บทที่ 2
แต่อวิ๋นฉือไม่ได้สนใจ
เมื่อคืนในแม่น้ำนั้น นางก็รู้แล้วว่าชายคนนี้ว่ายน้ำไม่เป็น ถึงได้คว้าข้อเท้าของนางไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
ตอนนี้พอได้ยินเสียงของเขา อวิ๋นฉือกลับหัวเราะเยาะ ยกมือขึ้นทั้งสองข้างแบออก
“ทำไม จะมาเรียกร้องค่าเสียหายจากข้าหรือ?”
นางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ถือว่าเป็นการชดเชยที่ข้าช่วยชีวิตเจ้าก็แล้วกัน อย่าโกรธเลยนะ”
ชายคนนั้นแค่นเสียงเย็นในลำคอ มือที่จับอวิ๋นฉืออยู่ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
สายตาของนางสว่างวาบขึ้นมา จู่ๆ ก็จ้องไปยังทิศหนึ่งด้วยท่าทางระวังตัว จากนั้นขมวดคิ้วแล้วตะคอกว่า “ใครหลบอยู่ตรงนั้น!”
ชายคนนั้นหันไปมองอย่างระแวดระวัง แต่ยังไม่ทันตั้งตัวอวิ๋นฉือกลับยิ้ม แล้วยกมือฟาดฝ่ามือลงตรงท้ายทอยของเขาอย่างแรง
“ปั่ก!”
ชายคนนั้นล้มลงกับพื้นไป
อวิ๋นฉือสะบัดมือที่เจ็บเบาๆ “หลอกง่ายจริงๆ เลย ลาก่อนนะ~”
พูดจบก็หันหลังแล้วจากไปทันที ต่อมา เงาสีดำร่างหนึ่งก็พุ่งลงมาจากพุ่มไม้ เดินมาข้างกายของชายหนุ่มด้วยความร้อนใจ
“นายท่าน!”
ฟู่ซี๋ลืมตาขึ้น นวดไปที่ท้ายทอย จากนั้นก็หัวเราะ “ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน?”
“เรียน... เรียนนายท่าน นางคือคุณนายรองแห่งตระกูลลู่กั๋วกง น่าหลันอวิ๋นฉือขอรับ”
“น่าหลัน?” ฟู่ซี๋หัวเราะเย็นยะเยือก เขาเพิ่งออกคำสั่งให้โบยน่าหลันซิ่นจนขาหักไป จากนั้นก็มาเจอกับน่าหลันอวิ๋นฉือ
จะบอกว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญ เขาไม่มีวันเชื่อ
“ตระกูลน่าหลันนี่ช่างเจ้าเล่ห์นัก ลงทุนให้ได้เข้าใกล้ตัวเราถึงเพียงนี้เชียวหรือ!”
หากไม่ใช่เพราะพิษกู่ในร่างกายของเขากำเริบ ทำให้พลังภายในสูญสิ้น เขาคงไม่ถูกน่าหลันอวิ๋นฉือบังคับกดค่อมเช่นนั้น!
เขาอยากรู้ยิ่งนัก ว่าตระกูลน่าหลันคิดจะทำอะไรกันแน่
แต่เมื่อคิดถึงพิษกู่ในร่างกาย ฟู่ซี๋กลับพบว่าเส้นเลือดสีคล้ำที่ข้อมือซึ่งเกิดจากพิษนั้นกลับเลือนหายไปแล้ว!
เงาดำถึงกับตะลึง พูดด้วยความยินดีว่า “นายท่าน! ท่านอาจารย์หลิงอินเคยกล่าวไว้ว่า พิษกู่ชนิดนี้ต้องถ่ายผ่านกับผู้ที่มีธาตุหยินเย็นสุดขั้ว และต้องให้นางตั้งครรภ์บุตรของท่าน จากนั้นก็นำโลหิตของเด็กนั้นมาปรุงยา ถึงจะสามารถถอนพิษในกายได้!”
ร่างกายที่มีธาตุหยินเย็นสุดขั้วเช่นนั้น พวกเขาค้นหามานานแปดปี แต่ก็ไม่พบ คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อวานนี้กลับบังเอิญพบเข้ากับน่าหลันอวิ๋นฉือ
ฟู่ซี๋เองก็รู้สึกประหลาดใจ แต่เมื่อเห็นความจริงที่อยู่ตรงหน้ามันก็ทำให้เตือนสติเขา
ตั้งแต่วันนี้ไปน่าหลันอวิ๋นฉือก็จะเป็นหญ้าช่วยชีวิตสุดท้ายของเขา หากนางตาย หรือไม่สามารถตั้งครรภ์ลูกของเขาได้ เขาเองก็ต้องตายตามไปด้วยเช่นกัน!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฟู่ซี๋ก็ยกมือคลึงขมับ ถอนหายใจเบาๆ อย่างจนใจ
เขาจึงพูดขึ้นมาอย่างยอมรับชะตากรรมว่า “นางไปทางไหน?”
