มโจรร้ายจู่โจมจวนแม่ทัพได้ เจ้ายังเป็นเพียงสตรีในห้องหอแต่เจอเรื่องน่ากลัวเพียงนั้นช่างน่าสงสารจริงเชียว ท่านพี่เจ้าคะ น้องต้องขออภัยด้วยที่จัดการเรื่องนี้ไม่ดี...”
“หา!! นี่ท่านหมายความว่าจวนเรามีโจรปล้นหรือเจ้าคะ!?”
เชียนอี้หาได้คือคนที่ตกใจเพียงคนเดียวเสียที่ไหน นางมองบิดาที่ดวงตาเหลือกกว้างกว่าเดิม หัวคนกำลังคิดถึงคำพูดของซื่ออิงอยู่กระมัง ก็ใครจะคิดว่าอยู่ดีดีโจรจะเลือกปล้นจวนแม่ทัพได้เล่า อีกทั้งความจริงยังสามารถจับตัวบุตรสาวคนโตไปได้ด้วย
ชาติก่อนเจียฉีผู้เป็นบิดาคงถูกมารยาสตรีปิดตาจนมืดบอด ไม่ทันคิดว่าเหตุใดเรื่องนี้ถึงเกิดขึ้นภายใต้จมูกของเขาได้ แต่มาชาตินี้เชียนอี้ไม่ปล่อยให้คนเจ้าแผนการลอยนวลไปง่ายๆแน่
เชียนอี้มองสีหน้าแปลกใจของคนพูดเมื่อครู่แล้วชอบยิ่งนัก พวกนางคงไม่คิดว่าคนถูกโจรจับไปจะดูตกใจกับการที่บอกว่ามีโจรปล้นจวนได้
“ท่านพ่อเจ้าคะ เรื่องนี้ท่านทราบไหมเจ้าคะ? หรือว่าฮูหยินรองมิได้ส่งคนไปแจ้งบิดาว่าเกิดเรื่องใหญ่เพียงนี้”
“จวนเราถูกโจรปล้นเช่นนั้นหรือ?!!!”
น้ำเสียงทรงอำนาจผงาดกล้า เชียนอี้ว่าเจียฉีคงกำลังจะเริ่มโกรธขึ้นมาแล้ว
“อะ เอ่อ น้องๆ เอ่อ เรื่องนี้ท่านพี่มิทราบเรื่องอยู่แล้วหรือเจ้าคะ ก็ในเมื่อท่านพบ...”
ซื่ออิงเบนสายตามองเชียนอี้อย่างสื่อความหมาย
...นางคงหมายถึงว่าหากเจีบฉีพบกับเชียนอี้ที่ถูกโจรลักพาไปย่อมทราบเรื่องนี้แล้วสิ อันใดทำนองนั้นกระมัง
“ข้าเองก็ยังมิทราบเรื่องเลยเจ้าค่ะว่าจวนถูกปล้น ฮูหยิน
รองมองข้าเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไรกันเจ้าคะ?”
เชียนอี้อาศัยปากบอกไม่รู้ไม่เห็นและท่าทางหน้าซื่อตาใสเท่านี้บิดาเชื่อก็พอแล้ว การแสดงออกเหล่านี้นางก็ทำตามที่เหล่าสตรีตรงหน้าเคยทำต้องขอบคุณพวกนางที่สอนเชียนอี้ให้รู้จักท่าทางเยี่ยงสตรีอ่อนแอน่าปกป้องเช่นนี้ตลอดมาในชาติก่อน
สายตาที่ซื่ออิงมองมาเริ่มเปลี่ยนไป ความมั่นใจที่เหล่าโจรรายงานมาว่าจับเชียนอี้ออกไปสำเร็จลดน้อยลงจนกลายเป็นศูนย์
“หลังจากพวกเราที่ออกไปไหว้พระที่วัดบนเขารีบกลับจวนมาแล้วก็พบว่าเชียนอี้หายไปจากห้องจึงพากันคิดไปว่าน่าจะถูกโจรร้ายที่ปล้นจวนลักพาตัวไปด้วย องครักษ์ประจำจวนก็ถูกส่งไปตามหาเจ้ากันหมดจึงมิได้ส่งไปแจ้งแก่ท่านพี่ด้วยเจ้าค่ะ พอเห็นว่าเจ้าปลอดภัยกลับมาเช่นนี้ก็โล่งใจมาก”
“ฮูหยินรองคงมิได้ส่งคนออกตามหาข้าอย่างโจ่งแจ้งใช่ไหมเจ้าคะ???”
