6. หากต้องเลือก (1)
“ฮวาเอ๋อร์หน้าเจ้าเป็นอันใดหรือ ลุงเห็นเจ้าเกาไม่หยุด” ฟ่านกงเฉินยกสุราขึ้นดื่ม นัยน์ตาก็จ้องใบหน้าหลานสาว ที่มีผื่นแดงขึ้นตรงแก้มทั้งสองข้าง
“คงจะเพราะฝุ่นผงบนหมอน ทำให้ระคายผิวเจ้าค่ะ”
“อย่าเกามันแรงเล่า ประเดี๋ยวจะเป็นแผลเอาได้” เสียงสนทนาของบิดากับพี่สาวต่างสายเลือด สร้างความครื้นเครงให้กับลี่จวินเป็นอย่างมาก มือเรียวยกสุราดื่มกับพี่ชายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม จะมีเพียงเสี่ยวฟู่ที่รู้สึกผิด นึกขออภัยคุณหนูหงในใจ
“จริงสิขอรับท่านพ่อ เรื่องเข้าเฝ้า”
“อ่อ พ่อเกือบลืมไปเสียแล้ว...อีกสามวันข้างหน้า ฝ่าบาทจะจัดงานเลี้ยงฉลองต้อนรับทหารกล้าของเรา แต่ฮูหยินกับจวินเอ๋อร์ต้องไปเข้าเฝ้าฮองเฮาที่วังหลัง ก่อนเข้าร่วมงานเลี้ยงช่วงเย็น”
ทันทีที่บิดาว่าเช่นนั้น ลี่จวินก็นึกออกว่าชาติก่อน นางก็ถูกฮองเฮาเรียกเข้าเฝ้าเช่นกัน แต่ครานั้นนางอ้างว่าบาดเจ็บ ต้องการพักผ่อน จึงทูลขอให้หงชินฮวาไปแทน นั่นยิ่งทำให้พี่สาวกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ผู้คนต่างก็ชื่นชมในการวางตัวของนาง
แต่ชาตินี้อย่าหวังว่าจะได้โด่งดังมีชื่อเสียงดีงามเลย
“จวินเอ๋อร์มิชอบงานเลี้ยงที่มีแต่สตรีวังหลัง คอยสวมหน้ากาก ยกยอปอปั้น เช่นนั้นให้พี่ไปแทนดีหรือไม่ เจ้าจะได้พักผ่อนให้หายเหนื่อย”
“มิรบกวนพี่หญิง ข้าอยากฝึกเข้าร่วมสังคมดูบ้าง เพราะอย่างไรเสียก็ต้องเกี่ยวดองกับเชื้อพระวงศ์ จริงหรือไม่เจ้าคะท่านพ่อ”
“อืม สกุลเราถูกเพ่งเล็งจากพวกขุนนางเฒ่าสมองกลวงมานานแล้ว ก่อนเราจะมาถึงเมืองหลวงก็มีคนเสนอให้ฝ่าบาท มอบสมรสพระราชทานให้เจ้ากับองค์ชายสักพระองค์” ฟ่านกงเฉินรินสุราให้บุตรสาวและบุตรชาย พลางคิดเรื่องราวในหัวไปด้วย
เป็นธรรมดาที่เมื่อสกุลขุนนางเริ่มมีอิทธิพลต่อจิตใจของชาวบ้านและทหาร องค์กษัตริย์ย่อมหวั่นเกรงว่าจะเกิดกบฏกลางเมือง จึงให้บุตรสาวของสกุลนั้น แต่งเข้าราชวงศ์ เกี่ยวดองกันเป็นเครือญาติกันเสีย
“หมายความว่าจวินเอ๋อร์ของเราจะต้องแต่งออกแล้วหรือเจ้าคะ ท่านพี่”
“อืม แต่ฝ่าบาทจะตัดสินใจให้สมรสกับโอรสองค์ใด ก็ยากจะหยั่งรู้” ความกังวลพุ่งเข้าโจมตีคนสกุลฟ่านทุกคน