เงาดำรีบชี้ไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
“ไปสืบมา ว่านางตกลงมาในน้ำได้ยังไง”
“ขอรับ!”
ทางฝั่งอวิ๋นฉือหลังจากออกห่างจากริมฝั่งมาแล้ว นางทั้งเปียกทั้งเหนื่อย ทั้งหิวจนแทบหมดแรง ฝืนพาร่างที่ระบมไปพิงต้นไม้ใหญ่ ตั้งใจจะพักหายใจสักครู่
ด้านหลังต้นไม้ ฟู่ซี๋นั่งเอนหลังพิงต้นไม้ มือถือพุทราลูกโตอยู่หลายลูก เคี้ยวกัดดังกรอบกราว
อวิ๋นฉือจึงหันกลับไปมองเขาด้วยความระวัง จู่ๆ นางก็พุ่งเข้าไปบีบคอของฟู่ซี๋ไว้แน่น สีหน้าเต็มไปด้วยจิตสังหาร
“ทำไมต้องตามข้ามาด้วย เจ้าเป็นใครกันแน่?”
ฟู่ซี๋หัวเราะด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “เจ้ารังแกข้าแล้วคิดจะไปง่ายๆ เหรอ ไม่มีทาง”
คำพูดนั้นทำให้อวิ๋นฉือถึงกับพูดไม่ออก “แล้วเจ้าต้องการสิ่งใด?”
เมื่อคืนเพราะนางไม่มีทางเลือก และเพราะจับชีพจรเขา รู้ว่าเขาเองก็ถูกพิษ กำลังภายในหายหมด อยู่ในระยะฟื้นฟู นางจึงกล้าลงมือเช่นนั้น
เมื่อตอบไม่ได้ นางก็ถอนใจแล้วนั่งลง “พูดมาเถอะ เจ้าตามข้าตลอดทางต้องการอะไร?”
หากเขาต้องการเงิน นางยินดีจ่ายให้
ต่อไปก็จะไม่ติดค้างกันอีก
“เจ้ารักษาโรคได้!” ฟู่ซี๋กล่าวอย่างหนักแน่น
เมื่อกี้นางแตะชีพจรของเขา
“อยากให้ข้าช่วยชีวิตเจ้าอย่างนั้นหรือ?” อวิ๋นฉือหัวเราะเบาๆ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าพิษในร่างกายเจ้านั้นร้ายแรงขนาดไหน แม้แต่เซียนสวรรค์มาก็ยังถอนให้ไม่ได้!”
ทันใดนั้น ฟู่ซี๋หยิบเหรียญตราออกมาโบกตรงหน้า “ข้าจะให้ยืมหน่วยองครักษ์ลับที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองหลวงให้เจ้าใช้งานได้ตามอำเภอใจ เพื่อแลกกับการที่เจ้าช่วยถอนพิษให้ข้า เป็นอย่างไร?”
อวิ๋นฉือหวั่นไหวเล็กน้อย นางรู้ดีว่าตอนนี้ตนเองอ่อนแอ ไม่มีคนที่มีฝีมือคอยคุ้มกัน หากมีองครักษ์อยู่ข้างกายย่อมสะดวกขึ้นมาก
แต่ว่า...
จู่ๆ นางก็ยิ้ม “เจ้าจะอยู่เป็นองครักษ์ส่วนตัวให้ข้าสามเดือน ข้าจะหาทางถอนพิษให้เจ้า”
ฟู่ซี๋สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นในทันที ผู้หญิงคนนี้ใจกล้ามาก ที่จะให้เขาไปเป็นองครักษ์ของนาง ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงๆ!
“หากเจ้าไม่ตกลง ข้าก็ช่วยไม่ได้” อวิ๋นฉือลุกขึ้นปัดฝุ่นตามตัว เตรียมหันหลังจากไป
ฟู่ซี๋กัดฟันแน่น “ตกลง!”