คำถามของเชียนอี้ทำให้คิ้วที่ขมวดมุ่นของเจียฉียิ่งขมวดปมยุ่งไปใหญ่
ชาติที่แล้วส่วนหนึ่งก็เพราะคนที่ส่งออกไปติดตามแบบชุ่ยๆเช่นนี้ล่ะทำให้ผู้คนพอรู้ว่าคุณหนูใหญ่จวนเหลียงถูกโจรจับไปแต่เมื่อใดโดยเอาไปผูกกับที่ชาวเมืองสังเกตเห็นพวกองครักษ์เหมือนตามหาอันใด ชื่อเสียงของเชียนอี้ก็ยิ่งเสียไปใหญ่เมื่อผู้คนรู้ว่านางอยู่กับพวกโจรร่วมสิบวัน
“เรื่องนั้น... ย่อมไม่สนใจเท่ากับความปลอดภัยของเจ้าแล้ว ข้าห่วงเจ้ามากจนลืมคิดเรื่องโจ่งแจ้งหรือไม่ไปเลยล่ะ”
ฟังแล้วก็ดูเป็นแม่เลี้ยงที่ดี ทว่าเต็มไปด้วยจุดประสงค์ร้ายมากมายแอบแฝง
“ข้าต้องขอบคุณในความหวังดีของฮูหยินรองมาก ทว่าข้านั้นหาได้ถูกพวกโจรจับไปไม่ ข้าแอบออกจากจวนตอนพวกท่านขึ้นเขาไปไหว้พระแล้วตามรอยกองทัพบิดาไปต่างหากเจ้าคะ และคาดว่าคงเป็นช่วงก่อนที่จวนจะถูกปล้นด้วย เช่นนั้นแล้วความหวังดีของฮูหยินรองก็คงเกิดผลร้ายแทนกระมัง มิทราบว่าไม่มีใครเจอจดหมายที่ข้าเขียนแจ้งว่าไปไหนที่ห้องนอนของข้าหรือเจ้าคะ??”
“นั่นเจ้าพูดจริงหรือ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน? ชะ...”
คำพูดของเชียนอี้ทำให้ซื่ออิงที่เชื่อมาตลอดว่าแผนการของตนสำเร็จลุล่วงเผลออุทานออกมาทันที ยังดีที่น้องรอง หรือ เชียนเอ้อสะกิดเรียกสติไว้ได้ก่อน
“เรื่องที่พี่หญิงใหญ่ว่ามานั้นคงต้องถามอนุเจียงที่ดูแลเจ้ามาเองแล้วล่ะ...”
เชียนเอ้อเอ่ยแทรกมารดาทันใด ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดผิดพลาดไปไม่รู้แต่ตอนนี้แม้นแผนจะไม่สำเร็จ แต่พวกนางก็ต้องตามน้ำไปก่อน
เชียนอี้หันมองน้องรองที่ชาติก่อนยกตนว่าสูงส่งไม่เคารพนางที่เป็นพี่ใหญ่ ต่อหน้าบิดา เรียกนางพี่หญิงใหญ่ ทว่าลับหลังไม่เรียกพี่ไม่พอ ยังชอบนำเรื่องไม่ดีของตนเองมาโยนใส่เชียนอี้ไม่ขาดอีกด้วย เห็นท่าทางสงบเสงี่ยมเรียบร้อยเช่นนี้ของเชียนเอ้อ ยามอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวนางเซียนแสนบริสุทธิ์จะกลายร่างเป็นนางปิศาจร้ายเก็บกดทันควัน บ่าวรับใช้ส่วนตัวส่วนใหญ่หากให้ถอดเสื้อผ้าออกหมดจะเจอรอยแผลเป็นทุกคน ผิวหนังนอกร่มผ้ากลับไร้รอยแผลใด
เชียนเอ้อถูกเลี้ยงมาอย่างตามใจโดยมารดาและด้วยความคาดหวังสูงเหล่านั้นเองทำให้ต่อหน้าผู้อื่นต้องแสดงตนเป็นสตรีเพียบพร้อมเรียบร้อย ซึ่งตรงข้ามกับนิสัยแท้จริงสิ้นเชิง
เชียนอี้รู้ทั้งหมดชัดเจน เพราะชาติก่อนที่มีคราหนึ่งมีข่าวลือว่าคุณหนูตระกูลเหลียงทำร้ายบ่าวจนตายออกไป และเพื่อทำให้คนในข่าวลืออย่างเชียนเอ้อบริสุทธิ์ ซื่ออิงก็ก็ปล่อยข่าวออกไปว่าเชียนอี้คือคนที่มีอารมณ์ร้ายถึงขั้นต้องกินยารักษาและไม่สามารถพาออกงานนอกจวนได้
เชียนอี้ชาติก่อนรับจบทุกข่าวลือแย่ๆ จนชินชาเลยล่ะ
“อนุเจียงไม่เห็นใช่หรือไม่?”
อนุเจียงในชุดงดงามตัวใหม่ยิ่งกว่าชุดทุกตัวในหีบเสื้อผ้าของเชียนอี้ตอนนี้กำลังเม้มปากแน่น จ้องมองสบตาเชียนอี้ด้วยสายตาฉายความสงสัยไว้เต็มเปี่ยม
ไม่แปลกเพราะตลอดเวลาที่เชียนอี้อยู่ในการดูแลของอนุเจียง อดีตบ่าวรับใช้ของมารดาผู้นี้ เชียนอี้มักเรียกว่าแม่เลี้ยง และแสดงความเคารพเสมอ แต่ตอนนี้นอกจากสรรพนามที่ใช้จะเปลี่ยนไปแล้ว สายตาที่ใช้มองไปยังเต็มไปด้วยความเหนือกว่าและไร้ความหวาดกลัวด้วย
“เอ่อ...เรื่องนั้น ในห้องเจ้าก็มิได้มีจดหมายอันใดนะ เท่าที่ข้าจำได้”
เหตุใดชาติก่อนนางถึงได้ยอมให้บ่าวทรยศเจ้านายผู้นี้กดข่มได้กันนะ เชียนอี้ในยามนี้มองบ่าวเหิมเกริมตรงหน้าที่เอ่ยกับนางอย่างตนเองเหนือกว่าแล้วรู้สึกยอมไม่ได้ยิ่งนัก
“เช่นนั้นพวกโจรที่ปล้นจวนคงเข้าห้องของลูกแล้วขโมยของไปหลายอย่างแน่เลยเจ้าค่ะ จดหมายที่ลูกตั้งใจเขียนทิ้งไว้บอกข่าวเพื่อไม่ให้คนในจวนเป็นกังวลมากนักก็หายไป ไม่รู้ว่าทรัพย์สินในห้องจะหายไปมากเพียงใด...”
ตามจริง เชียนอี้ไม่ได้เขียนจดหมายและนางก็ไม่สนใจว่ามีของหายเท่าใดนัก เพราะห้องของนางก็ไร้ของมีค่าอยู่แล้ว คำพูดของนางที่เอ่ยอย่างเป็นกังวลกับเจียฉีที่ยืนนิ่งสงบอารมณ์มาตลอดนั้นมีจุดประสงค์อย่างอื่นมากกว่า
...แม่ทัพใหญ่อันมีผลงานปราบโจร ชนะศึกมากมายเช่นเจียฉี แต่จวนของตนกลับถูกโจรที่ไหนปล้นมิรู้! เรื่องนี้มันช่างหยามหน้าแม่ทัพเช่นเขายิ่งนัก ถึงขนาดที่โจรสามารถบุกไปห้องของบุตรสาวคนโตได้อย่างหน้าตาเฉย ทรัพย์สินในจวนถูกขโมยไป แต่เขากลับไม่ได้ข่าวอันใดจากคนที่จวนตระกูลเหลียงเลยสักนิดเดียว หากว่าบุตรสาวคนโตไม่หนีตามขบวนกองทัพไปก่อนมิใช่ว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายที่สุดยิ่งกว่านี้หรอกหรือ!
“อาอี้ เจ้าพักผ่อนเถอะ เจ้าเดินทางมาเหนื่อยมากแล้ว เรื่องนี้ข้าจะจัดการชดเชยให้เจ้าเองมิต้องกังวล...
ส่วนเรื่องการจัดการดูแลจวนให้ดีนั้นในเมื่อฝากให้เจ้าดูแลแล้วผิดพลาดถึงเพียงนี้ ก็จำเป็นต้องพิจารณาใหม่อีกที พ่อบ้านฉีฮุ่ยที่ถูกพักงานไปข้าจะให้กลับมาจัดการเอง”
“แต่ท่านพี่เจ้าคะ เรื่องนี้อยู่นอกเหนือจากที่น้องคิดไว้! อีกทั้งหากเปลี่ยนคนดูแลจวนโดยไม่ปรึกษาฮูหยินผู้เฒ่าเช่นนี้จะทะ...”
“หุบปากเสีย! เรื่องท่านแม่ข้าคุยเองได้ เจ้าคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เล็กน้อยหรืออย่างไร!! ข้าไม่ลงโทษเจ้าเพิ่มที่สะเพร่าหลายเรื่องก็มากเกินพอแล้ว! อีกทั้งเรื่องในจวนนี้ประมุขของจวนหากมิมีอำนาจตัดสินใจไหนเลยจำเป็นต้องมีข้าด้วยกัน!”
