5 กองทัพของบิดาคือเป้าหมายของนาง
เชียนอี้อดทนรอจนวันที่ขบวนของบิดาเข้าสู่ประตูเมืองที่นางหลบอยู่อย่างไร้การเคลื่อนไหว นางจ้างเสี่ยวเอ้อของโรงเตี๊ยมให้คอยส่งข่าว แม้นแลกกับเงินที่ค่อยๆ ร่อยหรอแต่สิ่งที่ได้กลับมาก็คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม วันแรกทันทีที่ขบวนบิดาก้าวเข้าสู่เมืองหลวงนางก็ถือโอกาสนี้รีบปรากฏตัวทันที
เชียนอี้เดินทางไปที่โรงเตี๊ยมแห่งที่บิดาเหมาไว้ให้กองทัพ นางถือโอกาสแต่งกายเป็นชายหนุ่มแบบไม่แนบเนียนบุกเข้าไปและแจ้งว่าต้องการพบแม่ทัพใหญ่เหลียงทันที โดยอาศัยว่าให้ลูกน้องของบิดาเอาเนื้อความที่ว่าคนมาพบคือบุตรชายของเขาไปบอก เพื่อใช้ความสงสัยใคร่รู้และมิอาจหลีกเลี่ยงไม่ให้ไขข้อสงสัยได้จนบิดายอมออกมาพบ แม้รู้ว่าไม่ใช่บุตรชายคนเดียวของตระกูลเหลียงจริงแต่เขาก็จำได้ว่าสตรีในคราบเด็กหนุ่มผู้นี้คือ บุตรสาวคนโตที่เขามิได้เห็นหน้ามานานนับปีนั่นเอง!
“เจ้า!..”
เชียนอี้ยิ้มจืดเจื่อนส่งไปให้ผู้เป็นบิดา ตามจริงแล้วในชาติก่อนนางไม่ได้เห็นใบหน้าของเขาชัดและใกล้เพียงนี้ตั้งแต่นางโตพอจนรู้ความ พอมาชาตินี้เห็นหน้าบิดาในระหว่างปฏิบัติหน้าที่กลับรู้สึกอัดอั้นขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจความรู้สึกตนเอง
ไม่ใช่ดีใจและคิดถึง แต่มันคือความรู้สึกไม่เข้าใจและฉงนมากกว่า ว่าแม่ทัพใหญ่ที่มีลูกน้องนับพัน ผู้คนต่างยกย่องว่าเป็นบุคคลที่มีคุณธรรมสูงส่งไม่ฝักใฝ่ในอำนาจ เหตุใดถึงไม่แยแสบุตรสาวและบุตรชายของฮูหยินเอกที่ตายไปแล้วเสียเลย
“ขอท่านแม่ทัพใหญ่เข้าไปคุยกันข้างในเถอะขอรับ”
หากเขาเอ่ยเปิดเผยตัวตนของนางออกมาตอนนี้ สิ่งที่เชียนอี้ทำมาทั้งหมดมิสูญเปล่าหรอกหรือ?
นางเดินตามผู้เป็นบิดาจนเข้าไปในห้องส่วนตัว มีคนของเขาปิดประตูมิดชิดแล้ว เชียนอี้จึงรีบคุกเข่าลงคำนับต่อหน้าบิดาทันใด
“ท่านพ่อเจ้าคะ ลูกขอยอมรับผิดในความอาจหาญของตนเองเจ้าค่ะ ลูกนั้นคิดตื้นเกินไปว่าตนเองนั้นเคยดูท่านพ่อฝึก
วรยุทธ์มาบ้างก็คิดว่าตัวเองน่าจะพอเอาตัวรอดได้ จึงแอบตามขบวนกองทัพของท่านออกมา แต่ไหนเลยจะคิดว่าคลาดกับท่านและหลงอยู่ที่เมืองนี้ได้ หากไม่เพราะหาทางกลับจวนมิได้แล้วเงินก็หมดตัวแล้วลูกคงไม่ไร้ยางอายหวังสารภาพผิดและขอติดตามท่านพ่อกลับจวนด้วยเช่นนี้เจ้าค่ะ ท่านพ่อจะลงโทษลูกอย่างไรก็สุดแล้วแต่ท่านเลยเจ้าค่ะ!!!”