อวิ๋นฉือหันกลับมามองเพียงแวบหนึ่ง ไม่สนใจสีหน้าอันกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเขา แล้วเม้มปากกล่าว “งั้นตามข้าไปที่หออวิ๋นไถก่อน!”
ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม ยังมีหยกสำคัญอีกชิ้นหนึ่งตกอยู่ที่หออวิ๋นไถ
ไม่แน่ว่าเย่เจียอี๋อาจจะพาคนไปจับผิดนางที่หออวิ๋นไถก็ได้ หากเห็นหยกชิ้นนั้นเข้า ก็จะต้องสร้างข่าวลือเกี่ยวกับนาง ว่านางมั่วราคะในหออวิ๋นไถทั้งคืนเป็นแน่
ถึงตอนนั้น ต่อให้นางอยากจะหนี ก็ไม่มีประโยชน์อีกแล้ว ซ้ำยังต้องถูกด่าว่าเป็นหญิงสำส่อนอีกด้วย
นางต้องรีบไปเอาหยกคืนโดยเร็วที่สุด และชำระแค้นที่ถูกตบเมื่อคืนด้วย
แต่เมื่อไปถึงหน้าหออวิ๋นไถ กลับได้ยินเสียงจอมปลอมของเย่เจียอี๋ดังออกมา
“เอ๋อร์หลาง อวิ๋นฉือก็แค่หลงผิด ไปซื้อเหล้ามาแล้วมาในสถานที่ต่ำช้าเช่นนี้คนเดียว หากเรื่องนี้แพร่ออกไป หน้าตาของตระกูลลู่จะไว้ที่ใดกันเล่า?”
ข้างกายของนาง มีลู่เอี้ยนฉือยืนอยู่ด้วย มาเพื่อจับให้คาหนังคาเขาสินะ!
เย่เจียอี๋ยืนหน้าหออวิ๋นไถ พอคิดว่าอีกเดี๋ยวน่าหลันอวิ๋นฉือจะถูกหามออกมาในสภาพเปลือยเปล่า แล้วถูกลู่เอี้ยนฉือเขี่ยทิ้ง นางก็ยิ้มอย่างสะใจ
ผู้หญิงที่ถูกย่ำยีศักดิ์ศรีไปหมดแล้วจะมีจุดจบที่ดีได้อย่างไร?
ตระกูลน่าหลันกำลังล่มสลายไม่มีทางช่วยนางได้ ตระกูลลู่ก็ไม่เอานางไว้เช่นกัน มีแต่ทางตายเท่านั้นที่รอน่าหลันอวิ๋นฉืออยู่
เมื่อคิดถึงขบวนแต่งงานสิบลี้ในวันวิวาห์ของน่าหลันอวิ๋นฉือ เย่เจียอี๋ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น เพราะทั้งหมดนั้นกำลังจะตกเป็นของนาง
บ่าวรับใช้ที่เคยอยู่ข้างอวิ๋นฉือ แต่ถูกซื้อตัวไปแล้วอย่างปี้เย่ ก็ร่ำไห้แล้วพูดว่า
“นายท่านรอง เมื่อวานฮูหยินได้ยินข่าวว่านายท่านถูกโบยจนขาหัก ก็พยายามมาที่นี่เพื่อระบายความทุกข์ บ่าวพยายามห้ามแล้ว แต่นิสัยของฮูหยินดื้อรั้น บอกว่าแต่งงานเข้ามาได้เดือนกว่า ยังไม่เคยได้ลิ้มลองรสชาติของบุรุษเลย นางอยากให้นายท่านรองได้รู้ว่า นางก็ยังมีคนปรารถนาในตัวนางอยู่เหมือนกัน” ปี้เย่พูดพลางทำท่าหวาดกลัว
“พอได้แล้ว! พาข้าไปหานังผู้หญิงสารเลวนั่น!”
ลู่เอี้ยนฉือโกรธจนเส้นเลือดปูด คิดเพียงว่าหากเจอตัวอวิ๋นฉือเมื่อไหร่ จะฆ่านางทิ้งซะ
เขาเดินตามแม่เล้ามาจนถึงหน้าห้อง ก่อนจะยกเท้าถีบประตูเข้าไปเต็มแรง ภายในห้องเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง ข้าวของกระจัดกระจาย แต่กลับไร้เงาของผู้ใดเลย
“นั่นมันหยกของฮูหยิน!” ปี้เย่ชี้ไปที่หยกที่ตกอยู่บนเตียง แล้วร้องขึ้นมาด้วยความตกใจ
