บท
ตั้งค่า

7. หากต้องเลือก (2)

“ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ...ฟ่านฮูหยินและคุณหนูฟ่านมาถึงแล้ว” เสียงขันทีปลุกลี่จวินขึ้นมาจากห้วงความคิด บุตรีแม่ทัพจึงรีบปั้นหน้ายิ้ม พามารดาเข้าไปคารวะองค์ฮองเฮาและบรรดาสนม

“หม่อมฉันเจียซูหมี่ ฮูหยินสกุลฟ่าน พาบุตรสาวมาเข้าเฝ้าฮองเฮาตามรับสั่งเพคะ”

“ฮูหยินกับคุณหนูตามสบายเถิด” มารดาของแผ่นดินหยักหน้าให้นางกำนัลเชิญสองแม่ลูกไปนั่งประจำที่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

ฟ่านลี่จวินถูกจับจ้องจากเหล่าสนมเป็นตาเดียว ในฐานะที่เป็นบุตรสาวแม่ทัพใหญ่ ลี่จวินเป็นดั่งหยกมันแพะ ท่ามกลางช่างฝีมือดี ที่ต่างก็อยากได้มาเจียระไนไว้ประดับบารมีของโอรสตน

“คุณหนูฟ่านงดงามโดดเด่น ขนาดว่าตากลมตากฝน รอนแรมอยู่ในป่าสู้ศึกสงคราม ยังมีผิวพรรณกระจ่างใส งดงามถึงเพียงนี้” เหลียนซูหนิง สนมขั้นหวงกุ้ยเฟยเอ่ยเยินยอ

“ขอบพระทัยหวงกุ้ยเฟยที่ทรงชมเพคะ แต่ผิวพรรณของบุตรสาวนักรบไหนเลยจะสู้องค์ฮองเฮาและเหล่าสนมได้” ทั้งแววตาและรอยยิ้มจอมปลอม ถูกฉาบเคลือบลงบนดวงหน้าของลี่จวินอย่างที่ควรทำ ผู้ใดจะไม่รู้ว่าที่แห่งนี้ หากไม่ดิ้นรน ปั้นหน้าเสแสร้ง ก็ยากจะอยู่ในนี้ได้

อย่างเหลียนซูหนิง สนมขั้นหวงกุ้ยเฟยที่มีบิดาเป็นถึงราชครูของฝ่าบาท ประกาศตัวอย่างชัดเจนว่าอยากให้องค์ชายรอง โอรสของตนเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ ซึ่งไม่ต่างจากอันเจียวมิ่ง สนมขั้นกุ้ยเฟย มารดาขององค์ชายสี่ มีเสนาบดีกรมกลาโหมผู้เป็นพี่ชายคอยสนับสนุน ในราชสำนักจึงคานอำนาจกันอยู่สองฝ่าย

ส่วนองค์ฮองเฮา จ้าวเลี่ยงเฟิ่งไร้ซึ่งโอรสสืบบัลลังก์ เนื่องจากองค์ชายใหญ่ถูกลอบสังหารไปตั้งแต่อายุสิบแปดหนาว เติ้งเยี่ยเสี่ยง สนมขั้นกุ้ยเฟยก็มิมีความคิดจะให้โอรสที่ตาบอดสืบทอดบัลลังก์ และโอรสฝาแฝดของเว่ยลู่ซือ สนมขั้นผินก็ยังมีอายุเพียงสิบหนาว จึงมิสนใจเรื่องสืบราชบัลลังก์

ในชาติที่แล้วจึงเป็นเหรินซ่งอวิ้น โอรสของถานจางจิ้ง สนมขั้นเฟย ที่ทะเยอทะยานจนได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งองค์รัชทายาท

