บทที่ 7
ไม่นานประตูก็ถูกเปิดออก ผู้จัดการร้านเอ่ยถามเสียงเบา “ท่านมาหาใครหรือขอรับ?”
อวิ๋นฉือชูหยกขึ้นให้ดู ผู้จัดการเพ่งมองสติก็ฟื้นขึ้นมาแทบจะในทันที รีบเปิดประตู โค้งคำนับอย่างนอบน้อม “คุณหนู เชิญด้านในขอรับ”
“อืม”
เมื่อเข้ามาด้านใน อวิ๋นฉือก็พูดตรงๆ ว่า “ไปเชิญช่างเขียนภาพมาหน่อย ข้ามีเรื่องจะสั่ง”
“ขอรับ”
เพียงครู่เดียวก็มีช่างเขียนภาพมาถึงทั้งหมดสี่คน อวิ๋นฉือจับพู่กันวาดเค้าโครงและฉากคร่าวๆ หญิงสาวในวัดสวมชุดกระโปรงสีครามยาว ผมรวบแซมปิ่นมุกไม่กี่ชิ้น ยืนบนธรณีประตูทอดมองไกล ด้านหลังมีเงาร่างสูงใหญ่อีกหนึ่งยืนอยู่
“คุณหนู นี่คือ?” ผู้จัดการร้ายรู้สึกไม่เข้าใจ
อวิ๋นฉือขยับลำคอเล็กน้อย นางไม่ถนัดการวาดรูป ในศิลปะทั้งสี่แขนงอย่างดนตรี หมากรุก อักษร การวาดภาพ สิ่งที่เจ้าของร่างเดิมไม่ถนัดมากที่สุดก็คือการวาดภาพ
นางจึงจำต้องหาตัวช่วยจากที่อื่น
“รูปโฉมของหญิงนางนี้ไม่จำเป็นต้องวาดให้ละเอียดนัก เลือนรางก็พอ ส่วนหน้าตาของชายคนนี้วาดแค่ครึ่งเดียวก็พอ”
ตามคำบรรยายของอวิ๋นฉือ พวกเขาก็ต่างเริ่มลงมือวาดภาพกันอย่างรวดเร็ว ไม่นานทั้งสี่ภาพก็ถูกวางเรียงอยู่ตรงหน้าของนาง นางเลือกภาพที่มีอารมณ์และความหมายลึกซึ้งที่สุดเอาไว้
มองออกไปข้างนอกฟ้าเริ่มสว่างแล้ว อวิ๋นฉือก็ไม่ได้อยู่ต่อ สั่งแต่เพียงว่า “เรื่องในวันนี้ ห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด”
“ขอรับ!”
เมื่ออวิ๋นฉือกลับมาถึงเรือน พักอยู่ครู่หนึ่ง ก็เงยหน้าขึ้นตะโกนเรียกอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ กิ่งไม้สั่นไหวเบาๆ ฟู่ซี๋ก็ร่อนลงมายืนตรงหน้านาง
“ว่ามา”
เห็นท่าทางไม่สบอารมณ์ของฟู่ซี๋ อวิ๋นฉือก็ไม่ได้หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย นางพูดอย่างสงบว่า “มีเรื่องให้เจ้าไปทำหน่อย”
ฟู่ซี๋เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“นี่คือหยกประจำตัวของลู่เอี้ยนฉือ ไปหาป้ายประจำตัวองครักษ์ข้างกายของเขามาอีกสองสามอัน แล้วหาทางโยนลงกองเพลิงที่หออวิ๋นไถ”
“เจ้าจะโยนความผิดเรื่องการลอบวางเพลิงให้ลู่เอี้ยนฉือเหรอ?” ฟู่ซี๋เข้าใจทันที
อวิ๋นฉือพยักหน้า “ฉลาดมาก”
“ลู่เอี้ยนฉือคือผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์กั๋วกงที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้ง อีกทั้งยังเป็นญาติดองกับตระกูลเย่ ต่อให้ผู้ว่าการเมืองหลวงสืบจนพบว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเขา ก็คงไม่กล้าทำอะไรให้เป็นเรื่องใหญ่ อย่างมากก็ปิดเรื่องนี้ให้เงียบไปเท่านั้น”
เพราะเหตุนี้ ฟู่ซี๋เลยไม่ยอมรับหยกชิ้นนั้น
หออวิ๋นไถถูกไฟไหม้เสียหายยับเยิน มีผู้คนบาดเจ็บล้มตายจำนวนนับไม่ถ้วน ผู้ว่าการเมืองหลวงกำลังสอบสวนอยู่ แต่สุดท้ายก็คงจบลงแบบไม่มีผลลัพธ์อะไรแน่นอน