ใช่แล้ว นางจะให้บิดาคือคนที่คอยยืนยันว่าตนเองอยู่กับเขาแทนเรื่องราวถูกโจรร้ายจับตัวไป
เชียนอี้กุเรื่องขึ้นมาทั้งหมดเพื่อซื้อใจบิดาที่มีนิสัยชอบคนกล้าหาญ ในชาติก่อนนางพอรู้ว่าเหตุผลหนึ่งที่บิดารักน้องรองมากกว่าตนก็คือความกล้าพูดและความกล้าหาญนี้นั่นเอง ชาติก่อนนั้นเชียนอี้ขี้ขลาดไม่พอ ยามเจอหน้าบิดาก็ตัวสั่นก้มหน้าก้มตาจนบิดารู้สึกเบื่อกระมัง ชาตินี้เชียนอี้ที่ตั้งใจมีชีวิตใหม่จึงเริ่มจากเปลี่ยนภาพลักษณ์ของตนในสายตาบิดาก่อนเป็นอันดับแรก
“เจ้าพูดอันใดออกมา เจ้าทำเรื่องเหล่านี้จริงรึ!!!”
แม่ทัพเหลียงเจียฉีตกใจและดูเหมือนจะไม่เชื่อก็ไม่แปลกอันใด เรื่องนี้เกินกว่าที่สตรีในห้องหอคนหนึ่งจะอาจหาญทำได้จริงๆ ไหนจะสตรีที่ว่าคือบุตรสาวที่ตนรู้และเข้าใจมาตลอดว่าขี้ขลาดแม้ยามสู้หน้าเขาผู้เป็นบิดา
แต่เขาก็หาเหตุผลที่ไยบุตรสาวที่สมควรอยู่ในจวนกลับแต่งกายเป็นชายและมีสภาพเลอะเทอะเช่นนี้ในเมืองที่ห่างไกลเมืองหลวงมิได้
มองดูแล้วท่าทางและสายตาของบุตรสาวที่เขามิได้สนใจมานานก็ดูไม่คุ้นตาอยู่บ้าง
“ลูกทำเช่นนั้นเองโดยมิได้ปรึกษาใครเลยเจ้าค่ะ เพราะลูกคิดว่ามิอยากทำตัวเป็นคนขี้กลัวเฉกเช่นเมื่อก่อนอีกแล้ว แต่ลูกก็ทำพลาดจนหลงจากขบวนทัพของท่านพ่อตั้งแต่ขาไปอยู่ดี ช่างเป็นไอ้คนขี้ขลาดมิต่างจากเดิมเลยเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงที่ดูผิดหวังของเชียนอี้ทำเอาคนเป็นพ่อใจกระตุกบ้างแล้ว เขามองบุตรสาวที่เขายังรู้สึกว่านางเปลี่ยนไปด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป...
ขนาดลูกน้องไร้ความสามารถ แม่ทัพเช่นเขายังให้โอกาสมามากมายจนนับไม่ถ้วน นี่บุตรสาวตนจะไม่ให้โอกาสได้อย่างไรกัน โชคดีเสียอีกที่นางปลอดภัยและพาตนเองมายอมรับผิดต่อหน้าเขาเช่นนี้ได้!
“เอาเถอะๆ เจ้ารู้ว่าตนผิดก็ดีแล้ว ข้าจะไม่ทำโทษเจ้าหรอก ลุกขึ้นเถอะ...”
เชียนอี้คำนับขอบคุณบิดาอีกคราก่อนลุกขึ้นตามสองแขนแก่งที่พยุงนางขึ้นยืน พอลุกขึ้นได้ก็เขยิบตัวออกห่างสองมือที่เชียนอี้ไม่ต้องการอีกแล้วอย่างไม่รู้ตัวทันที ทว่าเหลียงเจียฉีนั้นรับรู้ได้ถึงความห่างเหินระหว่างเขาและบุตรสาวของฮูหยินเอกที่ตายไปแล้ว
“เอาเป็นว่า เจ้าติดตามพ่อกลับเมืองหลวงอย่างเชื่อฟังหน่อยก็แล้วกัน ขาดเหลืออันใดก็เอ่ยบอกแก่รองแม่ทัพหลี่ได้”
“เจ้าค่ะ ข้าลา...”
เชียนอี้พยักหน้ารับคำ นางเดินตามบุรุษอันมีนามว่า หงซวน เขาคือคนใต้บังคับบัญชาของบิดาที่มีฝีมือดีและคอยจัดการเรื่องที่เกี่ยวของกับบิดาให้ได้เป็นอย่างดี ในชาติก่อนนางก็เคยได้รับความช่วยเหลือเล็กน้อยจากบุรุษอายุย่างยี่สิบปีผู้นี้มาบ้าง เขาคือคนที่รู้ว่านางมีชีวิตที่น่าสงสารแต่ด้วยตำแหน่งหน้าที่การงานจึงไม่อาจออกหน้าได้ แต่เพียงเขาแอบช่วยนางบ้างก็ซึ้งใจมากแล้ว
“คุณหนูใหญ่เหลียงพักห้องนี้ขอรับ ขาดเหลืออันใดแจ้งข้าได้เสมอ”
“ห้องนี้ดียิ่งนัก ทว่าหากข้าจะรบกวนพี่หงซวนช่วยหากระดาษและชุดหมึกให้ข้าใช้แก้เบื่อระหว่างพักอยู่ที่นี่หน่อยจะได้ไหมเจ้าคะ”
เชียนอี้คิดว่านางอยากเขียนสิ่งที่นางจำได้ในหัวออกมาเสียหน่อย เพราะอีกไม่กี่วันก็น่าจะเดินทางถึงเมืองหลวงแล้ว ที่จวนตระกูลเหลียงมีนักล่ารออยู่มากมาย หากนางไม่เตรียมตัวให้พร้อมจะเสียชาติเกิดที่สวรรค์ให้โอกาสนางได้
และอีกอย่างก็คือนางคิดว่าบุรุษตรงหน้าหากนางดึงเขาให้อยู่ฝ่ายนางได้ย่อมง่ายต่อแผนการในอนาคตจึงตั้งใจเรียกอย่างเป็นกันเองเช่นนี้ แม้นจะขบขันกับท่าทีไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรของท่านรองแม่ทัพที่กำศึกมานักต่อนักก็ตาม
“คุณหนูใหญ่เหลียงเรียกข้าเช่นนี้...”
“ข้ายกย่องในความสามารถของพี่หงซวนมาก และซาบซึ้งที่ท่านดูแลบิดาอย่างดีมาตลอด หากท่านไม่ชอบข้าก็จะเรียกท่านเช่นเดิมก็ได้เจ้าค่ะ”
เชียนอี้มีสายตาเศร้าลงเล็กน้อย จนทำให้บุรุษตรงหน้ารู้สึกว่าตนทำเกินเรื่องไปจริง
“เอ่อ อย่างนั้นเอาตามที่คุณหนูเห็นสมควรเลยขอรับ ส่วนสิ่งที่ท่านอยากได้ข้าจะรีบจัดหามาให้ขอรับ”
หงซวนขอตัวลาจากไป ให้เจ้าของห้องคนใหม่จัดการของตนเองและพักผ่อนทันใด
เชียนอี้นั้นนั่งนิ่งบนเก้าอี้หนึ่งเดียวในห้องนานนับเค่อเป็นการทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาพร้อมทบทวนความรู้สึกตนเองทีละนิด การที่เส้นทางชีวิตของเชียนอี้ตอนนี้ต่างจากชาติก่อนมาแล้วช่วงหนึ่งมันทำให้นางรู้สึกคาดหวังในชีวิตตนเองมากขึ้น
ชาติที่แล้วนางมักมองเพียงขาของบิดาเพราะไม่กล้าสบตาเท่าไร การไม่กล้าสู้หน้าบิดานี้มีต้นกำเนิดมาจากการที่เชียนอี้ในวัยประมาณห้าขวบที่ช่วงนั้นนางอยู่ในการดูแลของอนุเจียง อดีตบ่าวรับใช้สินเดิมของมารดาที่ถูกยกให้บิดาในช่วงที่กำลังตั้งครรภ์น้องชาย ภายหลังที่มารดาตายแล้วน้องชายที่เพิ่งเกิดไม่ถึงหนึ่งปีถูกมอบให้ฮูหยินรองดูแล ส่วนเชียนอี้ก็อยู่กับอนุเจียงแต่นั้นมา นางจึงได้ฟังเสียงกล่อมว่านางคือบุตรสาวที่บิดาไม่โปรด และไม่ควรทำตนให้คนอื่นลำบากใจมาโดยตลอด ลูกฮูหยินเอกที่ไม่มีใครสนใจจึงค่อยๆจางหายไปจากความทรงจำบิดาและไร้คนหย่ำเกรงแม้นลูกอนุเจียงอย่างน้องสี่
ด้วยความเป็นเด็กก็ต้องการความรัก เชียนอี้จึงพร้อมทำทุกอย่างและสละความสุขส่วนตัวทำให้แม่เลี้ยงอย่างอนุเจียงหันมาสนใจตน ใครจะรู้เล่าหากอนุเจียงผู้ไร้คนสนับสนุนอย่างมารดาของเชียนอี้แล้วจะใช้มารยารวมถึงเรื่องราวของฮูหยินเอกแสนรักของบิดามาทำให้ตนยังคงกลายเป็นที่โปรดปราณ สถานะเพียงอนุแต่กลับมีอำนาจในจวนไม่ต่ำไปกว่าฮูหยินรองมากนัก
เชียนอี้กลับไปจวนตระกูลเหลียงคราวนี้ นางไม่ขอตกเป็นเบี้ยล่างของอนุผู้นั้นแล้ว และก็มิใช่ว่าจะย้ายไปฝั่งฮูหยินรองที่ชาติที่แล้วตั้งใจเลี้ยงน้องชายของนางให้ไม่เอาไหนเช่นกัน นางจะตั้งศูนย์กลางอำนาจใหม่เป็นอีกขั้วหนึ่งของตระกูลเสียเลย อะไรที่ควรเป็นของมารดานางย่อมก็คือของนาง รวมถึงน้องชายนางด้วย
เชียนอี้จะไม่ยอมให้คนไม่หวังดีทำลายคนใกล้ชิดของนางให้ย่อยยับอย่างชาติที่แล้วแน่!
ตลอดหนึ่งวันหนึ่งคืนที่กองทัพของบิดาพักที่เมืองนี้ นางได้มีโอกาสกินข้าวร่วมกับเขาแทบทุกมื้อ แม้นจะไม่ได้สนทนาอันใดมาก แต่นางก็รับรู้ได้ว่าท่านแม่ทัพใหญ่ผู้นี้มองนางใหม่แล้ว สายตาแต่ก่อนมองมาฉายเพียงความไม่พอใจบางอย่าง แต่ตอนนี้แม้นไม่ได้เปี่ยมด้วยความรักแต่นางก็รับรู้ว่านางมิน่าใช่บุตรสาวนอกสายตาอีกแล้ว
“ตลอดหลายสิบวันที่ลูกอยู่ในเมืองแห่งนี้ได้ใช้เงินที่มีกับตัวไปแทบหมดแล้ว ของบางชิ้นที่มารดาทิ้งไว้ลูกก็นำไปแลกเงินหมด หากลูกกลับไปถึงจวนแล้วจะรีบทำตัวให้ดีชดใช้ที่ทำผิดไปทั้งหมดนะเจ้าคะ ไหนจะเรื่องที่อาจทำให้คนที่จวนเป็นห่วงอีก...”