“ช่างเจรจานัก เก่งทั้งบู้ทั้งบุ๋นเช่นนี้ เหมาะจะเข้ามาเป็นสะใภ้ของราชวงศ์เหริน เจ้าคงพอรู้ใช่หรือไม่” น้ำเสียงนุ่มนวล ทำให้ลี่จวินละสายตาที่มองสำรวจเหล่าสนมของฮ่องเต้ มายังแท่นพระที่นั่งของมารดาแผ่นดิน

“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ รู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก”

“อืม ไม่ว่าจะได้สมรสพระราชทานกับองค์ชายพระองค์ใด ขอให้เจ้าใช้ความสามารถที่มีปรนนิบัติ แบ่งเบาภาระของสวามีให้ดี เข้าใจหรือไม่”

“เข้าใจเพคะ ฮองเฮา” ลี่จวินตอบรับเสียงหวาน ก่อนจะหันมานั่งฟังเหล่าสนมพูดยกยอโอรสธิดาของตน มิมีใครยอมใคร คงจะมีเพียงเติ้งกุ้ยเฟยเท่านั้นกระมังที่มิได้พูดถึงองค์ชายห้าแม้เพียงครึ่งคำ พระนางเอาแต่นั่งจิบชา รับฟังเรื่องราวของผู้อื่นเท่านั้น

หรือเพราะมีโอรสตาบอด จึงอายอย่างนั้นหรือ...ช่างน่าสงสารองค์ชายห้าเสียจริง

เวลาล่วงเลยมาถึงยามโหย่ว (17:00 – 18:59 น.) ขุนนางและทหารกล้าทั้งหลายต่างก็ทยอยเข้ามาในลานพิธีหน้าท้องพระโรง ที่เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงค่ำคืนนี้ ครอบครัวสกุลฟ่านที่ได้รับความดีความชอบใหญ่หลวง ก็เดินทางมันครบ รวมถึงคนอาศัยก็ได้รับอนุญาตให้มาร่วมงานด้วยเช่นกัน

บรรดาคุณชายสกุลต่างๆ ได้แต่ลอบมองบุตรสาวแม่ทัพใหญ่ที่แต่งกายด้วยผ้าเนื้อดีสีขาวตัดน้ำเงิน ปักลวดลายด้วยดิ้นสีเงิน แววตาเฉี่ยวไร้ซึ่งความหวาดกลัวเสริมความน่าเกรงขาม สมกับเป็นบุตรีแม่ทัพ บางคนถึงขั้นเอ่ยว่ามิควรแต่งสตรีเช่นนี้เป็นฮูหยิน แต่ก็มีคนเห็นต่างอยากลองปราบพยศดูสักครา

ถึงกระนั้นพวกเขาก็รู้อยู่เต็มอกว่ามิสามารถอาจเอื้อมได้ หากเป็นคุณหนูหงชินฮวา ก็คงจะพอสู้ไหว แม้งามไม่เท่าแต่ก็ถือว่าพอไปวัดไปวาได้ ประกอบกับความเรียบร้อยอ่อนหวานยิ่งทำให้คุณชายหลายคนต่างหมายตาคุณหนูหง

“มองกระไรกันนักหนา ต่อไปพี่ว่าเจ้าควรอยู่ที่เรือน หรือไม่ก็แต่งชุดออกรบมาจะดีกว่า”

“จิ๊ อย่าทำเป็นหวงน้องสาวไปหน่อยเลยพี่ใหญ่ ข้าโตจนจะได้แต่งงานอยู่แล้ว” ลี่จวินหันไปพูดคุยหยอกล้อเล่นกันพี่ชาย โดยมิได้สนใจจะหันไปพูดคุยกับพี่สาวต่างสายเลือดที่นั่งอยู่ด้านหลัง

“แม่ทัพฟ่าน” ทว่าเสียงพูดคุยของครอบครัวก็ถูกรบกวนด้วยผู้มาใหม่

“องค์ชายสาม” ครอบครัวสกุลฟ่านลุกขึ้นคารวะองค์ชายของแคว้น สองแม่ลูกสกุลหงก็เช่นกัน
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel