บทย่อ
น่าหลันอวิ๋นฉือเพิ่งรู้ก่อนตายว่า สามีที่อ่อนโยนและหวานชื่นกับเธอ กำลังใช้นางเป็นเครื่องมือในการฆ่านางเอง เขาไปมีความสัมพันธ์กับพี่สะใภ้หม้ายลับหลัง และมีบุตรชายด้วยกัน ร่วมมือกันส่งเธอเข้าไปในซ่อง ทำให้นางทนกับความอัปยศอดสูจนตายไปในที่สุด จากนั้นก็แย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของเธอไปหมด แต่กลับมาร้องไห้บอกกับทุกคนว่าเขารักเธอสุดหัวใจ ยังทนได้อีกหรือ? น่าหลันอวิ๋นฉือแสดงตนอย่างแข็งกร้าว ในฐานะนักฆ่าทหารรับจ้างระดับท็อปของศตวรรษที่ 21 นางจะไม่มีวันทนต่อความอัปยศนี้เด็ดขาด ฉะนั้นการที่นางข้ามภพมา นางเลยทุบตีพี่สะใภ้หม้ายที่แสร้งทำเป็นคนดีอย่างกระหน่ำ บีบให้นางคุกเข่าขอขมา เปิดเผยตัวตนแท้จริงที่ปลอมสุดๆของสามี ทำลายอนาคตของเขาให้ย่อยยับ และทอดทิ้งเขาด้วยหนังสือหย่า ท้ายสุดน่าหลันอวิ๋นฉือนำทรัพย์สมบัติอันมหาศาล พร้อมทหารรับใช้เตรียมตัวไปใช้ชีวิตอย่างอิสระ ไม่คาดว่าจะมีประกาศพระราชโองการมาอย่างปุปปับ แต่งตั้งให้น่าหลันอวิ๋นฉือขึ้นครองตำแหน่งฮองเฮา อวิ๋นฉืออึ้งไป อะไรนะ? แต่งตั้งใคร? จนกระทั่งขบวนแต่งริ้วแดงสิบลี้เกิดขึ้น ทุกคนในราชสำนักทั้งขุนนางบุ๋นบู๊และทหารต่างคุกเข่าลงและกราบพูดพร้อมกันว่า "ฮองเฮาเหนียงเหนียงเสด็จฯ ยิ่งยืนนาน ยิ่งยืนนาน ยิ่งยิ่งยืนนาน!" ต่อมานางเห็นเหล่าบรรดาทหารรับใช้เปลี่ยนเป็นคนละคน สีหน้าเต็มไปด้วยความเอาใจตามหลังมา:"พระราชวังในว่างมานานแล้ว ข้าชื่นชมในตัวเจ้า ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงชั่วนิรันดร์" อวิ๋นฉือตกตะลึง ที่แท้เขาคือผู้ทรงอำนาจระดับสูงที่ซ่อนตัวอยู่ข้างกายนาง
บทที่ 1
ภายในรถม้า น่าหลันอวิ๋นฉือรู้สึกได้ว่าตัวเองถูกวางยาปลุกกำหนัด
นางส่งเสียงร้องด้วยความสิ้นหวัง ในเวลานี้เองผ้าม่านก็ถูกคนที่อยู่ด้านนอกเปิดออก
“อย่าร้องเลย น้องสะใภ้ที่แสนดีของข้า ต่อให้เจ้าร้องจนเสียงแหบแห้งก็ไม่มีใครมาช่วยเจ้าได้หรอก”
เย่เจียอี๋เดินเข้ามาจากด้านนอกพร้อมรอยยิ้ม
อวิ๋นฉือพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ “พี่สะใภ้ใหญ่”
คิดไม่ถึงเลยว่า คำว่าพี่สะใภ้ใหญ่นั้นกลับทำให้สีหน้าของเย่เจียอี๋เปลี่ยนไป แล้วจ้องไปที่นางด้วยตาถมึงทึง
“นังสารเลว! ข้าต่างหากคือคนที่เอ๋อร์หลางรัก! เจ้ามีสิทธิ์มาแย่งกับข้าด้วยหรือ?”
(เอ๋อร์หลาง แปลตรงตัวว่าบุตรชายคนที่สอง)
เย่เจียอี๋หัวเราะเย้ย “หลังจากวันนี้ไป คนทั่วทั้งเมืองหลวงก็จะรู้ว่าน่าหลันอวิ๋นฉือเป็นหญิงไร้ศีลธรรม อดทนต่อความเหงาไม่ได้ ถึงกลับต้องไปยั่วยวนผู้ชายในตรอกซอกซอย เจ้าก็รอถูกตระกูลลู่ขับไล่เถิด!”
อวิ๋นฉืออึ้งไป
เหตุใดพี่สะใภ้ใหญ่จึงเรียกสามีของนางว่าเอ๋อร์หลางอย่างสนิทสนมเช่นนี้เล่า?
นางแต่งเข้าตระกูลลู่ได้เพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้น เย่เจียอี๋ก็ปฏิบัติต่อนางอย่างอ่อนโยนและอบอุ่นมาโดยตลอด
อวิ๋นฉือเองก็สงสารที่เย่เจียอี๋แต่งมาได้ไม่นานก็ต้องเป็นหม้าย ชีวิตลำบาก จึงเอาใจใส่นางเป็นพิเศษ
เมื่อวาน เย่เจียอี๋บอกว่านางฝันร้ายติดกันหลายคืน อยากไปขอเครื่องรางที่วัดแต่ร่างกายไม่สู้ดีนัก อวิ๋นฉือเป็นห่วงจึงไปแทน
แต่คิดไม่ถึงเลย ว่านั่นจะเป็นกับดัก
เย่เจียอี๋หัวเราะอย่างลำพอง “น่าหลันอวิ๋นฉือ เจ้านี่โง่เหลือเกินนะ แต่งเข้าตระกูลลู่มาเดือนกว่า สามีเจ้าไม่เคยร่วมหอกับเจ้าเลยสักครั้ง เจ้ากลับไม่เคยสงสัย เจ้ารู้หรือไม่ว่า ในค่ำคืนเหล่านั้น เอ๋อร์หลางเขาอยู่ที่ไหน?”
ได้ยินน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความสนิทสนม อวิ๋นฉือก็ยังไม่อยากจะเชื่อ “ไม่ เป็นไปไม่ได้ ท่านพี่ก็แค่...”
“แค่เป็นห่วงใยความปลอดภัยของท่านย่า จนไม่มีเวลาคิดเรื่องชายหญิงอย่างนั้นหรือ?” เย่เจียอี๋รับคำสนทนาต่อ พลางหัวเราะเย็นแล้วพูดขึ้นว่า “โง่สิ้นดี! ท่านย่าของเขานั้นแข็งแรงดี เรื่องนั้นก็เป็นเพียงข้ออ้างที่เขาใช้หลอกเจ้าเท่านั้นแหละ!”
เย่เจียอี๋หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา ก่อนยิ้มอย่างมีนัยซ่อนเร้น “เจ้ารู้หรือไม่ เอ๋อร์หลางน่ะ มาค้างที่เรือนของข้าทุกคืนเลย”
“เขายังพร่ำบอกข้าเสมอว่าเขาไม่มีอารมณ์พิสมัยเจ้าเลยแม้แต่น้อย”
“เจ้าคงไม่รู้สินะ ว่าเอ๋อร์หลางน่ะเก่งแค่ไหน ตลอดทั้งคืน เขาก็ยังไม่เคยห่างจากข้าเลย”
“ไม่จริง เป็นไปไม่ได้” อวิ๋นฉือตะโกนลั่นน้ำเสียงแหบพร่า
ลู่เอี้ยนฉือกับนางเป็นคู่รักที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา เขาอ่อนโยนและอดทนกับนางเสมอ แล้วจะทำแบบนี้กับนางได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้น เขาเป็นคนเที่ยงธรรม ไม่มีทางที่จะไปข้องเกี่ยวกับพี่สะใภ้ใหญ่อย่างเย่เจียอี๋ได้!
แต่เมื่อเห็นนางยังคงไม่เชื่อ เย่เจียอี๋จึงหัวเราะเยาะเย้ยด้วยความลำพองใจ “ท่านพ่อของเจ้าถูกยื่นฎีการ้องเรียนว่าทุจริตรับสินบน ฝ่าบาทสั่งโบยเขาจนขาหักทันที เจ้ารู้ไหมว่าใครเป็นคนร้องเรียน?”
