4 กระต่ายบ้านทรยศเสียแล้ว
นับแล้วช่วงนี้ก็ใกล้วันที่ขบวนทัพของบิดาจะเดินทางผ่านเมืองใกล้เคียงนี้แล้ว เชียนอี้คิดว่านางควรต้องออกไปจากจวนแห่งนี้เสียที ในช่วงที่นายท่านหายเข้าห้องอาบน้ำในวันนี้เชียนอี้ก็ใช้เวลาพักตอนนี้คิดวางแผนและเตรียมสำหรับการเดินทางหนีออกไปจากที่นี่
นางคิดว่าจะเขียนบอกลุงฉีป้าหยางเสียหน่อยว่านางความจำกลับมาแล้วจึงออกไปจากจวนและกลับบ้าน ส่วนถึงนายท่านนางจะฝากจดหมายว่าตนเองความจำกลับมาและไม่ขอรบกวนเขาต่อไป แล้วฝากไว้กับคนที่ไปส่งนางออกจากจวนให้เขานำไปส่งให้เจ้านายของจวนอีกที เพียงแต่นางคือผู้ใดหากคนอย่าง
ท่านฉีหมิงอยากรู้จริงย่อมสืบหาได้ง่าย นางไม่เขียนระบุไว้จะดีกว่า
ทว่าก่อนถึงเวลาเดินตามแผนนั้นในวันรุ่งขึ้น เชียนอี้ต้องรีบพาตัวเองไปเรือนพักผ่อนของเจ้านายก่อน นางจะดูแลเขาครั้งสุดท้ายนี้อย่างดีที่สุดเลย
คิดไปเช่นนั้นแต่เวลาล่วงเลยเกือบครึ่งชั่วยามแล้วที่เขาต้องออกจากห้องอาบน้ำแห่งนั้น วันนี้แปลกที่พ่อบ้านเฉียงฮุยไม่รออยู่กับนาง จะเอ่ยถามก็ไม่มีให้ถาม พอมองเลยไปไกลสุดสายตายังประตูเรือนอาบน้ำสุดลึกลับที่เชียนอี้สงสัยมาตลอดก็เหมือนมีมารตนใดมาผลักให้นางเดินจนมาหยุดที่หน้าประตูอาบน้ำแห่งนั้นเสียแล้ว
พรู่ววว
เอาให้หายอยากรู้หน่อยก็แล้วกัน เผื่อว่านายท่านจะมีอันตรายอยู่ด้านใน แม้นางต้องฝ่าฝืนคำสั่งสักหน่อยก็ยอมตายเพื่อเจ้านาย!
เมื่อท่องคาถาปลอบใจแบบหลอกตนเองเสร็จ มือบางก็ออกแรงผลักประตูบานใหญ่เข้าไปทันที
ลมแรกที่ปะทะหน้าคือลมที่พัดพาเอากลิ่นคาวเลือดเข้าสองจมูกของเชียนอี้จนต้องละมือจากบานประตูมาปิดรูจมูกสองข้างอย่างเร็ว ทว่าไอน้ำร้อนจากข้างในบดบังจนนางมองไม่เห็นอันใดเลย มองไม่เห็นแม้กระทั่งว่ามีใครอยู่ในนี้บ้าง
“ว้ายยยยย...”
เชียนอี้ถูกความเย็นของเหล็กทาบที่คอและมือข้างหนึ่งก็ถูกจับไว้ไขว้ข้างหน้า ส่วนร่างกายของนางก็แนบกับผิวกายเปียกชิ้นของผิวหนังคนจากข้างหลัง
“ที่แท้บ่าวส่วนตัวก็อยากเข้ามาร่วมสนุกกับข้าด้วยนั่นเอง”
ฉีหมิงไม่ปล่อยมือที่ถือมีดจากคอแม้จะรู้แล้วว่าผู้บุกรุกในขณะที่เขาเผลอหลับไปหลังอาบน้ำเสร็จคือใคร ความตกใจเมื่อครู่ของเขาต้องมีคนบางคนชดเชยให้มิเช่นนั้นเขาต้องนอนไม่หลับแน่
“บะ...บ่าวเข้ามาตามนายท่านเพราะเห็นว่าวันนี้เกินเวลาไปมากเท่านั้นเจ้าค่ะ มิได้ตั้งใจฝ่าฝืนกฎแต่อย่างใดเลย”
ถึงตอนนี้ฉีหมิงโยนมีดในมือทิ้งออกไปไกลเกิดเสียงดังสะท้านจนคนในอ้อมแขนของเขาที่ยังไม่ถูกปล่อยเป็นอิสระสะดุ้งสุดตัว เขาใช้มือที่ว่างแล้วจับหัวไหล่ของสตรีใจกล้าให้ร่างกายหมุนกลับมาประจันหน้ากัน
จะพูดอันใดย่อมต้องมองหน้ากันมิถูกหรือ?