“ใครบอกว่าจะให้ผู้ว่าการเมืองหลวงจัดการเรื่องนี้กันล่ะ? ส่งให้อ๋องจ้าวสิ”
อ๋องจ้าว เป็นศัตรูคู่อาฆาตของลู่เอี้ยนฉือ อีกทั้งยังเป็นสายเลือดแท้ๆ ของไทเฮาด้วย ไม่เกรงกลัวอำนาจของตระกูลลู่หรือตระกูลเย่เลยแม้แต่น้อย
หากหาหลักฐานเอาผิดลู่เอี้ยนฉือได้ เชื่อว่าอ๋องจ้าวย่อมยินดีใช้โอกาสนี้กดดันตระกูลลู่อย่างแน่นอน
ฟู่ซี๋ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มมุมปาก แววตาแฝงไปด้วยความชื่นชม
พักนี้ไทเฮามีความเคลื่อนไหวถี่ขึ้น แถมลับหลังยังส่งคนคอยสร้างปัญหาให้เขาอยู่บ่อยครั้ง เขาเองก็รู้สึกเบื่อหน่ายอยู่เหมือนกัน ดังนั้นหากให้อ๋องจ้าวไปจัดการลู่เอี้ยนฉือ ปล่อยให้ภายในของไทเฮาขัดขากันเอง แบบนี้สำหรับเขาแล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องดีไม่น้อย
ฟู่ซี๋รับหยกมา ทิ้งไว้แค่สองคำ “รอข่าว”
หลังจากสั่งการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว อวิ๋นฉือกำลังจะเอนกายนอนพักผ่อน เสียงเคาะประตูกลับดังขึ้นจากสาวใช้ที่ชื่อหงหลิง นอกจากสาวใช้ที่ชื่อปี้เย่แล้ว คนอื่นถูกสับเปลี่ยนเป็นคนของตระกูลลู่ทั้งหมดโดยไม่รู้ตัว
พูดอ้างสวยหรูว่าเป็นการพาคนของรอบตัวนางไปอบรมกฎระเบียบของตระกูลลู่ ไม่ก็อ้างว่า คนในจวนไม่พอใช้ ขอยืมไปใช้งานชั่วคราวก่อน
เจ้าของร่างเดิมเป็นคนว่าง่าย ไม่ค่อยมีปากมีเสียงเท่าไหร่
ความรู้สึกที่ถูกจับตามองตลอดเวลา ทำให้นางอึดอัดไม่น้อย วันนี้นางตั้งใจแล้วว่าจะจัดการคนพวกนี้ออกไปให้หมด
เมื่อคิดได้ดังนั้น อวิ๋นฉือก็ลูบท้องที่แบนราบของนาง แล้วสั่งว่า “ไปยกสำรับมา”
หงหลิงได้ยินดังนั้นก็ตกใจจนพูดไม่ออก “คุณนายรอง ท่านยังจะมีอารมณ์กินอีกหรือเจ้าคะ เมื่อคืนฮูหยินเฒ่าไม่ได้นอนเลยนะเจ้าคะ!”
“อีกเดี๋ยวท่านไปคุกเข่าขอขมาฮูหยินเฒ่าเถอะนะเจ้าค่ะ ยังไงก็แต่งเข้ามาแล้ว ชื่อเสียงเสื่อมเสีย ต่อไปจะอยู่กันเช่นไร เมื่อคืนนี้ซื่อจื่อมา ท่านก็ไม่ควรใช้อารมณ์เลย เสียความโปรดปรานไปแล้วจะต่างอะไรกับการโดนหย่าล่ะเจ้าคะ?”
“ปัง!”
อวิ๋นฉือตบโต๊ะดังลั่น แววตาเยียบจ้องไปที่หงหลิงอย่างเย็นยะเยือก สายตาแบบนี้ทำเอาหงหลิงตกใจกลัวเย็นสันหลังวาบ
นางรับใช้อวิ๋นฉือมากว่าครึ่งเดือน ปกติเห็นคุณนายรองอ่อนโยนเสมอ ปฏิบัติกับใครก็เกรงใจตลอด กลายเป็นคนมีอารมณ์แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
“คุณนายรอง…”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าปี้เย่ไปไหน?” น้ำเสียงของอวิ๋นฉือราบเรียบ
หงหลิงนึกขึ้นมาได้พอดี จริงสิเมื่อคืนไม่เห็นเงาของปี้เย่เลย ฟังจากน้ำเสียงของอวิ๋นฉือ หงหลิงก็ยิ้มหวาน “ปี้เย่ทำอะไรผิดหรือเปล่าเจ้าคะ เลยถูกคุณนายรองลงโทษให้คุกเข่า?”