ก่อนกลับไปจวนเชียนอี้พยายามพูดใส่หูบิดาเพื่อเตรียมสำหรับยามไปเจอเหล่าแม่เลี้ยงที่ย่อมต้องรายงานบิดาเรื่องที่นางถูกโจรลักพาตัวไประหว่างลงเขาแน่ และย่อมไม่เอ่ยว่าสาเหตุที่เชียนอี้ถูกจับตัวไปเพราะพวกนางไม่ใส่ใจดูแลนางนั่นเอง ชาติที่แล้วพวกนางอ้างว่าเชียนอี้ไม่ฟังคำสั่งจึงถูกจับตัวไปอย่างง่ายดาย มาชาตินี้เหตุผลก็คงไม่ต่างกัน
แต่สิ่งที่ต่างคือ เชียนอี้กลับมาพร้อมขบวนของบิดาต่างหาก นางปูเรื่องของตนว่าหลงในเมืองนี้และตั้งใจรอบิดากลับมาตลอดไม่วอกแวกไปไหน หากเขารับรู้เรื่องเชียนอี้ถูกจับตัวไปในเวลาต่อมาจากปากคนที่อยู่ที่จวน ก็จะคิดว่าพวกนางหาเหตุผลมาอ้างอิงที่เชียนอี้ไม่ได้อยู่ในจวนมากกว่า
ด้วยเพราะเชียนอี้เกริ่นกับบิดาเรื่องนี้แล้วนั่นแหละ พอได้ยินเหล่าแม่เลี้ยงตัวร้ายบอกมาภายหลังจากเชียนอี้อธิบายที่มาที่ไปตนเองแล้ว บิดาย่อมเชื่อนางที่เอ่ยก่อนพร้อมมีเหตุผลรองรับ แต่จะเอนเอียงไปทางแม่เลี้ยงไหมถึงเวลาเชียนอี้จะจัดการตอบโต้ฝ่ายนั้นเอง
ระหว่างเดินทางนี้นางจะเกลี้ยกล่อมบิดาให้เอ็นดูบุตรสาวคนนี้พร้อมทั้งซื้อใจคนสนิทรอบตัวของบิดาให้มากที่สุด
“เรื่องนั้นกลับไปข้าได้รับรางวัลแล้วเดี๋ยวจะมอบให้เจ้ามากหน่อยก็ได้แล้ว ส่วนเหล่ามารดาเจ้านั้นเจ้าอธิบายเหตุผลไปย่อมไม่โกรธอันใดนานหรอก ทีหลังทำอันใดก็คิดมากหน่อยก็แล้วกัน”
เหลียงเจียฉีอิ่มนานแล้วแต่ยังคงนั่งอยู่เพราะบุตรสาวของตนยังกินไม่เสร็จ เขามองดูแล้วเพิ่งสังเกตว่าใบหน้าของนางช่างคล้ายคลึงกับมารดาผู้ให้กำเนิดนางยิ่งนัก ไหนจะรอยยิ้มที่ส่งมายามกำลังเอาใจเขาหลังจากสารภาพผิดนั่นอีกล่ะ แต่ก่อนเขาเห็นแต่ไรผมนางไม่ก็หน้าผาก มองชัดๆอีกทีทำให้รู้สึกว่าคำกล่าวของอนุเจียงนั้นพูดมาผิดทั้งหมด
อนุเจียงเล่าว่าไป๋ลี่เหยา หรือ ฮูหยินที่ตายไปแล้วมีนิสัยเรียบร้อยมากในวัยเด็ก ตอนนี้เขากลับคิดว่าน่าจะแสบและซน กล้าติดตามทัพของเขามาตัวคนเดียวอย่างสตรีน้อยตรงหน้ามากกว่า...
ไหนจะที่บอกว่าอาเหยาเลือกกิน และไม่ชอบขนมตามท้องตลาดอีกล่ะ เขาว่าอาเหยาตอนวัยเยาว์น่าจะชอบกินขนมแปลกใหม่มิต่างจากบุตรสาวของนางที่กินง่ายและกินเยอะเช่นตอนนี้แน่
“เจ้าค่ะ ลูกจะไปขออภัยเอง อย่างที่ท่านพ่อเคยสอนว่า หากรู้ว่าทำผิดแล้วก็ต้องยอมรับ ถึงจะถือว่าเป็นยอดคน ใช่ไหมเจ้าคะ”
นางได้ยินจากบิดาเสียที่ไหน คุยกันสักแอ่ะก็หาได้มีไม่ แต่เพื่อเอาใจบิดาเชียนอี้จึงเอ่ยไปเช่นนั้นเท่านั้นเอง
นางเห็นสีหน้าบิดาย่นคิ้วสงสัยชั่วครู่แล้วค่อยพยักหน้ามุมปากหยักยกเล็กๆก็พอใจแล้ว
สตรีหนึ่งเดียวในกองทัพหาได้ถูกดูแลเยี่ยงสตรีอย่างที่คิดไม่ นางเพียงถูกดูแลดีกว่าตรงเรื่องการเดินทางที่ใช้รถม้าคันเก่าหนึ่งคันเท่านั้น นอกนั้นก็รับการดูแลมิต่างจากบิดาเลย เพราะกลัวว่าคนภายนอกจะจับสังเกตได้ว่าในขบวนมีสตรีแล้วยิ่งยังไม่ออกเรือนแล้วด้วย ยิ่งถูกมองไม่ดีแน่ จึงต้องปิดบังว่าเป็นบุรุษคนหนึ่งต่อไปจนเข้าสู่เขตเมืองหลวงเลยล่ะ