“แต่นอกจากกฎที่ว่าห้ามเข้าแล้วยังมีกฎอีกข้อหนึ่งที่บ่าวหน้าใหม่อย่างเจ้าอาจไม่รู้นะ อยากรู้หรือไม่?”
ไม่อยากรู้เลย ปล่อยข้าไปเถอะ!!! ฮือ
แม้นในใจจะร่ำร้องเช่นนี้นับล้านครั้งแต่ชีวิตจริงบ่าวตัวน้อยไร้อำนาจเช่นนางเมื่อยืนต่อหน้าต้าไท่ฝูที่ยิ่งใหญ่คับแคว้นจะเอ่ยปฏิเสธได้อย่างไร...
“ยะ อยากเจ้าค่ะ”
มุมปากของเจ้าของเรือนผมสีขาวมุกเปียกนำจนจับตัวเป็นก้อนหยักยกจนคนเอ่ยบอกอยากแทบร้องไห้ในทันใด
“สตรีคนใดที่ย่างเท้าเข้ามาในห้องอาบน้ำของข้าล้วนต้องออกกำลังกับข้าก่อนถึงจะเดินออกไปได้นะ...”
ภาพหลายวันที่ผ่านมายามสตรีผู้รับใช้เจ้านายในห้องอาบน้ำแห่งนี้เดินออกมาเหงื่อโชกตัว ดูไร้เรี่ยวแรง ฉายเวียนในหัวเชียนอี้ทันที
นางไม่เคยคาดเดาได้มาก่อนว่าพวกนางเข้าไปทำอันใดกับนายท่านข้างหลังผู้นี้ แต่ฟังประโยคล่อแหลมเมื่อครู่แล้ว กิจกรรมที่ว่าเชียนอี้นึกถึงเรื่องการเสพสังวาทระหว่างบุรุษวัยกำหนัดและสตรีวัยเจริญพันธุ์ขึ้นมา...
ใบหน้าขาวก็ปรากฏริ้วสีแดงขึ้นทันที
ไม่รอให้ใครคิดไปไกลกว่านี้ ร่างสองร่างที่ยืนบนพื้นอย่างมั่นคงอยู่ดีดีก็ถูกคนด้านหลังพาไถลไปสุดขอบสระอันมีไอน้ำขาวโพลนปกคลุม และไม่ต้องเอ่ยถามให้คลายความสงสัยร่างบอบบางของคนด้านหน้าก็ปลิวกระเด็นไปข้างหน้ากลางอากาศและตกลงสู่ที่ต่ำทันที
ตูม!!!
เวลาผ่านไปชั่วพริบตาคนที่เพิ่งตกน้ำไปก็โผล่ขึ้นสู่ผิวน้ำด้วยสภาพสุดแสนไม่น่าชม เส้นผมเข้าปากที่กำลังสำลักน้ำ หลับตาหยีส่ายสะบัดน้ำจนกระเซ็นไปรอบทิศ
“แค่กๆ นายทะ แค่กๆ ท่านทำอันใดบ่าวเจ้าคะ”
“เจ้ามาพอดี ฝากว่ายไปอีกฝั่งหยิบผ้าผืนนั้นกลับไปให้ด้วยแล้วกัน”
คนทำเชียนอี้ตกน้ำหมุนตัวจากไปแล้ว ทิ้งสตรีเปียกปอนยืนมองตาเขียวปัดอยู่เบื้องหลัง
จะว่าไปกลิ่นเลือดตอนเข้ามาหายไปแล้วนี่นา มองดูภายในห้องอาบน้ำแสนใหญ่โตเกินกว่าจะใช้คนเดียวจนรอบทิศก็แล้วไม่เห็นว่าสิ่งใดน่าจะเป็นที่มาของกลิ่นเลือดได้เลย นางจึงจำเป็นต้องรีบสลัดความสงสัยเมื่อครู่ออกไปและว่ายไปหยิบของให้เจ้านายก่อนว่ายกลับขึ้นฝั่งและตามเจ้านายไป
หลังจากประตูในห้องอาบน้ำแสนลับปิดลง เงาสีดำหลายร่างก็กระจายตัวเปิดเผยตัวตนและรีบจัดการสถานที่อย่างไวที่สุด...
เช้าวันถัดมา เชียนอี้ขอโดยสารออกจากจวนมากับพี่ชายผู้มีหน้าที่ขนขยะไปทิ้งนอกจวน และก็พาบ่าวอีกคนไปซื้อของที่ตลาด ส่วนเชียนอี้ก็แยกจากกันไปตรงนั้น โดยบอกกับพวกเขาว่าแจ้งกับพ่อบ้านเรื่องลาออกเรียบร้อย แต่ในความจริงคือนางเขียนจดหมายทิ้งไว้ในห้องพักของคน และฝากวานให้คนนำไปให้พ่อบ้านเท่านั้น
ใจความบอกถึงว่านางความจำกลับมาแล้ว แต่ขอแยกตัวกลับบ้านเอง และเอ่ยขอบคุณที่เมตตาในช่วงที่ผ่านมา
เชียนอี้นำเงินที่ได้มาถุงหนึ่งตอนถูกไล่ออกคราแรกผสมกับค่าจ้างที่นางทำงานมาเพื่อใช้เลี้ยงดูตนเองทั้งค่าอาหารและค่าโรงเตี๊ยมที่ตนต้องพักระหว่างรอขบวนทัพของบิดาเดินผ่านเมืองนี้มา
เท่าที่คำนวณสามารถใช้จ่ายได้สบาย พอมีเหลือด้วยซ้ำ
สิ่งที่เชียนอี้ต้องทำก็คือ นางต้องรอเวลาเหมาะพาตนเองไปโผล่ให้บิดาเห็นหน้าและขอกลับตระกูลเหลียงยังเมืองหลวง นั่นทำให้เชียนอี้เลี่ยงชะตาที่ตนเองถูกตราหน้าว่าไม่บริสุทธิ์อย่างชาติก่อนจนมิอาจแต่งออกไปกับบุรุษตระกูลดีได้
ด้วยความที่เชียนอี้นั้นหวั่นใจกลัวถูกคนของฉีหมิงตามกลับไปไม่ว่าเหตุผลใดก็ตามนางจึงพยายามไม่ออกไปไหน หากไม่มีธุระจำเป็นจริงก็ไม่คิดย่างก้าวออกจากห้องพักของตนเลยแม้แต่ก้าวเดียว
ด้วยเหตุผลนี้ทำให้แม้นคนของฉีหมิงเก่งและมีมากเพียงใดหากเจ้าตัวไม่เคลื่อนไหวก็ยากจะตามตัวเจอนั่นเอง
“ให้กระจายกำลังคนทุกห้องในโรงเตี๊ยมและส่วนที่ให้พักเลยไหมขอรับ นายท่าน”
ด้วยความที่คำสั่งนี้หากไม่จำเป็นก็คงไม่อาจเข้าถึงความส่วนตัวของประชากรแม้นว่าสิ่งนี้อำนาจใหญ่ค้ำฟ้าอย่างฉีหมิงจะทำได้อยู่แล้วก็ตาม แต่พวกเขาก็ต้องถามความจำเป็นจากเจ้านายก่อน
“อืม ยังหาไม่เจออีกหรือ?”
เสียงเย็นเยียบกำจายรอบตัวทำให้คนฟังรู้สึกขนลุกถ้วนทั่ว อารมณ์ในน้ำเสียงไม่แน่ใจว่าจะไปทางไม่พอใจหรือว่าจะเป็นการชอบใจจนเกิดความคิดสนุกบางอย่างขึ้นมากันแน่
“ขอรับ”
ทุกคนล้วนนิ่งค้างท่าเดิมรอเฝ้ารอเจ้านายจัดการรับสั่งต่อมา...
“ไม่ต้องดีกว่า อย่างไรกระต่ายบ้านหลงทางอย่างไรก็ต้องหาทางกลับบ้าน มิอดทนอยู่ในป่าได้นานหรอก เจ้ามิคิดเช่นเดียวกันหรือ?...”
จะคิดเห็นเหมือนกันไหม หรือว่าไม่เข้าใจอย่างไร ประโยคคำถามของเจ้านายก็มุ่งชี้นำทางให้ผู้ตอบต้องต้อบด้วยคำตอบเดียวอยู่แล้ว พวกเขามิได้มีหน้าที่คิดมากในประโยคแบบนี้
“เป็นเช่นนั้นแน่นอนขอรับ”
“แต่ก็กระจายกำลังแฝงตัวไปดูลาดเลากองทัพของท่านแม่ทัพเหลียงหน่อยก็ดี หากไม่ได้มีสิ่งใดน่าสนใจก็ไม่จำเป็นต้องมารายงาน”
ลูกน้องชุดดำทั้งตัวแยกย้ายจากไปแล้ว ภายในห้องทำงานที่เคยมีบ่าวสตรีช่างเอาใจกลับมาเงียบเหงาอีกคราอย่างน่าเสียดาย เขายังเล่นกับกระต่ายน้อยไม่คุ้มกับที่เสียไปเลย ไฉนถูกกระต่ายเลี้ยงไม่เชื่องทรยศไปเสียแล้ว
คนอย่างฉีหมิงผู้เคยเลี้ยงแต่สัตว์ดุร้ายเต็มไปด้วยพิษสง ยามเปิดรับสัตว์ตัวน้อยที่ภายนอกดูเชื่อง กลับถูกตบตาเสียได้จนรู้สึกว่าหากเจ้าสัตว์ตัวน้อยกลับมาอยู่ในกำมืออีกครั้งจะต้องสั่งสอนให้รู้ความเสียมากหน่อย