“ไม่ นางตายแล้ว”
อวิ๋นฉือเดินเข้าใกล้หงหลิง สายตาที่จ้องมองนางราวกับซากศพที่ไร้ชีวิต เล่นเอาหงหลิงตกใจกลัวทรุดฮวบคุกเข่าลงกับพื้น
ในเวลานี้เองแม่นมกู้มาพอดี หงหลิงราวกับได้รับอภัยโทษหดตัวแล้วถอยหลังไป
แม่นมกู้เหลือบมองไปที่หงหลิง จากนั้นก็ยิ้มเยาะแล้วพูดว่า “คุณนายรองช่างมีอำนาจบารมีจังเลยนะเจ้าคะ พาลอารมณ์ใส่บ่าวไพร่แต่เช้าเลย เหนื่อยแทนคุณนายรองจริงๆ เลยนะเจ้าคะที่ต้องเสแสร้งทำตัวเรียบร้อยมาตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าท่านเป็นกุลสตรีสุภาพเรียบร้อยอ่อนโยนเปี่ยมด้วยคุณธรรม แต่ความจริงแล้ว หลอกลวงผู้ใหญ่ ปิดบังความจริง พูดจาโกหกตลอดเวลา ผิดบาปร้ายแรง!”
“เพี๊ยะ!” อวิ๋นฉือฟาดฝ่ามือไปที่หน้าของแม่นมกู้โดยไม่ลังเล
แม่นมกู้ชะงักไป มองตาขวางใส่อวิ๋นฉือ “ท่านบ้าไปแล้วหรือ! กล้าดียังไงมาตบข้า? ข้าเป็นคนสนิทของฮูหยินเฒ่านะเจ้าคะ!”
“เมื่อวานแม้แต่คุณนายใหญ่ของตระกูลลู่ยังถูกตบ เจ้าเป็นเพียงแค่บ่าว เหตุใดจะโดนตบไม่ได้?” อวิ๋นฉือย้อนถาม
“ท่าน!” แม่นมกู้เดือดปุดๆ แต่พอนึกได้ว่าฮูหยินหลิวกำลังจะมาถึง อีกประเดี๋ยวอวิ๋นฉือจะถูกเปิดโปง โดนขังตายอยู่ในเรือน
นางจึงกัดฟันทน พูดเสียงเข้มว่า “คุณนายรองอย่าอวดเบ่งต่อหน้าบ่าวไปเลย ฮูหยินเฒ่าเรียกให้ท่านไปพบเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!”
เมื่ออวิ๋นฉือไปถึงโถงใหญ่ ก็เห็นฮูหยินเย่จูงเย่เจียอี๋ร่ำไห้รำพันความยากลำบาก ยังบอกอีกว่าเดี๋ยวฮูหยินหลิวมาถึงจะช่วยออกหน้าให้
เย่เจียอี๋มีคนหนุนหลัง ดวงตาก็แดงช้ำ ทำทีน่าสงสาร ไม่เหลือเงาความกร่างหน้ารถม้าวันนั้นเลยแม้แต่น้อย
ฮูหยินเฒ่าลู่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ประธาน สนทนากับฮูหยินเย่ด้วยสีหน้ายิ้มละมุน
ทุกสิ่งราบรื่นดี จนแม่นมกู้ตะโกนขึ้นมาว่า “ฮูหยินเฒ่า คุณนายรองมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
ทันใดนั้นเอง ทุกสายตาที่อยู่ในห้องก็หันมามองที่อวิ๋นฉือ
ฮูหยินเฒ่าลู่เหลือบมองอวิ๋นฉือ แล้วปรายสายตาไปยังรอยแดงบนแก้มแม่นมกู้ ก็ขมวดคิ้วแน่น “หน้าของเจ้าไปโดนอะไรมา?”
“เรียนฮูหยินเฒ่า…”
“ข้าเป็นคนตบเอง” อวิ๋นฉือยอมรับอย่างตรงไปตรงมา “บ่าวปากดีคนนี้อาศัยว่าติดตามฮูหยินเฒ่ามานาน กล้าพูดจาเสียมารยาทล่วงเกินกับข้า ข้าจึงอบรมนางแทนฮูหยินเฒ่าเสียหน่อย”
แม่นมกู้ตาค้าง คุณนายรองไปกินดีหมีมาหรืออย่างไรถึงได้ใจกล้าขนาดนี้ กล้ายอมรับว่าตัวเองเป็นคนตบนางต่อหน้าทุกคนแบบนี้!