เมื่อเห็นว่าอวิ๋นฉืออึ้งไป เย่เจียอี๋จึงพูดว่า “ก็เอ๋อร์หลางไงล่ะ! เขาวางแผนถึงสามปีเต็มถึงหาโอกาสลงมือได้ ตระกูลน่าหลันของเจ้าก็เตรียมตัวรอถูกริบทรัพย์ได้เลย”
“ส่วนเอ๋อร์หลางมีความดีความชอบเพราะเป็นคนรายงาน เขาเลยได้รับแต่งตั้งเป็นซื่อจื่อผู้สืบทอดตระกูลลู่ ส่วนเจ้าที่เป็นภรรยานักโทษ ก็มีแต่จะเป็นความอัปยศของเขาเท่านั้น แน่นอนว่าต้องถูกกำจัดทิ้ง!”
“ยิ่งไปกว่านั้น ข้ากำลังตั้งครรภ์ เด็กในท้องข้านี่แหละ จะเป็นผู้สืบทอดตระกูลลู่ ส่วนเจ้า ก็เตรียมตัวไปถูกตรึงไว้บนเสาแห่งความอัปยศ ให้ผู้คนหัวเราะเยาะเถิด!”
เมื่อพูดจบ เย่เจียอี๋ก็ส่งสัญญาณให้แม่นมสองคนขึ้นมาบนรถม้า ดึงแขนของอวิ๋นฉือกระชากสุดแรง แล้วลากลงมา
อวิ๋นฉือดิ้นสุดแรงด้วยความตกใจและโกรธจัด
“เพี๊ยะ!”
เย่เจียอี๋ยกมือขึ้นแล้วตบหน้าไปที่หน้าของอวิ๋นฉืออย่างรุนแรง
แรงตบนั้นหนักหน่วงจนอวิ๋นฉือรู้สึกมึนงง หูอื้อจนได้ยินแค่เสียงหึ่งๆ
เย่เจียอี๋หันไปสั่งแม่นมทั้งสองคนว่า “พานางไปยังหออวิ๋นไถ ดูแลให้ดีเสียด้วย!”
“ฮูหยินวางใจได้เจ้าค่ะ พวกบ่าวจะจัดการให้อย่างดี”
...
“โครม!”
อวิ๋นฉือถูกเหวี่ยงลงบนเตียงอย่างแรง
ปวดหัวจนแทบระเบิด!
คิดไม่ถึงเลยว่าแพทย์หญิงในยุคปัจจุบันอย่างเธอ จะทะลุมิติมาได้จริงๆ!
พอรู้สึกตัวขึ้นมาก็เหมือนมีไฟเผาร่าง ร่างกายร้อนรุ่มไปทั้งตัว และรอบตัวยังมีชายอีกเจ็ดคนล้อมอยู่
ทุกคนสวมเพียงเสื้อคลุมบางๆ ดวงตาแต่ละคู่จ้องแทะโลมเธอตรงๆ
“คนสวย ข้ามาแล้ว ให้พวกเราได้เชยชมเจ้าให้สมใจอยากเถอะนะ”
มือใหญ่ข้างหนึ่งยื่นมาตรงหน้าของเธอ
แววตาอวิ๋นฉือเย็นเฉียบยะเยือกขึ้นมาทันที
“รนหาที่ตาย!”
นางคว้าข้อมือของผู้ชายคนนั้นจากนั้นพลิกกลับ
เสียง “ก๊อบ!” ดังขึ้น ข้อมือถูกหักทันที!