เชียนอี้ยืนมองอยู่เบื้องหลังเจียฉีที่ระเบิดอารมณ์นิ่ง นางมองภาพที่หาได้ยากนี้อย่างต้องการซึมซับความรู้สึกนี้ไว้ ซึ่งท่าทางนี้ของเชียนอี้ล้วนอยู่ในสายตาของเชียนเอ้อทั้งสิ้น คนเรียบร้อยต่อหน้าลับหลังสุดแสนใจร้อนและเอาแต่ใจจึงจ้องมองพร้อมแผ่ไอสังหารออกมาจนคนถูกมองรู้สึกได้
เชียนอี้มองสบนิ่งโดยไร้ซึ่งความกลัวทั้งสิ้น หากเป็นเชียนอี้คนก่อนถูกสายตาคาดโทษนี้ของเชียนเอ้อไปคงตัวสั่นในหัวมีแต่ภาพนางถูกโบยด้วยแส้ประจำตัวของน้องรองจิตใจเลือดเย็นผู้นี้ไปแล้ว แต่พอผ่านชีวิตหลังความตายมาคราหนึ่ง ผ่านความรู้สึกทรมานและโดดเดี่ยวมานานนับปีสายตาแต่นี้นางไม่รู้สึกเลยสักนิด
“ข้าเห็นด้วยเจ้าค่ะ อย่างไรพ่อบ้านฉีฮุ่ยก็ถูกถ่ายทอดความรู้มาจากฮูหยินใหญ่ที่ลาลับไปแล้ว ข้าก็เคยเรียนรู้ด้วยหน่อยย่อมรู้ดีกว่าเขาชำนาญเพียงใด”
อนุเจียงเอ่ยแทรกเสียงนุ่มอย่างรู้จังหวะดี เชียนอี้ยังขอชื่นชมในใจ เป็นจังหวะที่บิดากำลังต้องการคนเข้าข้าง และในเวลาเดียวกันก็ทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่พอใจยิ่ง
ชาติก่อนนั้นตอนเชียนอี้กลับมาจวน นางยังไม่ทันถูกปลอบประโลมโดยใคร มีแต่ถูกถามหาเรื่องในอดีตที่ล้วนส่งผลให้บิดาไม่ชอบใจในบุตรสาวผู้มีแต่ความขี้ขลาดและสร้างเรื่องเสื่อมเสียมากขึ้นไปอีก สองสตรีในชาติก่อนยังสมัครสมานสามัคคีกันอยู่เลยมาชาตินี้เรื่องราวเปลี่ยนไปสองฝ่ายกลายเป็นอยู่ฝั่งตรงข้ามเสียแล้ว
“เป็นเพียงบ่าวก็เงียบปากไปเสีย ท่านพ่อและท่านแม่กำลังคุยกันอยู่”
น้ำเสียงสงบนิ่งแต่เต็มไปด้วยความเกลียดชังของเชียนเอ้อทำเอาคนถูกขัดหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย อีกทั้งยังถอยหลังและเขยิบเข้าหาบิดาอย่างคนต้องการที่พึ่ง
เท่าที่ชียนอี้ได้อยู่ใกล้บิดามาช่วงหนึ่งตอนระหว่างทางนั้น นางเข้าใจเขาอย่างหนึ่ง ว่าบิดาเป็นคนไม่ชอบเรื่องวุ่นวายเล็กๆน้อยๆที่ต้องใช้หัวคิด เขาจึงมีรองแม่ทัพหลี่คอยจัดการเรื่องราวยิบย่อยในกองทัพ ส่วนตนมีหน้าที่ฝึกทหารในกองตนและวางกลยุทธ์ เพื่อส่งต่อให้รองแม่ทัพหลี่นำไปถ่ายทอดอีกทีหนึ่งมากกว่า
ก็ไม่แปลกอันใดที่ตอนนี้บิดาจะขมวดคิ้วมุ่นสีหน้าถมึงทึงราวคนกำลังหลับท่ามกลางเสียงนกร้องอย่างไรอย่างนั้น
สตรีของตนแบ่งเป็นสองฝ่ายเถียงไปก็เถียงมาโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง มันก็หนักหนาสำหรับแม่ทัพใหญ่ผู้ชอบลงแรงไม่ชอบจัดการเรื่องเกี่ยวกับผู้คนอยู่แล้ว
เดี๋ยวเชียนอี้ผู้นี้จะเป็นนางเซียนมาโปรดให้บิดาพ้นทุกข์เอง
“ท่านพ่อเจ้าคะ ลูกเองก็ผิดที่ขัดธรรมเนียมของบรรพบุรุษจนทำให้ฮูหยินรองสละคนตามหาลูกจนไม่มีมาแจ้งข่าวให้บิดา ไหนจะเรื่องที่การจัดการดูแลภายในจวนที่หละหลวมจนเหล่าโจรร้ายปล้นจวนเราได้อีก...
เช่นนั้นลูกก็คือคนที่สมควรถูกลงโทษมากที่สุดเจ้าค่ะ”