สีหน้าฮูหยินเฒ่าลู่เคร่งขรึมขึ้นทันที
ฮูหยินเย่สะบัดผ้าเช็ดหน้า แสร้งทำเป็นร้องไห้สะอื้น “โอ๊ย นิสัยใจคอของคุณนายรองนี่ร้ายกาจเหลือคณา ถึงขั้นกล้าลงมือกับบ่าวใกล้ชิดของผู้ใหญ่ เช่นนี้ลับหลังไม่รู้ว่าจะกลั่นแกล้งอะไรเจียอี๋ของเราบ้าง!”
เย่เจียอี๋ก็รีบปิดหน้าน้ำตาคลอ
ฮูหยินเฒ่าลู่ไม่พอใจอวิ๋นฉืออยู่ก่อนแล้ว ในเวลานี้ไม่มีคนนอก นางก็ยิ่งไม่คิดช่วยนาง
จึงพูดย้อนประชดกลับไปว่า “หลานสะใภ้รองของข้า ถูกตระกูลน่าหลันเลี้ยงดูจนเอาแต่ใจ ไม่รู้จักเคารพผู้ใหญ่จริงๆ ข้าขอถามเจ้า อวิ๋นฉือเจ้ารู้สำนึกหรือไม่?”
อวิ๋นฉือหัวเราะเย็นยะเยือก “ท่านย่า ข้าไม่รู้ว่าข้าทำอะไรผิด?”
“เจ้าก็ยังนิ่งได้อยู่นะ ฮูหยินหลิวกำลังจะมา ข้าได้ยินมาว่านางไม่สามารถเป็นพยานให้เจ้าได้ คงเพราะคืนวันนั้นเจ้าอยู่หออวิ๋นไถจริง ไม่รู้ว่าใช้วิธีการต่ำช้าอะไร บีบให้ฮูหยินหลิวรับปาก”
ฮูหยินเย่พูดด้วยความโมโหว่า “ฮูหยินหลิวบอกข้าว่า ได้ยินว่าตระกูลลู่ถูกเจ้าหลอก ปล่อยให้หญิงแพศยาอย่างเจ้าได้อยู่ในตระกูลลู่ต่อไป นางรู้สึกไม่สบายใจ”
“คนอย่างเจ้า สมควรถูกถ่วงน้ำ ถูกขังคอกหมู ไม่ควรมีชีวิตอยู่ต่อไป!”
คำพูดพวกนี้ ฮูหยินเฒ่าลู่กับเย่เจียอี๋ไม่กล้าพูด แต่นางไม่กลัว
ขอเพียงไล่ผู้หญิงคนนี้ออกจากตระกูลลู่ไปได้ บรรดาศักดิ์กั๋วกงตระกูลลู่ย่อมเป็นของหลานในครรภ์ลูกสาวของนางแต่เพียงผู้เดียว
อวิ๋นฉือตอบหน้าตาเฉยว่า “งั้นหรือ เช่นนั้นข้าจะรอดู ว่าฮูหยินหลิวพูดแบบนั้นจริงไหม”
พูดจบ ก็มีคนมารายงานจากด้านนอกว่าฮูหยินหลิวมาแล้ว
ฮูหยินเฒ่าลู่รีบลุกไปต้อนรับ
ไม่นานก็เห็นฮูหยินหลิวปักปิ่นมุกเต็มศีรษะหน้างิกหน้างอเดินมา เพิ่งเดินเข้ามา เย่เจียอี๋ก็คุกเข่าลงต่อหน้าฮูหยินหลิวแล้วพูดว่า “ฮูหยินหลิว ท่านเป็นคนมีคุณธรรม ต้องให้ความเป็นธรรมกับเจียอี๋ด้วยนะเจ้าคะ”
เห็นท่าทีน่าสงสารของเย่เจียอี๋ ฮูหยินหลิวก็ก้มลงประคองนางขึ้นมา ก่อนหันไปทักทายฮูหยินเฒ่าลู่พอเป็นพิธี
หลังจากหยั่งเชิงเสร็จ ฮูหยินหลิวกำลังจะเอ่ยปาก
อวิ๋นฉือตั้งใจหันหลังกลับ เสแสร้งทำเป็นเผลอสะดุด ม้วนภาพในมือก็หล่นและคลี่ออกเองตรงหน้าของฮูหยินหลิวพอดี
ดวงตาของฮูหยินหลิวหดลงในทันที
เพียงเหลือบมองก็รู้ทันทีว่าคนสองคนในภาพนั่นเป็นใคร นางเงยหน้าขึ้น ก็เห็นอวิ๋นฉือกำลังส่งยิ้มให้แบบฝืนๆ
