บทที่ 1 องค์หญิงเยว่เล่อ [2/2]
เวลาล่วงเลยผ่านไปหลายวันภายในตำหนักขององค์หญิงเยว่เล่อก็เกิดความวุ่นวายหมอหลวงนับสิบคนวิ่งเข้าออกภายในตำหนักเพื่อตรวรดูอาการขององค์หญิงเยว่เล่อตามรับสั่งของฮ่องเต้ ห้องบรรทมในตอนนี้เต็มไปด้วยกลิ่นกำยานรักษาทำให้คนที่บอกว่าตนเองป่วยได้กลิ่นแล้วรู้สึกปวดหัวจนต้องตัดสินใจออกมาเดินรับลมด้านนอก
"ซินซินเจ้าไม่ต้องตามมา เจ้าพาคนกลับไปที่ห้องของข้าเปิดหน้าต่างแล้วดับกำยานในห้องของข้าให้หมด"
"แต่ว่า...."
"ที่นี่ตำหนักของข้า มีสิ่งใดต้องกลัวกันหากเจ้าเป็นห่วงหลังจากทำตามที่ข้าสั่งแล้วก็กลับมา"
"เพคะ องค์หญิง"
"เห้ออออ"
ร่างบางถอนหายใจออกมาท่ามกลางความเงียบเมื่อความรู้สึกเวียนหัวจากกลิ่นกำยานเมื่อครู่หายไป ดวงตาคู่สวยมองไปเบื้องหน้าด้วยสายตาว่างเปล่าพลางนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อน
'เยว่เล่อพอเห็นเจ้ามีชีวิตอยู่เช่นนี้ พวกข้ารู้สึกเสียใจนะกาฝากเช่นเจ้าเหตุใดถึงไม่ตายตามพ่อแม่เจ้าไปเสียที'
คำพูดของฮองเฮาและเสียงหัวเราะของบรรดาองค์หญิงและองค์ชายดังก้องอยู่ในหัวขององค์หญิงเยว่เล่อ เหตุเพราะเมื่อหลายวันก่อนได้พบเจอพวกเขาโดยบังเอิญ แต่ไม่คิดว่าคำแรกที่ทักทายจะเป็นคำพูดหมา ๆ เช่นนี้
"เยว่เล่อเจ้าร้ายกาจเพียงใดกัน เหตุใดพวกเขาถึงได้สาปแช่งเจ้าเช่นนี้"
องค์หญิงเยว่เล่อพึมพำกับตัวเองด้วยความสงสัยก่อนจะก้าวเท้าเดินไปเบื้องหน้า ในหัวของนางตอนนี้เต็มไปด้วยคำถามมากมายว่าแท้จริงเยว่เล่อเป็นคนเช่นไร เหตุใดข้ารับใช้ในตำหนักถึงได้หวาดกลัวนาง อีกทั้งสายตาและการกระทำของฮองเฮาและเชื้อพระวงศ์คนอื่นล้วนเต็มไปด้วยความเกลียดและโกรธแค้น
จริงสิ...หากเป็นเช่นนี้การที่เยว่เล่อตกน้ำก็อาจจะเป็นฝีมือของคนพวกนั้น? แล้วถ้าเป็นฝีมือของคนพวกนั้นจริง ๆ การที่นางมีชีวิตอยู่ในวังหลวงแห่งนี้จะปลอดภัยจริง ๆ หรือ?
"ในเมื่อเป็นเช่นนี้..ข้าคงต้องหาทางรอดให้ตัวเองแล้วข้าไม่ได้เกิดใหม่เพื่อมาตายสักหน่อย คงต้องเก็บเงินสักก้อนเพื่อออกไปใช้ชีวิตนอกวังหลวง"
ขวับ!! ขวับ!!