แคว้นหนานซีเป็นแคว้นเก่าแก่ มีกษัตริย์ปกครองมาหลายราชสกุล ปัจจุบันเป็นราชสกุลเหรินที่ดูแลประชาไพร่ฟ้า องค์ฮ่องเต้เหรินเฟยหรงมีสนมมากมาย ทว่ากลับมีโอรสเพียงเจ็ดพระองค์ องค์ชายใหญ่เหรินเจียงหยวนสิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่อายุเพียงสิบแปดหนาว องค์ชายรองเหรินหนิงหลงและองค์ชายสี่เหรินต้าโจวต่างก็แต่งชายาเอกไปแล้ว ส่วนองค์ชายหกเหรินฮุ้ยเฟินและองค์ชายเจ็ดเหรินฮุ้ยซิวก็มีชรรษาเพียงสิบหนาวเท่านั้น
คงจะเหลือเพียงองค์ชายสามเหรินซ่งอวิ้นและองค์ชายห้าเหรินเทียนเล่อเท่านั้นที่มีความเป็นไปได้ว่าฝ่าบาทจะเลือกให้ตบแต่งกับลี่จวิน
“หากเป็นองค์ชายสามก็ดีไป จวินเอ๋อร์ก็มีใจให้พระองค์มิใช่หรือ”
“...” ลี่จวินไม่ตอบพี่ชาย เพียงเหลือบไปมองสตรีรุ่นราวคราวเดียวกัน ก่อนจะหันมาฟังสิ่งที่บิดาพูดต่อ
“แต่ถ้าฝ่าบาทต้องการกันเราออกจากการแก่งแย่งบัลลังก์ คงจักให้จวินเอ๋อร์แต่งกับองค์ชายห้าเหรินเทียนเล่อ เพราะอย่างไรพระองค์ก็มิอาจสืบทอดราชบัลลังก์ได้”
แน่สิ...กษัตริย์ตาบอด ราษฎรและเหล่าขุนนางคงมิยอมรับ
เรื่องที่แม่ทัพฟ่านพูดยังคงสร้างความหนักใจให้กับครอบครัวสกุลฟ่าน เว้นก็แต่ลี่จวินที่รับรู้เรื่องราวอยู่ก่อนแล้ว ในวันงานสตรีเจ้าจึงสนใจแต่การเลือกเสื้อผ้าเนื้อดี สวมใส่เครื่องประดับเต็มยศอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ลูกแม่แต่งกายชุดสตรีเช่นนี้ ผิดหูผิดตาไปมาก งดงามไม่แพ้สตรีในวังเลยสักนิด” คนเป็นแม่หันมากระซิบข้างหูบุตรสาว ระหว่างที่เดินตามขันทีเข้าวังหลัง
“ท่านแม่ชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”
“เรื่องจริงทั้งปวง วันนี้ลูกสาวแม่สลัดคราบนักรบหญิง กลายเป็นคุณหนูในห้องหอ กิริยามารยาทก็เรียบร้อยกว่าเดิมมาก ต้องขอบใจแม่นมไป๋ที่ช่วยสอนให้”
“เจ้าค่ะ” ฟ่านลี่จวินทำเพียงยิ้มรับมารดา มิได้เอ่ยออกไปว่าทั้งหมดเป็นเพราะในชาติที่แล้ว
นางต้องฝึกอย่างหนัก เพื่อจะเป็นชายาที่เพียบพร้อมขององค์รัชทายาทเหรินซ่งอวิ้น
หึ! แต่ความพยายามของนางจะมีค่าอันใด ในเมื่อชายผู้นั้นตั้งใจลวงหลอกนางตั้งแต่แรก นึกถึงเรื่องนี้แล้ว ก็ยิ่งอยากเห็นหน้าของซ่งอวิ้น ยามที่ทุกอย่างไม่เป็นดังหวัง