สีหน้าของชายคนนั้นเปลี่ยนไปในทันที ยังไม่ทันได้กรีดร้อง ดวงตาตะลึงก่อนจะล้มลงแน่นิ่งไป
อีกหลายคนรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงรีบหันหลังคิดจะหนีแต่กลับถูกอวิ๋นฉือพุ่งตัวมาขวางที่หน้าประตูเสียก่อน ปิ่นเงินในมือเปลี่ยนเป็นอาวุธที่แหลมคมอย่างรวดเร็ว ปาดไปที่ลำคอของชายเหล่านั้นในทันที
เลือดสาดกระเซ็น เสียงร้องหยุดชะงักไปในทันที
อวิ๋นฉือเก็บปิ่น หันมองโดยรอบ ด้านล่างเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยผู้คน ด้วยกำลังที่เหลืออยู่ในตอนนี้ นางไม่มีทางฝ่าฝูงชนออกไปได้อย่างแน่นอน
ในขณะนั้นเอง เสียงน้ำไหลก็ดังมาจากนอกหน้าต่าง นางเดินไปที่ริมหน้าต่าง ท่ามกลางแสงจันทร์ก็เห็นแม่น้ำสายหนึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
อวิ๋นฉือกระโดดลงไปโดยไม่ลังเลใจเลยแม้แต่น้อย น้ำที่เย็นจัดกระแทกร่างของนางจนสะท้านไปทั้งตัว ความเย็นนั้นทำให้สติของนางกลับมาบ้างในที่สุด
แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น ไฟร้อนผ่าวในร่างกายยังคงปะทุรุนแรงอยู่อย่างต่อเนื่อง
ในแวดล้อมเช่นนี้ นางรู้ดีว่าปรุงยาถอนพิษยังไงก็ไม่ทันกาลแน่แล้ว
อวิ๋นฉือกำลังครุ่นคิดอยู่ในน้ำ ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงการต่อสู้ดังขึ้นจากริมฝั่ง
แสงสะท้อนของคมดาบและเงาของคมกระบี่สว่างวาบเป็นระยะ สาดแสงแสบตาไปทั่ว พร้อมกลิ่นอายของการสังหารที่คุกรุ่นอยู่ในอากาศ
อวิ๋นฉือไม่อยากเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์นั้นด้วย จึงตั้งใจจะว่ายหนีไปอีกทาง แต่ทันใดนั้นเอง ข้อเท้าของนางกลับถูกบางสิ่งรัดไว้แน่น ต่อให้ออกแรงดิ้นแค่ไหนก็ไม่สามารถสลัดให้หลุดได้
นางค่อยๆ เอื้อมมือคลำลงไปใต้ผิวน้ำ และพบว่าเป็นมือใหญ่กำลังจับข้อเท้าของนางเอาไว้
ไฟร้อนรุ่มในร่างกายยังคงแผดเผาไม่หยุด อวิ๋นฉือรู้สึกว่าร่างกายของนางแทบจะระเบิดอยู่แล้ว
นางกัดฟันทนก่อนจะดำลงไปใต้น้ำ
ใต้น้ำ เป็นชายรูปงามมากคนหนึ่ง
ดวงตาของเขาปิดสนิท เหมือนกำลังอดทนกับอะไรบางอย่างอยู่
เมื่อเห็นว่าไม่สามารถสลัดให้หลุดได้ อวิ๋นฉือจึงตัดสินใจดึงร่างเขาขึ้นฝั่ง แต่ด้วยความที่ไม่อาจควบคุมไฟปรารถนาในร่างกายที่ร้อนรุ่มได้ อวิ๋นฉือจึงได้กัดฟันถอดเสื้อผ้าของชายคนนั้นออก แล้วขึ้นค่อมร่างของชายคนนั้น
ความเจ็บปวดแผ่ซ่านราวร่างจะแตกสลาย หลังจากการกระทำที่ดุเดือดร้อนแรง และยาวนาน ในที่สุดฤทธิ์ยาที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของอวิ๋นฉือก็ถูกถอนออกไปจนหมด
อวิ๋นฉืออดทนต่อความเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย เมื่อเห็นแสงอรุณแรกจับขอบฟ้า นางก็หันหลังกำลังจะจากไป
“จะไปแล้วเหรอ?” เสียงทุ้มเย็นยะเยือกดังขึ้นจากด้านหลัง
อวิ๋นฉือถึงได้เห็นคนคนนั้นอย่างชัดเจน รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติ โดยเฉพาะดวงตาหงส์คู่นั้น ระยิบระยับบสว่างไสว
นางก็รู้ทันทีว่า ฐานะของเขาต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