เสียงที่ดังอยู่ไม่ไกลทำให้องค์หญิงเยว่เล่อขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเดินตามเสียงไปด้วยความสงสัย นางหยุดชะงักฝีเท้าเมื่อพบบุรุษผู้หนึ่งกำลังฝึกกระบี่อยู่ไม่ไกล นางซ่อนตัวในพุ่มไม้ลอบสังเกตบุรุษแปลกหน้าที่แม้จะเห็นใบหน้าไม่ชัดแต่ก็รับรู้ได้ว่าคนตรงหน้ามีฝีมือกระบี่พอสมควร
"เหตุใดมีบุรุษที่ตำหนักข้า นี่คงไม่ใช่นักฆ่าที่ฮองเฮาหรือศัตรูส่งมาฆ่าข้าหรอกนะ"
เมื่อคิดได้ดังนั้นองค์หญิงเยว่เล่อรีบดันตัวเองออกมาจากพุ่มไม้ทันที แม้นางจะไม่ได้ชอบร่างนี้นักแต่นางก็ไม่ได้อยากตายอีกรอบหรอกนะ
ข้าตัดสินใจแล้วว่าวังหลวงแห่งนี้ไม่ใช่ที่ปลอดภัยสำหรับข้าจริง ๆ
"เฟินหัว เจ้าหยุดทำไม"
ซืออี้ที่กำลังนั่งอ่านตำราเงยหน้าถามเฟินหัวที่หยุดฝึกกระบี่ เมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ไม่ตอบอะไรทำเพียงกำกระบี่ในมือแน่นจ้องมองพุ่มไม้ที่อยู่ห่างไปไม่ไกลด้วยแววตาไม่พอใจก็ตัดสินใจเอ่ยถามอีกครั้ง
"มีอะไรตรงนั้นหรือ"
"ข้าเห็นกระต่าย ก็เลยเกือบฆ่าไป"
เฟินหัวตอบออกมาเสียงเรียบ เมื่อได้ยินคำว่ากระต่ายซืออี้ก็ชะงักเล็กน้อยเขาปรายตามองไปที่พุ่มไม้ด้วยสายตายากคาดเดา เพราะความหมายของนิยามคำว่า กระต่าย สำหรับพวกเขาย่อมรู้ดีว่าหมายถึงผู้ใด
"เหตุใดไม่ฆ่าให้ตายไปเลย"
รอยยิ้มเย็นปรากฏบนใบหน้าของซืออี้ ใครจะคิดว่าบุรุษที่มีรูปโฉมงดงามราวโฉมสะคราญล่มเมืองจะเอ่ยประโยคให้สังหารคนด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวานเช่นนี้
"กระต่ายมันหนีไปก่อน"
"น่าเสียดาย"
"ดูจากความละโมบของกระต่าย ที่มาแอบดูเช่นนี้คาดว่าอีกไม่นานทั้งเจ้าและข้าคงถูกขายออกไป"
บุรุษทั้งสองมองหน้ากันสบตากับแค่นยิ้มสมเพชให้ผู้ร่วมชะตากรรม ก่อนจะถอนหายใจออกมาหากครั้งนั้นพวกเขาไม่คิดผิดขอความช่วยเหลือจากนางครั้งนี้ก็คงไม่ต้องเป็นเช่นนี้
ด้านองค์หญิงเยว่เล่อที่รีบวิ่งออกมาด้วยความกลัวเพราะคิดว่าบุรุษที่ถือกระบี่คือนักฆ่า เมื่อเห็นว่าซินซินยืนอยู่ไม่ไกลนางก็เร่งฝีเท้าก่อนจะโผเข้ากอดซินซินทันที
"อะ..องค์หญิง"
"กลับ พาข้ากลับเดี๋ยวนี้"
"เพคะ"?
"พา....ข้ากลับห้อง..ตอนนี้เลย"
องค์หญิงเยว่เล่อพูดออกมาก่อนจะหอบหายใจด้วยความเหนื่อย ดวงตาคู่สวยหันไปมองเส้นทางที่นางพึ่งวิ่งหนีออกมาเพราะเมื่อครู่นางมัวแต่คิดจนใจลอยเลยไม่รู้ว่าทางที่เดินไปนั้นดูรกร้างและน่ากลัว
ไม่รู้เลยว่าในตำหนักข้ามีที่รกร้างเช่นนี้..
"เหตุใดถึงปล่อยให้ที่นี่รกร้างเช่นนี้"
"องค์หญิงที่นี่เป็นที่พักของราชบุตรเขยที่ถูกสร้างขึ้นในตำหนักเพคะ ส่วนสาเหตุที่มันรกร้างถึงเพียงนี้ก็เพราะองค์หญิงทรงรับสั่งไม่ให้พวกข้ารับใช้ในตำหนักมาทำความสะอาดเพคะ"
"ราชบุตรเขย??"
องค์หญิงเยว่เล่อที่ได้ฟังก็ชะงักฝีเท้า นางขมวดคิ้วที่ได้ฟังคำนั้นแม้เข้าใจความหมายแต่อยากถามให้แน่ใจ เพราะตั้งแต่นางอยู่ในร่างนี้ยังไม่เคยเห็นราชบุตรเขยเลยด้วยซ้ำ หากนางมีสามีอย่างน้อยยามนางป่วยก็ต้องมาเยี่ยมสิแต่นี่ไม่เคยเห็นแม้แต่ครั้งเดียว
"เพคะ ราชบุตรเขยทั้งสองพระองค์"
